จากนั้นคงอธิบายแบบสรุปเสร็จแล้ว ชินเยฮยอนจึงเริ่มเดินนำหน้าไป ผมค่อยๆ ก้าวเดินตามหลังเธออย่างช้าๆ
หลังจากนั้น พวกเราจึงได้ฟังคำอธิบายและคำชี้แนะเกี่ยวกับด้านในแคลนเฮาส์โดยเวลาก็ได้หมุนเวียนผ่านไปประมาณสองสามชั่วโมง เพราะว่ามีเนื้อที่กว้าง เนื้อหาของมันจึงมากมายและยุ่งเหยิงตามไปด้วย
ถ้าลองสรุปเนื้อหานั้นก็คือ นอกเหนือจากล็อบบี้กับเคาน์เตอร์ก็สามารถแบ่งพื้นที่ออกได้ทั้งหมดสี่แห่ง ทางเดินทางซ้ายโดยเริ่มจากเคาน์เตอร์ ประกอบไปด้วยห้องรับรอง ห้องนั่งเล่น และห้องเตรียมการเป็นหลัก ส่วนทางเดินด้านขวาประกอบด้วยห้องอาหารกับพื้นที่ชุมนุมภายในขนาดใหญ่
ส่วนที่เด่นที่สุดในบรรดาห้องพวกนั้นคือห้องอาหาร ไม่ได้เป็นห้องอาหารตามจุดพักรถริมทางทั่วไป แต่ภาพรวมเป็นเหมือนกับเอาร้านเหล้าร้านหนึ่งมาใส่ไว้ ห้องนั้นที่มีโต๊ะหลายสิบตัวกับห้องครัวกว้างใหญ่จับจองพื้นที่อยู่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นร้านอาหารขนาดย่อม
และภายในครัวก็มีห้องเก็บอาหารกับพื้นที่จัดเก็บของอย่างเพียงพอ อุปกรณ์ทำอาหารพื้นฐานก็มีไว้เรียบร้อยด้วย เพราะอย่างนั้นพัคบงพัลจึงคุยโวเอาไว้ว่าบางทีพวกพ่อครัวคงจะทำอาหารได้รสชาติดีทีเดียว
พวกเราเดินดูชั้นหนึ่งจนทั่ว และตอนที่คำอธิบายที่เคยได้ยินไม่หยุดกลับค่อยๆ น้อยลงทีละนิดก็เริ่มเดินขึ้นมายังชั้นสอง แน่นอนว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะอาคารส่วนกลางเป็นตึกที่มีเป้าหมายในการใช้แบบเฉพาะทาง ดังนั้นชั้นสองกับสามจึงมีพื้นที่ที่จะต้องสอดคล้องกันกับเรื่องนั้นด้วย นั่นหมายความว่า ที่นี่คือสถานที่ที่รวบรวมพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวเป็นหลัก
ชั้นสองมีแผนการว่าจะใช้เป็นที่จัดการข้อมูลต่างๆ ใช้ดำเนินงานภายในเผ่า และเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ ส่วนชั้นสามก็จะเป็นห้องทดลองสำหรับแปรธาตุ ห้องทดลองของนักเวท ห้องสมุด และห้องประชุมเล็ก เป็นต้น เพราะอย่างนั้น นอกเหนือจากห้องประชุมเล็กก็จะต้องซื้อพวกเครื่องมือพิเศษที่เกี่ยวข้องกับห้องที่ว่างอยู่เป็นพื้นฐาน ดังนั้นจึงอธิบายแค่ว่าตรงไหนเป็นพื้นที่แบบไหนโดยสรุปย่อๆ ก็ข้ามผ่านไปได้แล้ว
พอบอกว่าที่ชั้นสามมีจุดที่เป็นเอกลักษณ์เพียงจุดเดียว วิเวียนก็แทบจะเลิกสำรวจชั้นสามแล้วตรงเข้าไปในห้องทดลองของนักเล่นแร่แปรธาตุทันที เธอถามพัคบงพัลว่าพื้นที่สำหรับใช้เป็นห้องทดลองสำหรับแปรธาตุอยู่ที่ไหน แล้วเธอก็พาชินซังยงเข้าไปในห้องทดลองแปรธาตุทั้งอย่างนั้น วิเวียนถือว่าห้องทดลองแปรธาตุไม่ต่างอะไรกับร่างแยกของตัวเอง ดังนั้นแน่นอนว่าเธอจึงไม่ได้สนใจห้องอื่นๆ มากมายนัก
ชินซังยงดูเหมือนอยากสำรวจดูมากกว่านี้อีกหน่อย แต่เพราะการเร่งของวิเวียน เขาจึงดึงเคออซ มิมิคสองอันตามเธอไปทั้งที่ไหล่ลู่ลง
คำอธิบายของชั้นสามจบลงแบบนี้ แล้วพวกเราก็ก้าวเดินไปยังชั้นสี่ที่เฝ้ารอคอย เห็นได้ว่าชั้นสี่สามารถอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวว่าเป็นพื้นที่ใช้ส่วนตัวสำหรับแคลนลอร์ด ถ้าพูดถึงพื้นที่หลักของชั้นนี้ก็จะเรียกได้ว่าเป็นห้องทำงาน ห้องประชุม(ใหญ่) แล้วก็ห้องรับรองแขกหรือเปล่านะ นั่นหมายความว่า มองว่าเป็นพื้นที่สำหรับตัวผมใช้เพียงคนเดียวน่าจะถูกกว่าสำหรับใช้แบบมีเป้าหมายเฉพาะในตอนแรก เพราะอย่างนั้น พื้นที่แต่ละส่วนจึงกว้างขวาง และจำนวนพื้นที่สำหรับใช้ชั่วคราวก็มีน้อยกว่า
พวกเราสำรวจชั้นสี่เสร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน และหลังจากแวะไปบนดาดฟ้าเป็นที่สุดท้าย พวกเราจึงสำรวจอาคารหลักได้เสร็จสิ้น
พระอาทิตย์ตกดินและเข้าสู่ช่วงกลางคืนอันมืดมิดโดยไม่รู้ตัว พัคบงพัลกับชินเยฮยอนอธิบายอาคารหลักเสร็จแล้วยังช่วยอธิบายกระทั่งอาคารย่อยอย่างครบครันด้วย จากนั้นก็บอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าหากลองอยู่ไปสักพักแล้วมีส่วนไหนที่ไม่ชอบใจก็ให้บอกได้เสมอ แล้วทั้งสองคนก็ออกจากแคลนเฮาส์ไป
ก่อนเข้ามาในนี้เด็กๆ เอาแต่พูดพึมพำโดยไม่รู้ตัว แต่พอหลังจากดูรอบๆ เสร็จจริงๆ พวกเขาก็เริ่มมีท่าทีกระฉับกระเฉง พูดตามตรงว่าในมุมมองของผม ห้องพักมันแทบจะเหมือนกันหมด ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังบอกว่าจะต้องเลือกห้องก่อนให้ได้แล้ววิ่งกันออกไป
หลังจากนั้น ผมก็ให้เวลาอิสระ ตอนนี้บางคนน่าจะเดินสำรวจดูรอบๆ แคลนเฮาส์ ส่วนบางคนก็น่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำไปแล้ว ผมเองก็กลับเข้ามาในห้องทำงานชั้นสี่ของอาคารหลักแล้ว เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าจะปล่อยให้ทุกคนสำรวจแคลนเฮาส์ได้อย่างเต็มที่สองวัน จากนั้นผมถอนหายใจสั้นๆ แล้วมองดูรอบๆ ห้องทำงานซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมอยู่ในตอนนี้
ห้องทำงานกว้างและข้าวของเครื่องใช้ก็มีคุณภาพดีจนถูกใจผมเข้าอย่างจัง พรมอ่อนนุ่ม โซฟาแสนสบาย โต๊ะตัวยาว โต๊ะหนังสือเนื้อละเอียด และอื่นๆ เฟอร์นิเจอร์หลากหลายอย่างมีอยู่เต็มห้องทำาน แต่สิ่งที่ผมถูกใจที่สุดก็คือระเบียงที่มองเห็นอยู่ด้านหลังของโต๊ะหนังสือ
คริสตัลทำหน้าที่เป็นหน้าต่างเช่นเดียวกับที่เห็นตรงชั้นหนึ่ง ผมมองเห็นประตูไม้ที่สามารถออกไปสู่ระเบียงตรงกลางได้ ถ้าออกไปตรงนั้นก็ดูเหมือนจะมองเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าของโมนิก้าโดยเริ่มจากตัวแคลนเฮาส์ได้อย่างทั่วถึง บางทีตอนที่ปวดหัว ถ้าออกไปพักข้างนอกสักหน่อยก็น่าจะลงตัวเลยทีเดียว
ผมมองด้านนอกระเบียงแล้วลังเลขึ้นมาว่าจะรออยู่ในห้องทำงานแบบนี้ดี หรือจะลองขึ้นไปบนดาดฟ้าสักครู่ดี ในตอนนั้น ผมตัดสินใจได้และกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงวิ่งอย่างรวดเร็วแล้วประตูห้องทำงานก็เปิดออกพรวดพร้อมกับมีใครบางคนเข้ามา พอหันหน้าไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ผมจึงเห็นวิเวียนกำลังหอบหายใจด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“แฮ่กๆ คิมซูฮยอน! ยังไม่นอนแล้วก็กำลังรออยู่เหรอเนี่ย”
“เธอบอกให้ทำแบบนี้นี่”
“ฮี่ๆ ก็ใช่น่ะสิ!”
“เฮ้อ”
“หืม ถอนหายใจทำไมล่ะ”
สาเหตุที่ผมยังไม่เข้านอนถึงแม้ว่าจะดึกแล้วก็เพราะรอวิเวียนอยู่นั่นเอง เธอกำชับผมถึงสองรอบก่อนที่จะไปยังห้องทดลองสำหรับแปรธาตุบนชั้นสาม
‘คิมซูฮยอน คืนนี้ฉันจะให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าใครแพ้ชนะเพื่อนาย’
‘รอก่อนนะ อย่าเพิ่งนอน รู้ใช่ไหม ว่าวันนี้เป็นวันที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตารอถึงขนาดนั้น ฮี่ๆ ตั้งตารอได้เลยจ้า~’
ผมรู้สถานการณ์จึงบอกว่างั้นเหรอแล้วปล่อยผ่านไป แต่กับพัคบงพัลและชินเยฮยอนนั้นไม่ใช่ พัคบงพัลพูดด้วยความอิจฉาว่า ‘เป็นผู้หญิงที่กระตือรือร้นจริงๆ เลยนะ ผมอิจฉาจังครับ’ ส่วนชินเยฮยอนก็ทำหน้าแดงพลางหลบตา
พอนึกถึงตอนนั้น ผมก็กำหมัดโดยอัตโนมัติ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วรู้สึกเหมือนเรื่องสำคัญใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพราะอย่างนั้นผมจึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ ผมต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากทำตัวไร้ประโยชน์
ผมลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองวิเวียน เธอขยับเข้ามาใกล้ด้วยการเดินอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจับแขนเสื้อของผมแล้วเริ่มดึงกระตุก
“รีบไปกัน เร็วเข้า ตอนนี้รู้สึกดีชะมัดเลย”
“ทั้งเรื่องการเตรียมความพร้อม ทั้งเรื่องกำลังกายก็จะต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบไม่ใช่เหรอ”
“ขั้นตอนในการเล่นแร่แปรธาตุทำยาวิเศษครั้งนี้ ความสามารถของชินซังยงแล้วก็ส่วนผสมเป็นสิ่งสำคัญนะ เครื่องมือไม่ได้ติดตั้งเอาไว้อย่างครบครันก็จริง แต่ก็เพียงพอในระดับที่สามารถทำยาด้วยการเล่นแร่แปรธาตุได้ อีกทั้งยังติดตั้งเอาไว้มากมายเลยด้วย”
วิเวียนคงมีอะไรบางอย่างรีบร้อนถึงขนาดนั้น มือข้างหนึ่งของเธอจึงโบกไปมาพร้อมกับตอบ ผมกุมขมับที่ปวดตุบๆ แน่นแล้วถามเพิ่มอีกอย่าง
“กำลังกายล่ะ”
“จะบอกให้รู้นะว่าฉันน่ะชอบช่วงกลางคืนที่ซู้ด”
“ไม่ใช่เธอแต่คุณชินซังยงต่างหาก”
“ชิ เขาก็โต้รุ่งตามฉันมาเยอะ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็เถอะ ฉันตั้งใจที่จะให้มันออกมาสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตามมาเถอะเพคะ”
วิเวียนทำปากยื่นพลางทิ้งมือพรึ่บลงด้านล่าง จากนั้นเธอก็หมุนตัวไปจนเกิดเสียงดังขวับ ผมมองเธอที่ก้าวออกนอกประตูไปแล้วผมเองจึงลุกออกจากโต๊ะพลางเดินไปนอกประตูเช่นกัน วิเวียนมั่นใจถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่เชื่อถือได้แน่นอน
ทางเดินชั้นสามมืดมิด คงเพราะมาถึงเวลากลางคืนแล้ว และหินไลท์ก็ดับลงแล้วด้วย รอบข้างจึงมืดสนิท
แต่ยิ่งเดินไปตามทางเดิน แผ่นหลังของวิเวียนที่เคยเห็นเป็นเพียงแค่เงาก็เริ่มมองชัดขึ้นทีละนิด แสงกำลังค่อยๆ ส่องตรงทางเดิน พอเงยหน้าขึ้นไปอีกเล็กน้อยจึงได้เห็นว่ามีแสงเล็ดลอดออกมาจากระหว่างประตูห้องตรงปลายสุดของทางเดิน
วิเวียนเปิดประตูที่เคยแง้มแค่นิดเดียวให้กว้างกว่าเดิม พอเดินตามหลังเข้าไปจึงได้เห็นห้องทดลองสำหรับแปรธาตุที่เธอกับชินซังยงตกแต่งเอาไว้ ไม่สิ พูดตามตรงว่าทั่วทุกที่มันรกรุงรังไม่เป็นระเบียบน่าจะถูกต้องกว่าตกแต่งหรือเปล่า
ห้องทดลองสำหรับแปรธาตุกว้างมากและเพดานก็ค่อนข้างสูง พอมองรอบๆ ภายในห้องที่มีแสงไฟในตะเกียงพริ้วไหวอย่างช้าๆ จู่ๆ ผมก็นึกถึงห้องทดลองที่เคยเห็นในอดีตคุกใต้ดินของนักเล่นแร่แปรธาตุวิเวียนขึ้นมา มองว่าเหมือนกันเปี๊ยบไม่ได้ก็จริง แต่ไม่รู้ทำไม ร่องรอยของที่นั่นเห็นอยู่ทั่วห้องอย่างชัดเจน
“เตรียมเกือบเสร็จแล้ว อีกไม่นานจะเริ่มละนะ เดิมทีตั้งใจจะทำกันแค่พวกเราสองคน แต่ถึงอย่างนั้นคิมซูฮยอนก็น่าจะจำเป็นจะต้องจับตาดูขั้นตอนในการเล่นแร่แปรธาตุทำยาวิเศษ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก ถ้ารบกวนเดี๋ยวจะออกไปรอข้างนอก”
“ไม่หรอก แค่อยู่เงียบๆ ที่มุมหนึ่งก็พอ”
เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องยาก พอผมพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินไปอยู่ตรงมุมมุมหนึ่ง วิเวียนเองจึงเคลื่อนไปทางเตาไฟสีดำขนาดใหญ่ที่ถูกวางเอาไว้ตรงกลางเช่นกัน
พื้นของห้องทดลองมีวงแหวนเวทสามวงถูกกางไว้ วงแหวนเวทวงใหญ่แผ่ขยายคลุมทั่วทั้งพื้นหนึ่งวง วงแหวนเวทที่กางอยู่ข้างใต้เตาไฟหนึ่งวง และวงแหวนเวทเล็กๆ ที่กางอยู่ในวงแหวนเวทวงใหญ่อีกทีหนึ่งวง แต่ที่พูดมาก็เป็นเพียงวงแหวนเวทที่เห็นด้วยตาเท่านั้น
วงแหวนเวทที่กางอยู่ด้านในมีรูปแบบเป็นดาวหกแฉก ตรงส่วนปลายของมุมรูปสามเหลี่ยมแต่ละมุมมีหัวใจปีศาจ หินรวมพลังแห่งฮอร์แรนซ์ ชิ้นส่วนวิญญาณของวิเวียน เขายูนิคอร์น และโพชั่นพิเศษทางด้านกำลังกายถูกวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย ชินซังยงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงด้านหน้าของวงแหวนเวทนั้น
ชินซังยงไม่ได้หลับตา ถึงแม้ว่าผมจะเข้ามาแต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นแล้วเพียงแต่ก้มลงมองวงแหวนเวทในสภาพหรี่ตาเท่านั้น
พอมองดูท่าทางแบบนั้น ผมจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก พวกนักเวทหรือนักเล่นแร่แปรธาตุ ตอนที่ได้ทำการทดลองสำคัญๆ จำเป็นจะต้องมีสมาธิในระดับสูงสุด เนื่องจากมีการคิดคำนวณอย่างละเอียดอ่อนด้วย ถ้าบิดพลิ้วไปแม้จะแค่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับคืนได้ ในหัวของชินซังยงในตอนนี้คงจะมีเพียงขั้นตอนในการทำให้การแปรธาตุทำยาวิเศษสำเร็จขึ้นได้แน่
“คิมซูฮยอน จะเริ่มแล้วนะ เวลาที่ใช้น่าจะไม่ได้นานขนาดนั้น เต็มที่ก็สามสิบนาที บางทีอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้”
“สามสิบนาทีก็รอได้”
“ถ้างั้นฉันก็อดใจไม่ไหวแล้ว ชินซงยัง ฉันจะเรียกออร์โดมาแล้วนะ เตรียมตัวแล้วก็ต้องทำให้จังหวะพอดีกันด้วย”
ชินซังยงไม่ตอบ เขาเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น แต่วิเวียนก็ไม่สนใจแล้วยื่นมือขวาไปด้านข้าง ทันใดนั้น ก้อนแสงที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นมาบนมือของเธอแล้วแสดงให้เห็นรูปทรงที่ยืดยาวออก นั่นคือออร์โดแห่งข้อบังคับที่ทำพิธีส่งมอบเจ้าของเสร็จสิ้นเมื่อก่อนหน้านี้
“ฟู่”
วิเวียนปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วจึงเล็งออร์โดไปทางวงแหวนเวทพร้อมกับร่ายเวทสั้นๆ ตอนนั้นเอง ประกายสีแดงก็เหมือนจะส่องออกมาตรงวงแหวนเวทที่กางไว้อยู่ข้างใต้เตาไฟ จากนั้นเปลวไฟก็เริ่มลุกโชนขึ้นมากลางอากาศ
วูมมมม
เตาไฟร้อนมากขึ้นและแสงไฟที่ลุกขึ้นมาจากวงแหวนเวทก็เริ่มแพร่กระจายออกกว้าง ไม่ใช่แค่แพร่กระจายออกไปเฉยๆ ถึงแม้มองผ่านๆ จะดูเหมือนแต่ละอย่างมันเกิดขึ้นเองแบบไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่จริงๆ แล้วมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จากนั้นพอเปลวไฟสีแดงโหมเข้าไปในวงแหวนเวทวงใหญ่ที่กางไว้ ภายในห้องก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาในชั่วพริบตา
วูมมมมมมมม!
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร เสียงดังวุานวายก็ยิ่งกระหึ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเสียงของวงแหวนเวทที่ถูกใช้งานค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิภายในห้องก็ยิ่งพุ่งพรวดขึ้นโดยไม่ลดลงเลย และในตอนที่ฐานของเตาไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับของเหลวด้านในเดือดพล่าน แสงสีแดงที่ค่อยๆ โหมเข้าไปจากด้านนอกก็สัมผัสกับส่วนปลายสุดของมุมดาวหกแฉก
และแล้วชินซังยงซึ่งอยู่นิ่งๆ มาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดจึงเริ่มขยับตัวให้เห็น
วิเวียนกำลังร่ายเวทอย่างต่อเนื่อง แล้วพอบทเวทของชินซังยงเริ่มต้นขึ้น เสียงพูดของทั้งสองคนก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาดแล้วดังก้องขึ้นมา
ออร์โดแห่งข้อบังคับกำลังเล็งไปทางดาวหกแฉกโดยไม่รู้ตัว มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ว่าพลังเวทมากมายมหาศาลกำลังหมุนเวียนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองอย่างนั้น