สำเร็จแก่นสารของจิตวิญญาณ

มีตัวอักษรจำนวนหนึ่งถูกจารึกไว้ด้านข้างแผ่นหิน ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นตัวอักษรของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ให้ความรู้สึกที่ชวนขนลุกเมื่อมองจากระยะไกล

คว้าแก่นสารและยึดฉนวนของจิตวิญญาณ*!*

จางเซวียนสามารถถอดรหัสความหมายของตัวอักษรที่อยู่บนแท่นหินนั้นได้

เพราะหนังสือเกี่ยวกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เขาได้รับจากมั่วคุนเสิน จางเซวียนจึงมีความเชี่ยวชาญภาษาของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในระดับที่น่าพอใจ

ฉนวนที่ลอยอยู่ด้านบนน่าจะเป็นฉนวนของจิตวิญญาณเราระบุไม่ได้ว่ามันอยู่ในระดับขั้นไหนแต่ดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังมาก จางเซวียนคิด

เขาไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าฉนวนของจิตวิญญาณนั้นอยู่ในระดับขั้นไหน แต่ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่ามันทำให้เขาหยุดชะงักและไม่อาจเข้าถึงมันได้ ก็แสดงว่าอย่างน้อยจะต้องมีระดับขั้นเดียวกันกับหินหมึกของนักปราชญ์โบราณจื้อหยู่

เราต้องนำมันมาให้ได้**ไม่อย่างนั้นปรมาจารย์มากมายจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะของล้ำค่าชิ้นนี้

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเจียงฟังโหย่วกับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น ก็แทบไม่ต้องสงสัยแล้วว่าตระกูลเจียงจะอยู่ข้างไหนหากเกิดสงคราม ยิ่งตระกูลเจียงมีของล้ำค่าที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะสร้างความพินาศวอดวายได้มากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้จางเซวียนยังไม่เก่งกาจพอที่จะรับมือกับตระกูลเจียง สิ่งที่เขาทำได้ก็คือพยายามบั่นทอนพละกำลังของพวกนั้นให้มากที่สุด

ต้องลองดู*!*

จางเซวียนสูดหายใจลึกและพยายามเดินเข้าหาฉนวน แต่หลังจากเดินไปได้เพียง 2 ก้าว ก็เหงื่อท่วมตัว รู้สึกราวกับมีเข็มนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้รุดหน้าไปได้อย่างยากลำบาก

แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้วจิตวิญญาณของเราคงรับไม่ไหวแน่หากเราบังคับให้มันเดินหน้าต่อไป

จางเซวียนรีบถอยจากฉนวนนั้นออกมา 2-3 ก้าวเพื่อบรรเทาแรงกดดันที่บีบคั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา

ดูเหมือนการคว้าเอาฉนวนของจิตวิญญาณนี้จะเป็นเรื่องเกินกำลัง

ถ้าเป็นอย่างนั้นบางทีเราควรจะพยายามทำตามที่แท่นหินบอกมันบอกไว้ว่าเราควรจะนำฉนวนออกไปโดยการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณต้องลองดูสักหน่อยแล้ว*…*

จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในเมื่อไม่มีความคิดที่ดีกว่า เขาจึงตัดสินใจจะทำตามคำสั่งที่จารึกไว้บนแท่นหิน

ถึงอย่างไร ไม่ช้าไม่นานเขาก็ต้องฝึกฝนวรยุทธที่เกี่ยวกับแก่นสารของจิตวิญญาณอยู่ดี เพราะดูเหมือนมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้เขาได้อีกมาก แผนการเบื้องต้นของเขาก็คือนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเจียงออกไปก่อนและหาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อฝึกฝนแก่นสารของจิตวิญญาณ แต่ดูเหมือนตอนนี้จะต้องเปลี่ยนแผน

จางเซวียนยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาดำดิ่งเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าและทำความเข้าใจหนังสือเทียบฟ้า เกี่ยวกับแก่นสารของจิตวิญญาณที่ถูกประมวลขึ้น

เขาแตะหนังสือ จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงกระแสของความรู้ที่ไหลเข้าสู่สมอง ความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของจางเซวียนค่อยๆล้ำลึกขึ้นทีละน้อย

เหตุผลที่เขาสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้อย่างรวดเร็วก็เพราะเขาฝึกฝนศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าสำเร็จถึงขั้น 3 แล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือฝึกฝนเทคนิคขั้น 4 ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้เวลานาน

ส่วนการทำความเข้าใจแก่นสารของเวลานั้น จางเซวียนต้องใช้เวลานานกว่ากันมาก แต่ก็ยังไม่ถึง 1 ชั่วโมง

ส่วนการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ เขามีความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณอย่างล้ำลึกอยู่แล้ว และจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วย

เวลาผ่านไปเพียงสิบอึดใจ จางเซวียนก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

วิ้ง!

กลุ่มพลังงานหมุนวนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ซึ่งหากมีใครจ้องก็จะเกิดอาการเวียนหัวขึ้นมาทันที

หลังจากฝึกฝนวรยุทธเพียงสิบอึดใจ จางเซวียนก็สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณของตระกูลเจียง หากเขาต้องต่อสู้กับใคร พลังงานจากจิตวิญญาณของเขาก็จะกลายเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการใช้โจมตี

…..

ในเวลาเดียวกัน…

“การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ…มีคนสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณแล้ว!”

เจียงฟังโหย่วยืนอยู่ใจกลางหอบรรพบุรุษ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะเฝ้ามองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบ “เรื่องนี้เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมมาก! ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้รวดเร็วขนาดนี้!”

เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาส่งลูกสาวเข้าไปเพื่อพยายามทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ แล้วปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้น ทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนว่าผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณจะต้องเป็นลูกสาวของเขา!

“สวรรค์เฝ้ามองตระกูลเจียงของเราอยู่จริงๆ ด้วยสิ่งนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของตระกูลเจียงจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ขอแค่เธอได้รับมรดกตกทอดของผู้ก่อตั้ง ต่อให้มีเหตุการณ์ใหญ่โตเกิดขึ้น ตระกูลเจียงของเราก็แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้!” เจียงฟังโหย่วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

หลังจากได้ข่าวจากชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น เขาก็ไม่อาจระงับใจให้สงบได้เลย แต่เมื่อรู้ว่าสามารถไว้ใจใครบางคนให้ปกป้องตระกูลเจียงได้แล้ว จิตใจที่รุ่มร้อนของเขาก็สงบลง

ผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณนั้นจะมีฉนวนของจิตวิญญาณ ต่อให้ไม่อาจปลุกนักปราชญ์โบราณของตระกูลขึ้นมาได้ แต่ก็จะสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ส่วนใหญ่ได้ด้วยตัวเอง

“พวกคุณเตรียมพิธีสถาปนาหัวหน้าตระกูลได้แล้ว ผมจะไปหาเฟยเฟย!” เจียงฟังโหย่วพยายามเก็บอาการ เขารีบสั่งการเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังก่อนจะมุ่งหน้าออกไป

“ขอรับ ท่านหัวหน้า!”

เหล่าผู้อาวุโสรีบออกจากหอบรรพบุรุษด้วยสีหน้าที่แสดงความภาคภูมิใจ

ตระกูลจางมีจางเซวียน ตระกูลหลัวมีหลัวเทียนหยา พวกเขายังวิตกกังวลอยู่ว่าตระกูลเจียงคงจะย่ำแย่หากต้องล้าหลังสองตระกูลชั้นนำนั้น แต่ใครจะไปคิดว่าในที่สุดเฟยเฟยก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!

สมกับที่เป็นตระกูลเจียง ความปราดเปรื่องของตระกูลเจียงนั้นไม่ได้เป็นรองใครเลย

…..

เจียงฟังโหย่วใช้เวลาราวสิบอึดใจก็มาถึงขุมสมบัติ ขณะที่เข้าสู่ห้องโถงชั้น 1 ก็เห็นสาวน้อยกำลังยืนอยู่ห่างจากกำแพงหยกราว 10 เมตร ร่างของเธอชุ่มเหงื่อ ไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงหยกได้มากกว่านั้น

เจียงฟังโหย่วชะงักกับสิ่งที่เห็น เขารี่เข้าหาเฟยเฟยและตั้งคำถาม “เฟยเฟย มีอะไร?”

ผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณจะไม่หวั่นไหวไปกับแรงกดดันของกำแพงหยก แต่ทำไมลูกสาวของเขาถึงดูเหมือนยังไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้?

“ท่านพ่อ วางใจเถอะ ฉันจะพยายามเต็มที่เพื่อฝ่าด่านวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุด…” เห็นท่านพ่อยังคงกังวลแม้เธอจะให้คำมั่นสัญญาแล้ว ถึงกับมาตรวจดูหลังจากที่ออกไปได้เพียงแค่ไม่กี่นาที เจียงเฟยเฟยอดรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยไม่ได้

“เจ้ายังไม่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณหรือ?” ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เจียงฟังโหย่วตัวแข็งทื่อด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันเข้ามาที่นี่ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย จะสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?” เจียงเฟยเฟยถึงกับพูดไม่ออก

ท่านพ่อของเธอเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?

ถ้าการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณมันง่ายขนาดนั้น เธอคงทำสำเร็จไปนานแล้ว ทุกอย่างคงไม่ยืดเยื้อจนถึงตอนนี้

“แต่…”

เจียงฟังโหย่วถึงกับเซ หัวสมองของเขาตามไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาแทบลมจับ

เขาคิดว่าคนที่ฝ่าด่านวรยุทธและทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้สำเร็จคือลูกสาวของเขา แต่ถ้าไม่ใช่ลูกสาวของเขา…แล้วจะเป็นใคร?

เห็นสีหน้าของท่านพ่อ เจียงเฟยเฟยรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอรีบถอยออกมาจากกำแพงหยกก่อนจะตั้งคำถาม “มีอะไรหรือท่านพ่อ? เกิดอะไรขึ้น?”

“หลังจากที่เราแยกกัน พ่อก็เข้าไปที่หอบรรพบุรุษ และเพียง 1 นาทีหลังจากนั้น ปรากฏการณ์ ‘การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ’ ก็เกิดขึ้น พ่อจึงคิดว่าเจ้าฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!” เจียงฟังโหย่วอธิบาย

“ไม่ใช่ฉันหรอก…” เมื่อเข้าใจเหตุผลที่ท่านพ่อมีพฤติกรรมแปลกๆ เจียงเฟยเฟยก็ชะงักไป “เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นสมาชิกสักคนของครอบครัวสาขาที่ทำความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณได้สำเร็จ เหมือนกับหลัวเทียนหยา?”

“ครอบครัวสาขา…ครอบครัวสาขาของตระกูลเราจะเก่งกาจขนาดนั้นได้อย่างไร?” เจียงฟังโหย่วยังคงไม่เห็นด้วย

เขาขมวดคิ้วเป็นร่องลึกและพยายามครุ่นคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและหันไปถามลูกสาวว่า “เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่าตอนที่กำลังฝึกฝนวรยุทธที่นี่?”

เจียงเฟยเฟยนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่นะ ฉันไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลย”

เธอกำลังทุ่มเทความพยายามที่จะซึมซับความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ จึงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติใดๆทั้งนั้น

“การที่จะเกิดปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษได้ ผู้นั้นจะต้องสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณและเป็นสมาชิกในตระกูลของเรา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ แต่ว่า…เป็นไปได้หรือที่ใครสักคนจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จโดยปราศจากตัวอักษรหยก?” เจียงฟังโหย่วครุ่นคิด

แม้จะมีตัวอักษรหยกคอยช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่มีสมาชิกหลักคนไหนของตระกูลเจียงที่สามารถทำความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วใครกันที่เก่งกาจถึงขนาดทำได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวอักษรหยก?

ตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองของเจียงฟังโหย่ว เขาตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงขณะอุทาน “หรือว่าจะเป็น…แย่แล้ว! เฟยเฟย ตามพ่อมา!”

เขารีบพุ่งขึ้นบันไดไปหลังจากพูดจบ

ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าท่านพ่อพรวดพราดไปแบบนั้นเพราะอะไร แต่เจียงเฟยเฟยก็รีบตามไปติดๆ

ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็มาอยู่ที่ชั้น 2 เพียงแค่มองแวบเดียว เจียงฟังโหย่วก็หน้าซีดเผือด

ทั้งห้องที่เคยเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติล้ำค่ากลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของหนูสักตัว

“มีหัวขโมยคนหนึ่งลักลอบเข้ามาในขุมสมบัติของเรา เท่าที่เห็น ดูเหมือนเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน…เราต้องเปิดใช้งานฉนวนของตระกูลแล้ว!” เจียงฟังโหย่วอุทานอย่างร้อนรน