บทที่ 559 เงียบสงบ

บัลลังก์พญาหงส์

คำพูดเกลี้ยกล่อมของชิงกูกูได้ผลไม่น้อย ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพยักหน้า “ข้าเลอะเลือนไปแล้ว”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าคิดจะส่งเจียงอวี้เหลียนเข้าวังหลวง จากนั้นก็จดชื่อเซิ่นเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อชายาเอกหลิวซื่อ และแยกพวกนางแม่ลูกออกจากกัน นิสัยอย่างเจียงอวี้เหลียนนั้นไม่เหมาะสมที่จะเลี้ยงคุณชายน้อยของจวนตวนชินอ๋อง”

 

 

ลักษณะนิสัยของเจียงอวี้เหลียนนั้น ช่างน่าสงสัยจริงๆ ว่าคนเช่นนี้จะเลี้ยงลูกได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเด็กในครอบครัวเช่นนี้ หากโตไปในทางที่ไม่ดี นั่นก็จะเป็นหายนะที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพี่น้อง หรือว่าราษฎรและคนอื่นๆ ก็ไม่ดีทั้งนั้น

 

 

ดังนั้นก่อนหน้านี้นางลังเลตัดสินใจไม่ได้มาตลอด แต่ว่าตอนนี้กลับตัดสินใจได้แล้ว เจียงอวี้เหลียนไม่เหมาะเลี้ยงเด็กจริงๆ ฉวยโอกาสตอนที่เซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กแยกแม่ลูกออกจากกัน หาคนมาเลี้ยงดูให้ดี ในอนาคตก็คงไม่ถึงขั้นกลายเป็นหายนะไม่ใช่หรือ?

 

 

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สุดท้ายแล้วการต้องแยกสองคนแม่ลูกออกจากกัน เจียงอวี้เหลียนยังไม่เท่าไร แต่เกรงว่าในอนาคตหลังจากเซิ่นเอ๋อร์โตขึ้นคงจะต้องกล่าวโทษนางอย่างแน่นอน รู้สึกว่านางทำให้พวกเขาสองแม่ลูกต้องแยกออกจากกัน จนสร้างความโกรธแค้นและช่องว่างขึ้นมา

 

 

ชิงกูกูตกใจ จากนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางย่อมไม่กล้าพูดประเมินอะไรอย่างง่ายดาย ผ่านไปครู่ใหญ่ ชิงกูกูก็ถอนหายใจ “คนอย่างชายารองเจียง ไม่เหมาะสมจะเลี้ยงเด็กจริงๆ ท่านทำเช่นนี้ก็ไม่มีเห็นต้องโดนติเตียน ท่านอ๋องเองก็คงจะไม่ขัดขวางเป็นแน่ แต่เกรงว่าไทเฮาคงจะรู้สึกไม่เหมาะสม”

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ในตอนนี้ไฉนเลยยังจะสนใจได้อีกว่าไทเฮาจะมองข้าอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่ชอบข้าตั้งแแต่แรกอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่เห็นต้องใส่ใจนัก กังวลทางนี้ แต่อีกทางทำไม่ได้ คงไม่อาจคาดหวังให้ปลาและหมีประสานมือกันได้หรอกกระมัง?”

 

 

ชิงกูกูก็ถอนหายใจเช่นเดียวกัน “ไม่อาจสนใจได้จริง” แต่เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าในอนาคตจะต้องเกิดภัยเงียบอย่างแน่นอน ความคิดของไทเฮามีความสำคัญต่อหลี่เย่มาก ถึงเวลานั้นหากไทเฮา…ต่อให้ใจของหลี่เย่จะมีแต่ถาวจวินหลัน แต่เกรงว่าถึงตอนนั้นก็คงจะยาก

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ถาวจวินหลันก็พาเจียงอวี้เหลียนเข้าวังหลวงด้วยตนเอง จากนั้นก็พูดความคิดของตนเองให้ไทเฮาฟัง

 

 

พอไทเฮาได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วในทันใด “เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง? อย่างไรนั่นก็เป็นลูกชายของเจียงซื่อเอง ทำเช่นนี้ถือว่าผิดกฎสวรรค์”

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้าถอนหายใจ “ไทเฮาพูดถูกเพคะ แต่ครอบครัวอย่างพวกเราการสอนเด็กคนหนึ่งนั้นสำคัญกว่าคนธรรมดาไม่รู้ตั้งกี่เท่า หากเซิ่นเอ๋อร์ถูกสอนไปในทางผิด เกรงว่าในอนาคตคงจัดการยากแน่เพคะ อีกทั้งแม้จะบอกว่าแยกแม่ลูกออกจากกัน แต่ก็ยังพบกันได้เป็นครั้งคราว เพียงแค่ไม่อาจให้เจียงอวี้เหลียนเลี้ยงด้วยตนเองได้เท่านั้น อีกทั้งเจียงอวี้เหลียนก็เป็นคนพูดเองว่าจะให้เซิ่นเอ๋อร์จดใต้ชื่อของชายาเอกหลิว เมื่อเป็นเช่นนี้เซิ่นเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นลูกชายของชายาเอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรต้องได้รับการสั่งสอนที่ดี ไม่ให้นางเลี้ยงก็ถือว่าสมเหตุสมผลนะเพคะ”

 

 

“เจียงซื่อพูดเองอย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาขมวดคิ้วถามเสียงเบา สีหน้าดูไม่ค่อยชอบใจและไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก

 

 

ถาวจวินหลันเงยหน้าสบตาฮองเฮา เม้มปากถามกลับไป “หม่อมฉันจะกล้าตัดสินใจเช่นนี้แทนเจียงอวี้เหลียนได้อย่างไรเพคะ? ไทเฮาว่าอย่างไรเล่า? เป็นมารดาเหมือนกัน หม่อมฉันเองก็เคยลิ้มรสความรู้สึกเช่นนั้นมาแล้ว หม่อมฉันย่อมไม่อาจไปบีบบังคับคนอื่นได้หรอกเพคะ”

 

 

ไทเฮาไม่ได้พูดต่อต้านอะไร ถาวจวินหลันพาเจียงอวี้เหลียนคู่แม่ลูกมาไว้ในวังหย่งโซ่ว แล้วกลับไปจวนตวนชินอ๋องเพียงคนเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้จวนตวนชินอ๋องก็จะยิ่งเงียบเหงากว่าเดิม

 

 

ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้เกรงว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยพูดว่าตนเองฉวยโอกาสกำจัดอำนาจภายในจวน ไม่อาจรับคนอื่นได้ แต่ในตอนนี้ไฉนเลยจะสนใจเรื่องเหล่านี้ได้อีก?

 

 

ทางด้านหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันเองก็แอบให้คนไปส่งข่าวแล้ว ให้นางไปมาหาสู่กับอี๋เฟยบ่อยๆ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ก็ดูว่าหยวนฉงหวาเข้าตาอี๋เฟยได้หรือไม่

 

 

อย่างไร สิ่งที่นางทำได้นางก็ทำหมดแล้ว ที่จะต้องปูทางไว้ให้หยวนฉงหวาก็ปูเอาไว้หมดแล้วเช่นเดียวกัน ในตอนนี้สิ่งเดียวที่นางทำได้ ก็คือการกุมตัวอาอู่เอาไว้ชั่วคราว รอจนอี๋เฟยตัดสินใจได้แล้วว่าจะยกอาอู่ให้หยวนฉงหวาเลี้ยง นางก็ค่อยคืนอาอู่กลับไป

 

 

แน่นอนว่าเหตุผลที่ไม่ส่งอาอู่กลับไป ไม่ใช่เพราะเหตุนี้เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ หากอาอู่ถูกส่งกลับไป เช่นนั้นสิ่งที่นางต้องเผชิญก็คือความบ้าคลั่งพัดโหมของฮองเฮา ดังนั้นในตอนนี้นางจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทุกทาง มิเช่นนั้นหากมีอะไรที่พลาดไปแม้แต่น้อย ผลลัพธ์ก็คงไม่ดีนัก

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าชีวิตของตนเองสำคัญที่สุด นางยังอยากยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ กับหลี่เย่ไปอีกนาน นางอยากเห็นซวนเอ๋อร์กับหมิงจูแต่งงานมีครอบครัว ดังนั้นนางไม่อาจพลาดได้แม้แต่น้อย

 

 

แน่นอนว่านางทำเช่นนี้อาจทำให้คนสงสัยว่านางผิดสัญญา แต่เพื่อเอาตัวรอดแล้ว ไฉนเลยยังจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อีก? จะต่ำต้อยสักเล็กน้อยก็ต้องปล่อยไป คิดว่าหนามหยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง

 

 

ช่วงเวลาหลังจากนี้เพราะว่ายุ่งเตรียมงานเทศกาลล่าปา ฮองเอาถึงไม่ได้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไร และถาวจวินหลันย่อมต้องเป็นเหมือนปลาที่ตกลงไปในบ่อน้ำชั่วคราว สามารถหายใจได้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความลำบากอยู่ดี

 

 

หรือที่ฮองเฮายังไม่ยอมลงมือสักที ก็เป็นเพราะว่าขาดโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้นเอง ความสงบในตอนนี้ก็เหมือนกับบรรยากาศก่อนที่พายุปรงจะโหมกระหน่ำเข้ามา ในบรรยากาศสงบภายในมักมีกดดันและอึดอัดแฝงอยู่มาก ทำให้คนรับรู้ได้ถึงความกดดันที่ไม่อาจจับต้องได้

 

 

จวนตวนชินอ๋องก็จัดงานเทศกาลล่าปาเหมือนกัน แต่เป็นเพราะว่าหลี่เย่ไม่อยู่ในจวน และเจียงอวี้เหลียนก็อยู่ภายในวังหลวง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่ได้คิดจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ เพียงแค่ให้คนภายในจวนเตรียมให้พร้อมเท่านั้นเอง

 

 

ที่นางเป็นกังวลมากที่สุดก็คือในเวลานี้องค์รัชทายทาทยังคงกลับมาไม่ถึงเมืองหลวง

 

 

หากองค์รัชทายาทเคลื่อนไหวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับคำสั่ง ในตอนนี้ก็คงจะต้องกลับมาหลายวันแล้ว ต่อให้ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น รีบเดินทางเสียหน่อย ก็ควรจะมาถึงแล้วเช่นกัน

 

 

ทว่าในตอนนี้ยังมาไม่ถึง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกิดความผิดพลาดขึ้นกลางทาง ก็ต้องเป็นเพราะว่าไม่สนใจตั้งแต่แรก

 

 

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็น่ากังวลทั้งนั้น ถาวจวินหลันรู้สึกร้อนใจแล้วจริงๆ นางมีสันชาตญาณอย่างหนึ่ง เกรงว่าที่ฮองเฮายังไม่เคลื่อนไหวเสียทีก็เป็นเพราะว่ารอการเคลื่อนไหวจากทางองค์รัชทายาทอยู่

 

 

สัญชาตญาณเช่นนี้ยิ่งรู้สึกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทำให้นางอึดอัดมากขึ้นทุกวัน

 

 

วันเวลาล่วงมาถึงก่อนหน้างานเทศกาลล่าปาหนึ่งวัน ก็มีข่าวกระจายมาจากในวังหลวงว่า ไม่จัดงานเลี้ยงเทศกาลล่าปาแล้ว ให้ทุกคนแยกย้ายไปจัดงานฉลองที่จวนของตนเอง

 

 

ถาวจวินหลันมองข้าวต้มล่าปาที่ส่งมาจากภายในวังหลวง ก็ถอนหายใจ แล้วส่งไปให้หงหลัว “เอาไปแบ่งให้ครบทุกที่ จากนั้นก็เอาไปทาที่ต้นไม้ภายในเรือนเสียหน่อย ข้าไม่กินแล้ว”

 

 

ไม่ใช่เพราะว่ากลัวข้าวต้มไม่สะอาด แต่เพราะนางไม่มีความคิดนั้นจริงๆ หลายปีก่อนนี้ไม่ว่าอย่างไร งานเลี้ยงเทศกาลล่าปาก็สำคัญ มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ล่าปาล่าปา ผ่านเทศกาลล่าปาไปแล้วก็คือปีใหม่ นี่เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดก่อนจะถึงวันสิ้นปี ย่อมต้องให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงไม่เคยได้ยินว่าไม่จัดงานเลี้ยงเทศกาลล่าปา

 

 

และนางแต่เดิมคิดว่าสามารถฉวยโอกาสสืบข่าวอะไรได้บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าภายในวังหลวงจู่ๆ จะไม่จัดงานเลี้ยงแล้ว นี่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้นางผิดหวัง ในขณะเดียวกันก็สงสัยเต็มอก สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงยกเลิกงานเลี้ยงในวังหลวงฉับพลัน?

 

 

จะต้องรู้ว่าแต่เเดิมนั้นวังหลวงได้จัดการเตรียมพร้อมงานเลี้ยงแล้ว แต่เพียงไม่ได้ประกาศออกไปเท่านั้นเอง

 

 

วันเทศกาลล่าปามาถึง ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รีบจะไปสืบอะไร เพียงแค่นั่งกินข้าวต้มล่าปาดีๆ จากนั้นก็ให้คนแบ่งข้าวต้มล่าปาที่ตนเองทำให้คนรู้จัก อย่างเช่นบ้านตระกูลถาว บ้านตระกูลเฉิน และทางด้านองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า

 

 

รอจนถึงวันที่เก้า ถาวจวินหลันถึงได้แอบส่งเทียบเชิญให้กับองค์หญิงแปด เชิญองค์หญิงแปดมาพูดคุย พลางสอบถามสถานการณ์ภายในวังหลวง ปกติแล้วองค์หญิงแปดเข้าใจสถานการณ์ภายในวังหลวงดีมาก ไม่ถามนางแล้วจะไปถามใคร?

 

 

องค์หญิงแปดเห็นถาวจวินหลันก็ยิ้มพลางพูดว่า “ไม่ต้องพูดเยอะ ก็รู้ว่าที่วันนี้ท่านเรียกข้ามาก็เพราะเรื่องเทศกาลล่าปาเป็นแน่ใช่หรือไม่?”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะในทันใด รินชาให้กับองค์หญิงแปดด้วยตนเอง ถึงได้พูดว่า “ในเมื่อเจ้าเดาได้แล้ว จะต้องถามเยอะทำไม? รีบบอกข้าเร็ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 

“วันที่หกตอนกลางคืนเสด็จพ่อสลบไปครั้งหนึ่ง ถึงได้ตัดสินใจไม่จัดงานเลี้ยงเทศกาลล่าปาแล้วเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดพูดเสียงเบา จากนั้นก็ถอนหายใจ “แต่ผู้หญิงที่ปรนนิบัติรับใช้เสด็จพ่อในคืนนั้น กลับถูกลากออกไปจัดการแล้ว ได้ยินว่านางเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อให้เสวยยาเหล่านั้น ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น”

 

 

ถาวจวินหลันถลึงตาโตอย่างตื่นตกใจ คิดไม่ถึงว่า ภายในวังหลวงจะมีพระสนมที่อาจหาญขนาดนี้ กล้าใช้ยากับฮ่องเต้ แม้ว่าจะไม่ใช่ยาอันตรายอะไร แต่ก็ถือว่าทำผิดข้อห้าม คิดว่าจุดจบคงเหลือเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือลากออกไปโบยจนตายกระมัง?

 

 

แต่สุขภาพของฮ่องเต้…ถาวจวินหลันรีบถาม “เช่นนั้นฮ่องเต้เป็นอะไรมากหรือไม่?”

 

 

“ไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ เพียงแค่เรี่ยวแรงสมาธิไม่ได้ดีเท่าไรแล้ว คิดว่าเป็นเพราะเสียหน้า เลยไม่ยอมออกมา” น้ำเสียงขององค์หญิงแปดแฝงความเยาะเย้ยเอาไว้ คิดดูแล้วเป็นเพราะรู้สึกเสียหน้าเช่นกัน พูดตามจริงแล้ว แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ แต่อย่างไรก็ยังเป็นเสด็จพ่อของนาง บิดาของตนพบเจอเรื่องเช่นนี้ นางจะรู้สึกดีใจได้อย่างไร?

 

 

“อีกไม่นานก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทจะกลับมาก่อนวันสิ้นปีได้หรือไม่”

 

 

องค์หญิงแปดส่ายหน้า ทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป

 

 

“เจ้ายังมีอะไรปิดบังข้าอีก พูดมาเถิด” พอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติขององค์หญิงแปด ถาวจวินหลันก็ยิ้มถาม

 

 

องค์หญิงแปดถึงได้พูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าคงจะกลับมาไม่ได้แล้ว ในเมื่อองค์รัชทายาทตั้งใจไม่กลับมา ไม่สนใจว่าเสด็จพ่อจะออกคำสั่งอีกกี่ครั้งก็ไม่มีประโยชน์ ที่จริงแล้วข้าคิดว่าแท้จริงแล้วองค์รัชทายาทกำลังรออะไรอยู่กันแน่? กล้าขัดราชโองการของเสด็จพ่ออย่างออกนอกหน้าโดยไม่หวั่นเกรงใดๆ หรือว่าจะไม่กลัวเสด็จพ่อปลดองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?”

 

 

น้ำเสียงขององค์หญิงแปดแฝงไว้ด้วยความสงสัย

 

 

ถาวจวินหลันฟังอย่างตั้งใจ คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน จู่ๆ นางก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา อย่างแรกทำไมฮองเฮาถึงไม่ยอมลงมือสักที และความเป็นไปได้ที่องค์รัชทายาทไม่ยอมกลับมาเมืองหลวงสักที

 

 

ความเป็นไปได้นี้ยิ่งทำให้นางหวาดหวั่นใจ ทันใดนั้นก็มีเหงื่อเย็นไหลออกมาทั่วร่าง