“แม่นางพิษน้อย นี่มันไม่ใช่ความจริง เป็นภาพมายา เป็นเรื่องโกหก! ” อู๋จุนเดินมาอยู่ข้างกายซูจิ่นซีอย่างยากลำบาก
ซูจิ่นซีเงยหน้ามองอู๋จุนด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มโล่งใจ
“ใช่แล้ว เป็นภาพมายา ข้าเป็นอันใดไปแล้ว? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เสียงของแม่นมฮวาก็ดังขึ้นข้างใบหู “พระชายา พระองค์พูดอันใด? สิ่งใดคือภาพมายา สิ่งใดไม่ใช่ภาพมายา? ”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นทันที และมองไปที่แม่นมฮวา
ใบหน้าของแม่นมฮวายังคงปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นางยื่นมือมาทางซูจิ่นซี “พระชายา มา… มานี่… เพคะ”
ลวี่หลีที่ยืนอยู่อีกด้านก็ยื่นมือมาหาซูจิ่นซีเช่นกัน “คุณหนู ท่านมาทางนี้… มาทางนี้สิเจ้าคะ… ”
สิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือภาพลวงตากันแน่?
ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดของซูจิ่นซีเริ่มพร่ามัว ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะเจิดจ้าเป็นพิเศษ แสงนั้นส่องกระทบกระเบื้องและหักเหกับพื้นจนเกิดเป็นรุ้งเจ็ดสี ท่ามกลางรุ้งเจ็ดสีมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของแม่นมฮวาและท่าทางไร้เดียงสาของลวี่หลีปรากฏอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้น บริเวณโดยรอบก็ราวกับมีรอยยิ้มของแม่นมฮวาและลวี่หลีวนเวียนอยู่
‘เอี๊ยดอ๊าด… ’ เสียงหนักอึ้งของประตูไม้ซือหนานซึ่งแกะสลักเป็นรูปดอกไม้สีทองค่อยๆ เปิดออก ความคิดทั้งหมดของซูจิ่นซีมุ่งไปที่เสียงนั้น นางหันศีรษะกลับไปมองทิศทางของเสียง
นั่นเป็นทิศทางของตำหนักฝูอวิ๋น
เมื่อประตูไม้อันหนักอึ้งทั้งสองบานค่อยๆ เปิดออก ชายเสื้อสีดำขลับก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง
ซูจิ่นซีเลื่อนสายตาจากชายเสื้อขึ้นไปด้านบนอย่างเชื่องช้า
ร่างในชุดสีดำขลับ แก้มอันเคร่งขรึมเย็นชา แววตาทอดยาวลึกล้ำ ใบหน้าคมคาย ผมยาวดกดำ…
เขาค่อยๆ หันหน้ามามองซูจิ่นซี ในดวงตาเย็นชาที่ไม่เคยหวั่นไหวราวกับน้ำแข็งหมื่นปี ยามนี้กลับปรากฎความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เยี่ยโยวเหยา!!!
เขาค่อยๆ ยื่นมือมาหาซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี ยังไม่มาหาข้าอีก! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึงอยู่ในใจ!
แสงสีรุ้งที่อยู่เบื้องหน้าสั่นไหวเล็กน้อย ความคิดของนางยิ่งสับสนมากขึ้น ทั้งยังอดก้าวไปหาเยี่ยโยวเหยาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีเพิ่งเดินไปได้หนึ่งก้าว ทันใดนั้นนางก็หยุดฝีเท้า
“ไม่! ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความจริง! ”
“ซูจิ่นซี ยังไม่เข้ามาอีก! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดอีกครั้ง
ความอ่อนโยนในแววตาลดลงเล็กน้อย ปรากฏเป็นความขุ่นเคือง
แม้ในใจของซูจิ่นซีจะบอกตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดไม่ใช่ความจริง มันเป็นเพียงภาพมายา ทว่าเท้าของนางกลับขยับเข้าหาเยี่ยโยวเหยาอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับมีบางสิ่งดึงดูดนางไปยังทิศทางนั้น
“ไม่! ”
“ไม่ใช่ความจริง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความจริง! ”
“ซูจิ่นซี เจ้าต้องควบคุมจิตใจตนเอง มันเป็นภาพลวงตา เป็นภาพมายาทั้งสิ้น”
“นี่เป็นกับดัก หากเดินเข้าไป เจ้าต้องแย่แน่ๆ ! ”
ซูจิ่นซีบอกตนเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางพยายามควบคุมตนเอง และต่อต้านภาพมายาที่ล่อลวงจิตใจของนาง
ความจริงแล้ว ซูจิ่นซีทำได้สำเร็จ แม้นางจะควบคุมเท้าทั้งคู่ไม่ได้ ทว่านางยึดเท้าไว้ไม่ให้ขยับราวกับถูกแช่แข็ง นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน
อย่างไรก็ตาม แม้ซูจิ่นซีจะสงบนิ่ง มุ่งมั่น และควบคุมตนเองได้เพียงใด ทว่าทุกอย่างกลับพังทลายลงตรงหน้า เมื่อนางเห็นแสงสีแดงที่อยู่ท่ามกลางแสงสีรุ้งนั้น
ใช่ สีแดง!
เป็นสีแดงชวนฝันที่เบ่งบานท่ามกลางแสงแดดอันเงียบสงบ ราวกับเวลาถูกหยุดชะงักไว้
มันคือดอกเหอฮวาน!
เยี่ยโยวเหยา วันใดที่ดอกเหอฮวานบานสะพรั่ง จะเป็นวันที่จิ่นซีกลับไปหาท่าน
นี่คือข้อความที่ซูจิ่นซีทิ้งไว้เป็นของขวัญให้เยี่ยโยวเหยาตอนอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองเย่หลิน ยามที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาต้องแยกจากกัน
วันนั้น ของขวัญที่ซูจิ่นซีมอบให้เยี่ยโยวเหยาคือดอกเหอฮวานหนึ่งกระถาง ทว่าตอนนี้ ดอกเหอฮวานนั้นกลับวางอยู่บนโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่างในตำหนักฝูอวิ๋น
แม้จะมีบานหน้าต่างคั่นกลาง ทว่านางยังมองเห็นดอกเหอฮวานเบ่งบานอย่างชัดเจน ทั้งยังเบ่งบานอย่างงดงามยิ่งนัก
ดอกเหอฮวานเบ่งบาน เราจะพบกันอีกครั้ง
ดอกเหอฮวานเบ่งบานอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ซูจิ่นซี เจ้ายังไม่เข้ามาอีก! ”
เสียงของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นที่ข้างหูนางอีกครั้ง
เสียงนั้นไม่มีความอ่อนโยนและความเสน่หาเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าถูกแทนที่ด้วยความโกรธและความเย็นชา
“ซูจิ่นซี เราตกลงกันแล้ว เมื่อดอกเหอฮวานเบ่งบาน เจ้าจะกลับมาหาข้า เราตกลงกันแล้วว่ามีกำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือน เหตุใดเจ้าจึงผิดสัญญากับข้า? ”
ผิดสัญญา? นางผิดสัญญาที่ใดกัน?
นางไม่เคยผิดสัญญา
ซูจิ่นซีตกตะลึงไปชั่วขณะ นางซวนเซถอยหลังไปสองก้าว
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ยังไม่เข้ามาอีก? เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังคำพูดของข้าหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยายังคงยื่นมือมาทางซูจิ่นซี ความโกรธและความเย็นชาในดวงตานั้น ราวกับย้อนกลับไปตอนที่นางเพิ่งเข้าจวนโยวอ๋องครั้งแรก ชั่วพริบตา ดวงอาทิตย์ร้อนแรงเหนือศีรษะก็กลายเป็นเครื่องประดับที่ลอยอยู่เฉยๆ บรรยากาศรอบตัวเขาพลันเย็นยะเยือก
ซูจิ่นซีเคลื่อนสายตาจากดอกเหอฮวานที่มีสีสันสดใส ไปยังใบหน้าเย็นชาของเยี่ยโยวเหยา ดวงตาที่เคร่งขรึมลึกซึ้งนั้น ราวกับมีความพิเศษบางอย่างที่ดึงดูดสายตาของซูจิ่นซีให้ค่อยๆ เข้าใกล้ เข้าใกล้ เข้าใกล้อีกนิด… โดยที่นางไม่สามารถควบคุมตนเองได้
ตอนนี้ ซูจิ่นซีได้สูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปแล้ว เท้าทั้งสองที่นางพยายามยับยั้งไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ยามนี้กลับก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ทีละก้าว… ทีละก้าว… ทีละก้าว
อู๋จุนยืนอยู่ด้านหลังของซูจิ่นซีด้วยท่าทางเป็นกังวลอย่างมาก เขายื่นมือออกไปคว้าแขนของซูจิ่นซี ทว่าขณะที่มือของเขาสัมผัสร่างของนาง มันกลับตรงผ่านร่างของนางไป ฝ่ามือคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“แม่นางพิษน้อย เจ้ามีสติหน่อย! ”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! ”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าได้ยินพี่จุนหรือไม่? ”
“แม่นางพิษน้อย ตื่นเถิด… ”
ใบหน้าอู๋จุนทวีความกังวลมากขึ้น ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความห่วงใย
เขาตะโกนเรียกซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง พลางยื่นมือไปหานาง ทว่ามือของเขากลับผ่านร่างของนางไป และคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
อย่างไรก็ตาม อู๋จุนกลับไม่ยอมแพ้ แม้เสียงของเขาจะแหบแห้งเล็กน้อย
ตอนนี้ ซูจิ่นซีเดินไปถึงบันไดหน้าตำหนักฝูอวิ๋นแล้ว เพียงนางก้าวขึ้นบันไดไป นางก็จะเดินไปถึงเยี่ยโยวเหยา เท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าซูจิ่นซีกลับหยุดชะงัก ดวงตาที่พร่ามัวพลันปรากฏความชัดเจนแจ่มใส นางเงยหน้ามองร่างที่คุ้นเคยเหนือบันไดหิน
“ไม่ เจ้าไม่ใช่เยี่ยโยวเหยา เจ้าไม่ใช่! ”
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ผู้ใดให้เจ้ากล้าสงสัยในตัวข้า?”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาเผยให้เห็นไอสังหารที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ซูจิ่นซียังคงส่ายศีรษะ และก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า
“ไม่ ไม่ใช่! หมุดกร่อนรักในร่างของเยี่ยโยวเหยาถูกกำจัดไปแล้ว ทั้งพิษดูดเลือดก็สลายหายไปเช่นกัน ทว่าร่างของเจ้ายังมีพิษดูดเลือด และมีอาการบาดเจ็บจากการกำเริบของหมุดกร่อนรัก เจ้าไม่ใช่เยี่ยโยวเหยา ไม่ใช่! ”
น้ำเสียงของซูจิ่นซีหนักแน่นอย่างมาก
‘พรวด’
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด เลือดสีแดงสดก็พุ่งออกมาจากปากของซูจิ่นซี สีแดงนั้นยิ่งชัดเจนมากขึ้นภายใต้แสงสีรุ้ง เลือดหลั่งรินลงบนขั้นบันไดหินอ่อนสีขาว เป็นที่สะดุดตาอย่างมาก