ภาคที่ 29 จุดเริ่มต้นของศาสตร์โบราณ ตอนที่ 1 ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว โดย Ink Stone_Fantasy
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู และผางอี แต่ละคนมองดูเงาร่างที่เปล่งประกายรัศมีอันจับตา ในใจต่างก็มีรสชาติหลากหลายนับพัน ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา ต่างก็เคยได้ยินเรื่องเล่าขานนี้กันมาแล้วทั้งสิ้น… ‘เสื้อคลุมมนตร์คลุมร่าง ประกายกระจ่างเกินหยั่ง ดวงวิญญาณทั้งหมดต่างก็สามารถมองเห็นเงาร่างกระจ่างตานั้นได้’ ทว่าสุดท้ายแล้วนี่ก็ยังเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน ผู้ใดต่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งสิ้น
วันนี้ได้เห็นแล้ว!
พวกเขาแต่ละคนบำเพ็ญกันมาก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนาน ทว่าต่างก็ติดค้างอยู่ที่ระดับจิตใจขั้นที่สองเท่านั้น ต่างก็ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ระดับจิตใจขั้นที่สามกันได้เลย
จะต้อง ‘ไร้ข้อกังขา ไร้ความกังวล ไร้ความหวาดกลัว ระดับจิตใจประณีต ดั้นด้นไปข้างหน้า จิตใจเป็นหนึ่ง’ เช่นนี้จึงจะสามารถไปถึงระดับจิตใจขั้นที่หนึ่ง ‘จิตดุจแก้วมณี’ สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จในข้อกำหนดพื้นฐานที่สุดของความเร้นลับของกฎเกณฑ์แล้ว
ส่วนจิตใจดุจคมมีด สิ่งกีดขวางทั้งหมดทั้งมวลในใจถูกคมมีดหั่นแยกออก บนเส้นทางการบำเพ็ญ ผู้ใดต่างก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนแปลงได้! มาถึงขั้นที่สองนี้ก็มีศักยภาพที่จะเป็นสุดยอดผู้แกร่งกล้าแล้ว แม้กระทั่งบางพวกอย่างเช่นเหล่ากลืนกินที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับจิตใจไม่สูงมากนัก แม้แต่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนต่างก็สามารถหยุดอยู่ที่ระดับจิตใจขั้นที่สองนี้ได้
ระดับจิตใจขั้นที่สาม ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’
ยามตระหนักรู้ขั้นนี้…
มีเหตุผลอยู่มากมาย ดังเช่นจอมมารนี้ที่เชื่อมั่นว่าผู้แกร่งกล้าเป็นใหญ่ถึงขนาดสร้างหุบเหวลึกดำมืดขึ้นมา ทำให้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน…สิ่งมีชีวิตดังเช่นจอมมาร ก็ไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามแล้วเช่นกัน
อย่างผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ มิปรารถนาที่จะมีพันธะ มีเอกลักษณ์ เตร็ดเตร่ไปทั่วทุกที่ ก็ไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามเช่นกัน
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรารถนาจะแบกรับผืนฟ้า คุ้มครองสรรพชีวิต ก็บรรลุเช่นเดียวกัน
“ความรู้สึกเช่นนี้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเสื้อคลุมมนตร์และรัศมีที่ร่างกายเปล่งออกมาที่ปรากฏชัดบนผิวกาย ทันใดนั้นความคิดก็วูบไหว รัศมีเลือนหายไปจนสิ้น เสื้อคลุมมนตร์ก็หายวับไปกลางอากาศ
วิปัสสนา ตรวจตราดูดวงวิญญาณของตนเอง
ตอนนี้ดวงวิญญาณของตนเปล่งประกายระยับแรงกล้าไปทั่วทั้งห้วงความคิด บนดวงวิญญาณก็ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมมนตร์ชั้นหนึ่ง พลังที่ดวงวิญญาณมีอยู่ก็ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล แม้กระทั่ง ‘แรงกระตุ้น’ ที่มีอยู่ก็เปลี่ยนเป็นแกร่งกล้าหาใดเปรียบ
พูดอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูงพออยู่แล้ว ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง วิถีโลกเทียม และวิถีสามสายต่างก็ไปถึงระดับขั้นที่สูงพอ วิถีผู้ท่องอากาศก็ไปถึงชั้นที่สี่สิบ ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณของเขาก็นับว่าจัดอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นรวมเป็นหนึ่งได้อย่างแน่นอน แต่เพราะว่าระดับจิตใจไม่เคยบรรลุ แรงกระตุ้นที่ระเบิดออกมาจากดวงวิญญาณไม่อัดแน่นพอ อานุภาพจึงไม่แข็งแกร่งพอเช่นกัน
ตอนนี้ระดับจิตใจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว! ถึงแม้ว่าการตระหนักรู้ในวิถีผู้ท่องอากาศจะมิได้ยกระดับ แต่ดวงวิญญาณก็คล้ายว่าจะเปลี่ยนจาก ‘สถานะผ่อนคลาย’ ไปสู่ ‘สถานะรัดกุม’ แรงกระตุ้นก็รัดกุมขึ้น อานุภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งพลังจิตก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเช่นกัน
ในห้วงสมองใคร่ครวญวิวัฒน์ความเร้นลับ ประสิทธิภาพก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายกับว่าบริโภควัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญจำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังเบื้องล่างก็มองเห็นภรรยาที่เงยหน้ามองขึ้นมาด้านบน
แล้วก้าวไปก้าวหนึ่งในทันใด
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปถึงข้างกายของอวี๋จิ้งชิวแล้ว ในขณะนี้เอง ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาก็เข้ามาถึงด้วยเช่นกัน “ท่านพ่อ ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามที่เล่าขานกันแล้วหรือ”
“น้องตงป๋อ”
“เสวี่ยอิง”
ฉือชิวไป๋ ผู้เคารพหั่วเฉิง และบรรพชนเพลิงชาดที่อยู่ภายในจวนจ้าวแต่ละคนต่างก็เข้ามาอย่างยากที่จะเก็บซ่อนความพรั่นพรึงในจิตใจ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย แม้กระทั่งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง ในบรรดาพวกเขา จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถึงกับเอ่ยปากถามขึ้นด้วยตัวเองว่า “เสวี่ยอิง เจ้าบรรลุระดับจิตใจนี้ได้อย่างไรกันหรือ มีเคล็ดลับอันใดกันหรือ” จักรพรรดิเทพเอ่ยปาก คนอื่นๆ ต่างก็พากันฟังอย่างมิกล้าสอดปาก
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสงสัยอย่างแท้จริง เพราะว่าจนบัดนี้ระดับจิตใจของเขาก็ยังไม่เคยบรรลุเลย
“บรรลุได้อย่างไรน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง “หลักๆ ก็คือการตระหนักรู้ทางด้านจิตใจ ข้าได้เห็นผู้อ่อนแอจำนวนมากได้รับผลกระทบจากผู้แกร่งกล้าจนตาย ถึงขนาดที่ผู้แกร่งกล้าจำนวนหนึ่งเข่นฆ่าผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพราะความโมโห…ผู้แกร่งกล้านี้ ต่อให้ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็มาจากผู้อ่อนแอ ถ้าหากบรรดาผู้แกร่งกล้าไม่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ก็เข่นฆ่าตามอำเภอใจ รวมกับผู้บำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกินจำนวนหนึ่ง สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจะยังมีความหวังที่จะมีชีวิตรอดอีกหรือไร”
“…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายสิ่งที่ตระหนักรู้ในใจให้กับท่านอาจารย์ของตนอย่างละเอียด
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตฟังด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น เขาฟังแล้วก็เข้าใจทั้งหมด! แต่กลับมิได้กระตุ้นเขาเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีคนระดับสูงแบกรับเอาไว้! ภายในจักรวาลยุคอดีต เขาคือผู้ที่แกร่งกล้าที่สุด ลัทธิจอมมารดาบุกรุกเข้ามา เขาไม่ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อทั้งจักรวาล ก็นับได้ว่าเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตนเองไม่ถูกผลาญทำลาย เขาก็ไปต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพราะไม่มีสิทธิ์ล่าถอย
แต่การจะปกป้องผู้อ่อนแออย่างนั้นน่ะหรือ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถามเอง ตนเองก็เป็นเพียงแค่เทพอากาศธรรมดาสามัญ เหนือขึ้นไปยังมีขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดในตำนาน
ฟ้าถล่มลงมาก็มิได้ถึงคราเขาอยู่ดี!
เขามีจิตคิดเมตตาด้วยความเต็มใจเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้าหากการบำเพ็ญยกระดับมากพอ ถึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตผู้อ่อนแอกลุ่มใหญ่ตายไป เขาก็ตาไม่กะพริบ ขอเพียงแค่ทั้งเผ่าพันธุ์ไม่พินาศวอดวาย สิ้นชีพกันไปแค่กลุ่มเล็กๆ จะเป็นไรไปเล่า
“เอ่อ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้อ่านตำราจำนวนมากมายภายในวังทวีสูญ ระดับจิตใจก็ยกระดับขึ้น จำเป็นต้องตระหนักรู้ด้วยตัวเอง! ต่อให้ผู้อื่นพูดมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
“อืม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า
เขาเองก็เชื่อว่าการยกระดับจิตใจนั้นมีอยู่หลายประเภท อย่างเช่นจอมมารนั้นก็สามารถไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามได้ เขาก็มีความหวังเช่นเดียวกัน
“เสวี่ยอิง เจ้าเองก็จะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อผู้อ่อนแอเหล่านั้นมิได้หรอกนะ เช่นนี้ก็จะเหน็ดเหนื่อยเกินไป อีกทั้งยังอาจเอาชีวิตไปทิ้งเพราะเหตุนี้อีกด้วย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “ผู้บำเพ็ญ จะต้องยิ่งระมัดระวัง และยิ่งต้องอยู๋ให้ห่างจากอันตราย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “ท่านอาจารย์ ข้าทราบดีว่าผู้ที่มีพลังมหาศาล ภาระที่แบกรับก็ต้องยิ่งมาก พลังน้อยลงมาหน่อยก็แบกภาระน้อยลงหน่อยเท่านั้น ถ้าหากหลับหูหลับตาส่งตัวเองไปตาย รักษาไว้ไม่ได้แม้แต่ชีวิตตนเอง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรักษาชีวิตผู้อื่นแล้ว”
……
การบรรลุระดับจิตใจนั้นพูดไปก็ไร้ประโยชน์
ก็เหมือนพูดกับผู้อื่นว่า ‘ไร้ข้อกังขา ไร้ความกังวล ไร้ความหวาดกลัว ระดับจิตใจประณีต ดั้นด้นไปข้างหน้า จิตใจเป็นหนึ่ง’ แล้วผู้บำเพ็ญก็จะสามารถไปถึงระดับจิตใจขั้นที่หนึ่ง ‘จิตดุจแก้วมณี’ ได้อย่างง่ายดายแล้วหรือไร
สุดท้ายตนเองก็ต้องไปฝึกฝนหาประสบการณ์ จิตใจถูกกระตุ้น หยั่งรู้โลกจากชั้นลึกสุดของจิตใจจนเกิดความเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้ว่าจะขัดกับพื้นฐานจิตใจของตนเองอยู่บ้างก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพอขัดกันแล้ว… ระดับจิตใจก็ยากที่จะรักษา ‘ความคิดและจิตใจเป็นหนึ่งเดียว’ เอาไว้ได้ แม้กระทั่งบำเพ็ญขั้นที่หนึ่งก็ยังมิได้ ก็จะถูกปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ
ดังนั้นแม้จะพูดไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์
ตำราภายในวังทวีสูญก็ย่อมไม่มีคำอธิบายใดๆ เอาไว้อยู่แล้ว ก็ได้แต่ให้บรรดาผู้บำเพ็ญไปตระหนักรู้กันเอาเอง
หนึ่งวันให้หลัง หลังจากที่ต้อนรับสหายบำเพ็ญกลุ่มหนึ่งแล้ว ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึง ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ด้านนอกจักรวาล ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหนึ่งวัน สหายที่มาเยี่ยมเยียนเหล่านั้น มีจำนวนมากที่มา ‘ถามไถ่’ ด้วยความจริงใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะเริ่มอธิบายไปคำสองคำ ต่อมาเขาก็เข้าใจว่าถึงจะพูดไปมากกว่านี้ก็ล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น ถึงขนาดที่ยิ่งพูดมาก… กลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเขายิ่งสับสน ถ้าหากทำให้ระดับจิตใจของพวกเขาพังทลาย เช่นนั้นก็แย่แล้ว
ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่พูดอีกต่อไปแล้ว พูดแค่เพียงว่า ‘จำเป็นต้องไปตระหนักรู้ด้วยตนเอง’
“พรึ่บ”
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแสนกว้างใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ที่นั่น “ควรลองดูสักหน่อยแล้ว ดูว่าที่แท้แล้วพลังยุทธ์ของข้ายกระดับขึ้นมามากน้อยเพียงใดกันแน่”
หลังจากบรรลุระดับจิตใจแล้วเขาก็ไม่มีเวลาฝึกฝนเคล็ดวิชามาโดยตลอด เพราะว่าสภาพแวดล้อมภายในอาณาเขตของจักรวาลค่อนข้างเปราะบาง ก็เหมาะสมกับมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนและเหล่าเหนือธรรมดา พลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่ง ผลกระทบที่มีต่อจักรวาลก็ยิ่งมากขึ้น ดังเช่นระดับเทพอากาศก็สามารถทำร้ายจักรวาลได้ อาจทำให้ยุคจักรวาลนี้แก่ตัวลงเร็วขึ้นและสูญสลายไปในที่สุด
พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ไปถึงขอบกั้นของขั้นอลวนแล้ว ถ้าหากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้บางอย่าง หรือแม้กระทั่งแยกระลอกคลื่นอย่างระมัดระวังยิ่งกว่านี้ก็อาจจะทำร้ายถูกจักรวาลได้
“โลกอนธการหลากชั้น”
ความนึกคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงวูบไหว สำแดงเคล็ดวิชาลับที่ตนเองดัดแปลงและสร้างขึ้นเองศาสตร์นี้
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…
บริเวณไกลออกไปกลับมีโลกอนธการชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏชัดขึ้นกลางอากาศ ผนังของโลกอนธการเหล่านี้มีมากกว่าหกร้อยชั้น! ทำให้โลกอนธการหลากชั้นเหล่านี้เปลี่ยนจากภาพมายากลายเป็นความจริง ทันใดนั้นพลังดูดกลืนรอบทิศอันบ้าคลั่งทำให้ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเกิดความปั่นป่วน นอกจากนี้ หลังจากเสียงระเบิดปัง โลกอนธการหกร้อยชั้นก็สูญสลายไปพร้อมๆ กัน พลังคุกคามนี้ซ้อนทับกันไม่หยุดหย่อน ทั้งยังไปถึงขั้นที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังตกตะลึง “พลังคุกคามนี้เทียบเคียงได้กับลูกไฟน้ำเต้าสีดำแล้ว!” พูดให้กระชับ การที่พลังจิตยกระดับทำให้พลังยุทธ์ของตนเองยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล สามารถนับได้ว่าเป็นพลังรบระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้อย่างกล้อมแกล้มแล้ว
ก่อนหน้านี้ตนสามารถสำแดงได้เพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบชั้นเท่านั้น
พอบรรลุระดับจิตใจ พลังจิตก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างฉับพลัน ก็สามารถสำแดงได้มากถึงหกร้อยชั้น เป็นห้าเท่าพอดี! ไม่เกินเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง
“ยังมีใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์อีก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นรวบรวมสมาธิกลั่นกรองโดยละเอียด ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน ยามที่ยังคงปลีกวิเวกอยู่ภายในวังทวีสูญ ด้วยพรสวรรค์ทางด้านวิถีโลกเทียมของเขา ก็ได้หยั่งรู้ความเร้นลับต่างๆ ของ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ กระบวนท่าที่สองของโลกอนธการอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้กลับยังไม่สามารถสำแดงออกมาได้มาโดยตลอด ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านตำราของจักรพรรดิเก้าเมฆาจำนวนนับไม่ถ้วนจึงตัดสินได้ความว่าคงจะเป็นปัญหาที่ระดับจิตใจ
ถึงแม้ว่าจะมีความมั่นใจมากถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ก็ยังต้องทดสอบดูจึงจะรู้!
“มา” ความนึกคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงวูบไหวแล้วทดลองสำแดงดู
…………………………………………