การค้าของจี่หราน โดย Ink Stone_Fantasy

“เยี่ยเทียน ผมอายุมากกว่าคุณสองสามปี ถ้าไม่รังเกียจผมขอเรียกชื่อคุณนะ…” จี่หรานเป็นคนเข้าหาคนง่าย เมื่อได้พบกับเยี่ยเทียนก็ไม่รู้ได้รู้สึกเกรงกลัว รีบทำความคุ้นเคยเรียกชื่อกันอย่างสนิทสนม

“เหอะๆ ได้อยู่แล้ว” โบราณท่านว่าไว้อย่าตบหน้าคนยิ้ม เยี่ยเทียนไม่กล้าพูดอะไรต่อ พยักหน้ายอมรับ เป็นอันว่าตกลง

“เยี่ยเทียน ของที่คุณสะสมไว้เป็นของโบราณดีๆ ทั้งนั้น ในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังมีไม่กี่คนที่กล้าเล่นของใหญ่อย่างคุณโต๊ะเก้าอี้ชุดนี้ถ้าเอาออกไปน่าจะมีคนให้ราคาสูงแน่…”

หลังจากพูดได้สำเร็จ คุณชายจี่จึงชมเปาะถึงของโบราณในห้องนี้ ถึงกระนั้นจี่หรานก็ไม่ได้โอ้โลมเยี่ยเทียนเกินจริง เพราะวัตถุพวกนี้เป็นของดีจริงๆ

อย่างเก้าอี้กลมลายดอกลูกแพรเหลืองที่นั่งกันอยู่นั้นเป็นเครื่องเรือนสมัยราชวงศ์หมิงเชียว ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมาก โต๊ะเก้าอี้ชุดนี้อย่างน้อยต้องได้ราคาสักหนึ่งล้านขึ้นไป

“แค่กๆ คือพ่อผมชอบน่ะครับ พี่จี่ชมเกินไปแล้ว!” เยี่ยเทียนอึดอัด อยากจะกลับเข้าห้องไปฝึกวิชาต่อ แต่เห็นจี่หรานกำลังคุยอย่างออกรส ก็ไม่ควรจะไล่เขาออกไปใช่ไหมล่ะ?

ส่วนราคาเครื่องเรือนลายดอกลูกแพรเหลืองนี้ เยี่ยเทียนรู้ดีว่า เก้าอี้กลมที่เจียงหนานนั้นมีมาก เมื่อหลายปีก่อนพ่อของเขาได้ซื้อมาด้วยจากบ้านหลังหนึ่งด้วยเงินหนึ่งร้อยแปดสิบ เยี่ยตงผิงเคยคุยโม้ให้ลูกชายฟังอยู่หลายครั้ง

“น้องเยี่ย สองปีมานี้พี่จี่ทำการค้าของโบราณ ถ้าคุณไม่รังเกียจร้านเล็กๆ ของผมได้ ถ้าว่างก็ไปดูของร้านพี่หน่อย ถ้าคุณชอบชิ้นไหน ผมขายให้คุณราคาเท่าทุนเลย ดีไหม?”

พอเข้ามาถึงในห้อง จี่หรานก็ใจชื้นขึ้น การผูกไมตรีนั้นกลัวเพียงว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนนี้มีเรื่องของโบราณเป็นตัวเชื่อม การจะผูกมิตรกับเยี่ยเทียนนั้นดูจะสำเร็จไปแปดเก้าส่วนแล้ว

ผู้ที่เล่นของโบราณ ถ้าได้ยินว่าที่ไหนมีของดี ถึงฝ่ายตรงข้ามจะไม่ขายหรือตนัวองจะซื้อไม่ไหว ก็ยังต้องขอไปชื่นชมสักครั้ง จี่หรานจึงแน่ใจว่าเยี่ยเทียนจะต้องไม่ปฎิเสธเขาแน่นอน

แต่คุณชายจี่คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนไม่ได้มีความสนใจในโบราณวัตถุเท่าใดนัก เขาไม่ได้เป็นคนเก็บสิ่งของในห้องนี้มา แต่เป็นเยี่ยตงผิงเสียมากกว่า

“เหอะๆ พี่จี่ ช่วงนี้ผมซ่อมบ้านอยู่ไม่ค่อยมีเวลา ไม่งั้น…รออีกสักสองสามเดือนเป็นไง?” ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการปรับปรุงตกแต่งบ้เรือนสี่ประสานของเขา จะเอาเวลาที่ไหนไปชื่นชมของโบราณพวกนั้น? เขาจึงปฎิเสธไปอย่างนุ่มนวล

“หา? น้องเยี่ย วันมะรืนที่ร้านผมคึกคักมากเลยนะ คุณไม่ไปจริงๆ เหรอ?”

จี่หรานพูดไม่ออก การค้าของเขาในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง คนอื่นอยากจะเข้าไปแต่ก็ไม่มีเส้นสาย ไม่คิดเลยว่าจะถูกเยี่ยเทียนปฎิเสธ

“เยี่ยเทียน ไปกินข้าวได้แล้ว ต้องให้เรียกทุกที ไม่เอาไหนเลย!”

ตอนกำลังจะส่งแขกกลับไป เสียงของเยี่ยตงผิงดังออกมา “เอ๋ เสี่ยวเทียน แกมีแขกหรือ? ทำไมไม่บอกสักคำ ฉันจะได้ให้ป้าใหญ่ทำกับข้าวหลายอย่างหน่อย”

เยี่ยเทียนโบกมือ “พ่อ ไม่ต้องหรอก พวกเขาจะกลับกันอยู่แล้ว ตู้เฉียง คุณจำไว้เรื่องของคุณให้เสร็จก็แล้วกัน แล้วค่อยเอาใบเสร็จมาให้ผมอีกที”

ตู้เฉียงรู้ทันว่าเยี่ยเทียนกำลังไล่แขก รีบยืนขึ้นแล้วตอบว่า “คุณเยี่ยโปรดวางใจ ผมจะทำตามที่คุณบอกนะครับ!”

ตู้เฉียงตอบไปเช่นนี้ คุณชายจี่ก็ไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว จึงลุกขึ้นเดินตามไปตู้เฉียง

เยี่ยตงผิงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงไม่ได้พูดอะไร ตอนที่จี่หรานเดินผ่านหน้าไป เยี่ยตงผิงก็นิ่งค้างไปแล้วโพล่งออกมา “คุณ คือผู้อำนวยการจี่แห่งร้านประมูลหลินไห่ใช่ไหม?”

“ผม…ผมคือจี่หราน คุณลุงเยี่ย รู้จักผมด้วยเหรอครับ?”

พอฟังบทสนธนาของเยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิง จี่หรานจึงทราบความสัมพันธ์ของทั้งสอง แต่เขาไม่รู้จักเยี่ยตงผิง จึงไม่ทราบเหมือนกันว่าฝ่ายนั้นรู้จักตัวเองได้อย่างไร

“ผู้อำนวยการจี่มีชื่อเสียงในวงการ ผมรู้จักแน่นอน เอ้อ เยี่ยเทียน แขกมาถึงบ้านแล้วไปไล่เขาอย่างนั้นได้ยังไง?”

เยี่ยตงผิงไม่พอใจกับการกระทำของลูกชาย ปกติเขาก็อยากจะหาลู่ทางเข้าไปประมูลของก็ยังหาไม่ได้ ตอนนี้ประธานบริษัทประมูลมาถึงบ้าน ลูกชายเขากลับไล่ออกไป แถมยังใช้คำพูดไม่น่าเกรงใจอีกด้วย?

“พ่อ มาจากไหนเนี่ย?”

เยี่ยเทียนถูกพ่อตำหนิจนทำหน้าไม่ถูก มีหรือที่เขาจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของจี่หราน เพียงแต่เขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับคุณชายเศรษฐีพวกนี้

พูดตามตรง ตั้งแต่ได้รู้จักกับเศรษฐีผู้สร้างธุรกิจรุ่นแรกในปักกิ่งอย่างเหลยอู้ เว่ยหงจวิน หลิวต้าจื้อพวกนี้แล้ว ระดับอย่างจี่หรานไม่ได้อยู่ในสายตาของเยี่ยเทียนเลย

จี่หรานเห็นสีหน้าไม่ชอบใจของเยี่ยเทียน จึงรีบพูดต่อ “ลุงเยี่ย ผมแค่มาเยี่ยมเยียนน้องเยี่ย ไม่ได้มีธุระอื่น งั้นผมไม่รบกวนเวลาทานอาหารของพวกคุณแล้วนะครับ”

“พูดอะไรอย่างนั้น ผู้ที่มาเป็นแขก เวลาอื่นอยากจะชวนผู้อำนวยการจี่ยังไม่เชิญไม่ได้   ไป..เข้าไปดื่มกันสักหน่อย…”

ถึงเยี่ยตงผิงจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีเรื่องจะขอร้องเยี่ยเทียน ช่วงนี้เขาอยากจะเข้าประมูลวัตถุโบราณแต่หาลู่ทางไม่ได้ ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว เลยไม่สนใจความคิดเห็นของเยี่ยเทียน

“งั้น…” จี่หรานหันมามองเยี่ยเทียนทีหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้า จึงรีบตอบว่า “ดีครับ ถ้างั้นขอรบกวนลุงเยี่ยด้วยแล้วกัน!”

จี่หรานอยู่ต่อได้ แต่ตู้เฉียงรู้ว่าตัวเองถ้าอยู่ต่อจะไม่เหมาะ จึงกล่าวลา “คุณเยี่ย ผมต้องไปเยี่ยมลูกชายที่โรงพยาบาล ต้องขอตัวก่อนนะครับ”

“ได้ครับ ลูกชายคุณร่างกายไม่แข็งแรง พาเขาออกไปรับแดดบ้าง อย่าไปในที่ๆ อากาศหนาวเย็น!” เยี่ยเทียนกำชับกับตู้เฉียงแล้วส่งเขาออกไปจากบ้าน

“พ่อ ผมยังมีเรื่องต้องทำ พ่อกับพี่จี่ทานข้าวกันไปก่อน ไว้ผมค่อยกลับมาทานทีหลัง!”

หลังจากส่งตู้เฉียงออกไปแล้ว เยี่ยเทียนเก็บใบเสร็จและใบบริจาคขึ้นมา เดินกลับเข้าห้องของตัวเองทางลานหลังบ้าน ตอนนี้เขาอยากจะนั่งสมาธิสักครู่ เพื่อจะดูว่าการทำบุญทำทานจะช่วยเรื่องการบำเพ็ญฝึกวิชาให้ก้าวหน้าอย่างที่อาจารย์บอกไว้จริงหรือไม่?

วิธีการฝึกวิชาของเยี่ยเทียนมีสองวิธี หนึ่งคือการฝึกมวยภายนอก ซึ่งคล้ายกับการฝึกกายบริหารเบญจสัตว์ เหมาะกับการใช้ต่อสู้จริง ซึ่งความร้ายกาจนั้น ไม่ด้อยไปกว่ามวยจีนเลย

อีกวิชาคือการฝึกลมปราณการหายใจ ซึ่งเป็นศาสตร์ลับที่ไม่มีการถ่ายทอดต่อของสำนักเสื้อป่าน แม้แต่ศิษย์พี่อีกสองคนของเยี่ยเทียนที่อยู่ฮ่องกงกับใต้หวันยังได้เรียนแค่ผิวเผิน ถ้าได้ฝึกวิชานี้แล้วผู้ฝึกจะสามารถเชื่อมต่อกับพลังต้นกำเนิดของฟ้าดิน ใช้เป็นวิชาอาคมได้

เมื่อนานมาแล้ว สำนักเสื้อป่านสืบทอดเพียงวิชายุทธ แต่การสืบทอดวิชาอาคมได้สาบสูญไปหลายร้อยปี นักพรตเฒ่าถึงจะฝึกวิชายุทธได้ถึงขั้นสูงสุดแล้ว กลับไม่สามารถใช้วิชาอาคมใดได้เลย

เมื่อสงบจิตใจได้แล้ว เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิบนเตียง เดินลมปราณพลังชีวิตตามจักระ นักพรตเฒ่าเคยบอกไว้ว่าการทำบุญทำทานจะทำให้วิถีแห่งสวรรค์มาโปรดได้มากขึ้น เวลาฝึกวิชา จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

แต่ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง เยี่ยเทียนเดินลมปราณไปสองรอบแล้ว ยังไม่ได้รู้สึกว่าพลังจะไหลคล่องขึ้นจากเดิมเท่าไร จึงเหยียดหลังตรงขึ้นอย่างหงุดหงิด

“หรือว่าอาจารย์จะกลัวว่าเราทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงิน จึงหลอกเราเข้าให้แล้ว?”

เยี่ยเทียนคิดขึ้นมาได้ คำพูดที่ว่า “จอมยุทธหาเงินมาได้ด้วยวิธีมิชอบ จอมยุทธต้องรีบใช้เงินทำความดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดความฉิบหาย” เป็นคำที่สืบต่อกันมาในยุทธภพ นักพรตเฒ่าก็มักพูดอยู่เป็นประจำ

โดยเฉพาะวิชาอาคม หากใช้อาคมเพื่อแสวงหาทรัพย์สินความร่ำรวยละเมิดกฎสวรรค์ ในสมัยโบราณปรมาจารย์ด้านวิชาอาคมส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ตามป่าเขา ไม่ค่อยออกมาบ่อยนัก เพราะกลัวจะได้รับบทลงโทษจากการฝืนลิขิตฟ้า

บางคนพอใช้วิชาออกไปแล้วได้นำเอาเงินที่ได้ไปบริจาคให้คนยากจน เหมือนอย่างที่นักพรตเฒ่าพาเยี่ยเทียนออกท่องยุทธภพมาหลายปี เงินนั้นหาได้ไม่น้อย แต่นักพรตเฒ่าก็บริจาคไปทั้งหมด

“เยี่ยเทียน ออกมา!” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดขณะฝึกวิชาอยู่นั้น เสียงพ่อของเขาก็ดังมาจากนอกประตู

“พ่อ ทำไมเหรอ?” เยี่ยเทียนลงจากเตียงสวมรองเท้าแล้ว ก็ไปเปิดประตู เยี่ยตงผิงทราบว่าลูกชายต้องการพักผ่อนอย่างสงบ จึงไม่ค่อยมารบกวนลูกชายที่ลานหลังบ้านบ่อยนัก

“วันมะรืนไปกับพ่อหน่อย เมื่อกี้จี่หรานไม่ได้บอกให้แกไปหรอก แต่พ่อรู้ว่าเป็นเพราะแก แกไปกับพ่อเถอะ!”

การใช้ลูกชายเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในสามโลก เยี่ยตงผิงไม่ได้มาเพื่อปรึกษากับลูกชาย แต่มาเพื่อบอกให้รับทราบ เพื่อให้รับทราบเท่านั้น

“พ่อ พ่อไปยุ่งเกี่ยวกับคนนั้นทำไมกัน?” เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่ชอบใจ ตอนที่หลอกให้เว่ยหงจวินกับเหลยอู้ซื้อของโบราณเขายังไม่ว่าอะไร แต่กับจี่หรานเขาไม่อยากจะไปคบหาด้วย

“แกกับเขาเคยมีเรื่องกันหรือ?” เยี่ยตงผิงฟังออกถึงความไม่ปกติ

“เปล่า เขาไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลย…” เยี่ยเทียนพูดจากใจจริง

“เด็กบ้า แกมีสิทธิ์อะไรที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา?”

เยี่ยตงผิงได้ยินคำของลูกชายก็มีน้ำโหขึ้นมาจึงเขกหัวเขาไปทีหนึ่ง “แกอย่ามองว่าจี่หรานอายุน้อย เข้ามาทำในวงการไม่กี่ปี แต่ร้านประมูลของเขาเป็นที่อันดับต้นๆ ในปักกิ่ง ยอดการค้าในแต่ละปีแม้แต่บริษัทใหญ่ๆ อย่างเจียเต๋อยังสู้ไม่ได้!”

พอพูดถึงตรงนี้เยี่ยตงผิงจึงลดเสียงเป็นกระซิบ “ได้ยินว่าบ้านของจี่หรานมีความสัมพันธ์อันดีกับสถานีตำรวจ ในตลาดมืดค้าของเก่าทั้งปักกิ่ง เทียนจินต่างก็ถูกเขาผูกขาดหมด ถ้าจะติดต่อหาทางนำของเข้ามาในปักกิ่ง ต้องติดต่อผ่านเขาเท่านั้น เยี่ยเทียน แกอย่าดูถูกเขาเป็นอันขาด!”

เยี่ยเทียนฟังจบก็เบ้ปาก “ผมรู้น่ะสิว่าคนพวกนี้ไม่เดินทางที่ซื่อตรงแน่ๆ พ่อ คงไม่ได้ตกหลุมพรางเขานะ ของพวกนั้นนานๆ เล่นทีก็พอแล้ว อย่าทำเป็นธุรกิจจริงจังเลย!”

ครั้งก่อนพ่อไปรับของผิดกฎหมายมาจนเกิดเรื่อง เกือบจะทำให้เยี่ยเทียนเอาชีวิตไม่รอด เขาไม่อยากจะให้เกิดเหตุ การณ์แบบนั้นอีก เมื่อคิดถึงการรับของผิดกฎหมายครั้งก่อน เยี่ยเทียนรู้สึกใจเสียขึ้นมา และถามต่อว่า  “พ่อ ของในตลาดมืดพวกนี้ เป็นของที่ถูกขุดขึ้นมาจากดินมีมากไหม?”

แม้จะทราบว่าข้าวของในหลุมศพไม่สามารถเป็นเครื่องรางของขลังได้ แต่คราวก่อนที่เก็บมีดสั้นอู๋เหินมาได้ฟรีๆ เยี่ยเทียนกลับรู้สึกถึงการรอคอยวัตถุโบราณที่เพิ่งถูกขึ้นมาพวกนี้เช่นกัน