ตอนที่ 83 ได้ครอบครอง

ลำนำสตรียอดเซียน

“นายท่าน เชิญเข้ามาด้านในเลยเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อเดินตามหลังหญิงผู้ฝึกตนระดับหนึ่งของการหลอมรวมพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอต้องผ่านชั้นแล้วชั้นเล่าของม่านบังตาที่แขวนอยู่ และต้องเดินอ้อมทางเดินหนึ่งต่อจากอีกทางก่อนที่นางจะเข้ามาถึงห้องโถงได้ในที่สุด

 

 

ห้องโถงนี้เล็กกว่าโถงของตลาดนัดที่จัดงานชุมนุมสาวกเต๋าเมื่อหลายวันก่อนอยู่มาก แต่อย่างไรก็ตาม มันทั้งหรูหราและงดงามเสียจนคนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจ

 

 

พื้นถูกปูด้วยก้อนหยก กำแพงถูกแต่งแต้มด้วยผงทอง พวกโต๊ะและเก้าอี้ที่จัดเรียงอยู่ด้านในทำจากไม้วิญญาณอายุนับร้อยปี และแม้แต่กาน้ำชาบนโต๊ะก็ยังทำมาจากหยกชนิดพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น หินล้ำค่าต่างๆ ยังถูกฝังไว้ทั่วทั้งพื้นที่

 

 

ถึงแม้หินล้ำค่าจากโลกมนุษย์จะไร้ค่าสำหรับผู้ฝึกตน แต่มันก็เป็นหลักฐานว่าห้องโถงเช่นนี้จะต้องมีราคามากอย่างแน่นอน อีกอย่าง หินส่วนมากในนี้มีพลังวิญญาณอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่ามันจึงไม่ใช่แค่หินธรรมดาจากโลกมนุษย์แน่นอน

 

 

ด้วยความมั่งคั่งที่ท่วมท้นเช่นนี้ เผ่าหูจึงสมควรแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็นเผ่าผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้า

 

 

โม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงทางเข้า เคลิบเคลิ้มไปกับภาพที่เห็น ทุกอย่างช่างดูงดงามเสียจริง

 

 

“นายท่าน กรุณานำแผ่นจารึกประจำตัวออกมาด้วยเจ้าค่ะ” เสียงดังมาจากด้านข้างของนาง

 

 

โม่เทียนเกอหันหน้าไปด้านข้างและเห็นหญิงผู้ฝึกตนระดับต่ำยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างนาง

 

 

ในที่สุดนางก็รู้ว่านางลืมตัวไปชั่วขณะ โชคดีที่หญิงผู้ฝึกตนไม่ได้แสดงท่าทางยิ้มเยาะอะไร ราวกับว่าปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว อันที่จริงก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่ เนื่องจากผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ไม่ได้โปรดปรานหินล้ำค่าสักเท่าไรนัก ภาพที่แสนงดงามเช่นนี้จึงแทบไม่ได้มีให้เห็นกันในโลกแห่งการฝึกตน

 

 

นางยื่นแผ่นจารึกประจำตัวให้ หญิงผู้ฝึกตนรับไปจดหมายเลขของนางและส่งคืนก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน เชิญตามสบายเลยนะเจ้าคะ ถ้าท่านสนใจของชิ้นไหน ท่านแค่ต้องนำไปที่โต๊ะคิดเงินทางด้านหลัง ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ ท่านสามารถเรียกคนรับใช้ของเราและให้พวกเขาอธิบายให้ฟังได้เลยเจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย นางพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรและเดินตรงเข้าไปสู่ห้องโถง

 

 

นางเพิ่งจะสังเกตว่าหญิงผู้ฝึกตนคนนี้คือคนเดียวกับหญิงผู้ฝึกตนที่ต้อนรับนางก่อนหน้านี้ ทั้งสองเรียกนางว่านายท่านแทนที่จะเรียกว่าสหายนักพรต พวกนางมีกิริยาท่าทางที่เคารพนบนอบและระวังตัวมาก เห็นได้ชัดว่าพวกนางอยู่ที่นี่ในฐานะคนรับใช้ผู้ดูแล ไม่ใช่ผู้ฝึกตน

 

 

เมื่อนางเดินเข้ามาในห้องโถง นางก็เห็นหญิงผู้ฝึกตนหน้าตาสวยหลายคนกำลังยืนอยู่ที่มุมห้อง รอคอยที่จะรับคำขอหรือคำสั่งจากแขกในงาน พวกนางน่าจะเป็นสาวรับใช้ที่หญิงผู้ฝึกตนคนที่บันทึกแผ่นจารึกประจำตัวของนางพูดถึงก่อนหน้านี้

 

 

พวกนางมีกันอย่างน้อยห้าสิบหรือหกสิบคน ระดับการฝึกตนของพวกนางมีตั้งแต่ระดับแรกไปจนถึงระดับห้า และทุกคนล้วนสวยเกินระดับมาตรฐานของความงามทั้งนั้น พวกนางทุกคนยังเป็นหญิงที่อ่อนโยนและอารมณ์เย็นที่มีทั้งกิริยาท่าทางเรียบร้อยและนอบน้อม เผ่าหูนี่ช่างฟุ้งเฟ้อโดยแท้ พวกเขาใช้ความงามของผู้หญิงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับแขกของพวกเขา!

 

 

พอเห็นว่าแขกบางคนลากคนรับใช้ที่ว่านี้ไปกับพวกเขาในขณะที่เดินเล่นไปทั่วและหยอกล้อกับคนรับใช้พวกนี้บางครั้งคราว โม่เทียนเกอก็รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ ครั้นนึกทบทวนความจริงที่ว่าเผ่าผู้ฝึกตนเผ่าใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้าใช้วิธีนี้ในการสร้างความบันเทิงให้แขกผู้มาเยือน นางก็รู้สึกหมดศรัทธาและความประทับใจใดๆ ที่นางมีต่อเผ่าหูไปจนหมดสิ้น

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่านางจะมีความประทับใจที่ดีกับพวกเขาหรือไม่ นางมาเพื่อซื้อของ ไม่ได้มาเพื่อหาสหาย คงจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่นางได้ในสิ่งที่นางตามหา

 

 

หลังจากกวาดตาดูสภาพรอบตัวอย่างผ่านๆ นางก็พบว่าแม้โถงนี้จะไม่อาจเทียบได้กับโถงงานชุมนุมสาวกเต๋าที่ตลาดนัดก่อนหน้านี้ แต่มันก็ไม่ได้ถือว่าเล็ก โถงนี้เต็มไปด้วยโต๊ะที่ถูกจัดเรียงชิดกันมากกว่าร้อยตัว แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีพื้นที่กว้างอยู่ในขณะนี้

 

 

บนโต๊ะมีของหลากหลายประเภทวางแสดงไว้ ของส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบเกือบทุกชนิด ในขณะที่มีแค่บางชิ้นที่เป็นเครื่องมือวิญญาณและยาวิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ความต้องการเครื่องมือวิญญาณและยาวิเศษนั้นไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงวัตถุดิบที่ระบุได้ยากหรือมีการใช้น้อยเท่านั้นที่จบลงด้วยการเป็นสินค้าค้างในคลัง เครื่องมือวิญญาณและยาวิเศษที่ถูกจัดวางอยู่ที่นี่มีแนวโน้มว่าจะถูกรวบรวมมาเองโดยเผ่าหูเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่จัดแสดง

 

 

ณ ขณะนั้นยังไม่ได้มีแขกมากนัก ในหมู่คนที่มาปรากฏตัวอยู่ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับแปดและระดับสูงกว่า และบางส่วนเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ไม่มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แม้ว่างานรวมตลาดนี้จะขายสินค้าที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพสูงที่สุด แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่ามักต้องการพืชล้ำค่าและหินต่างๆ มากกว่า แล้วสินค้าคุณภาพสูงธรรมดาจะตรงกับความต้องการของพวกเขาได้อย่างไร

 

 

ผู้ฝึกตนทุกคนกำลังเดินดูรอบๆ ของหลากหลายที่วางแสดงอยู่บนโต๊ะ ทั้งตรวจดูและตัดสินของพวกนั้น โม่เทียนเกอผู้ที่ได้มองเพียงแวบเดียวสั้นๆ ก่อนที่จะถูกคนอื่นบัง จึงเดินไปทางแผงขายของข้างๆ นางเพื่อถามหญิงผู้ฝึกตน “ขออภัยแม่นาง เจ้าช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ว่าพืชวิญญาณจัดแสดงอยู่ที่ไหน”

 

 

พอได้ยินคำถามของนาง สาวรับใช้ผู้ดูแลโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเพื่อตอบคำถาม “ขออนุญาตให้ข้าได้นำทางนายท่านไปเจ้าค่ะ”

 

 

“ไม่เป็นไร” โม่เทียนเกอปฏิเสธ นางทนไม่ได้ที่จะต้องได้รับการปรนนิบัติในฐานะนายท่านจากหญิงผู้ฝึกตน แต่หลังจากนางปฏิเสธ นางก็รู้ตัวว่าน้ำเสียงนางแข็งกระด้างเกินไปจึงบอกเพิ่มไปว่า “ข้าอยากจะเดินดูช้าๆ น่ะ ข้าไปเองได้ไม่เป็นไร”

 

 

หญิงผู้ฝึกตนไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่ชี้ไปยังจุดหนึ่งและพูดด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “อยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอมองตามนิ้วที่นางชี้บอกและเห็นเป้าหมายของนาง นางจึงพยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณ”

 

 

หญิงผู้ฝึกตนโค้งคำนับ “เชิญตามสบายเจ้าค่ะ ถ้าท่านต้องการอะไรอื่นอีก โปรดอย่าลังเลที่จะถามได้เลยเจ้าค่ะ”

 

 

แม้ว่าหญิงผู้ฝึกตนผู้นี้จะมีทัศนคติที่ดี แต่โม่เทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม นางรู้มานานแล้วว่าสถานะของหญิงผู้ฝึกตนนั้นต่ำต้อยมาโดยตลอด เพราะโดยทั่วไปแล้วพวกนางมีระดับการฝึกตนต่ำ แต่การบังคับให้พวกนางใช้ความสวยเพื่อมาคอยรับใช้แขกอย่างโจ่งแจ้งนั้นสำหรับนางแล้วรับไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่มีสิทธิ์จะไปออกความเห็นถึงวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของคนอื่น นางทำได้เพียงแสร้งว่าไม่เห็นอะไรและลืมมันไปเท่านั้น

 

 

โต๊ะของพวกพืชวิญญาณรายล้อมไปด้วยแขกค่อนข้างมาก เมื่อรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย โม่เทียนเกอจึงรีบมุ่งตรงไปยังโต๊ะเหล่านั้น นางภาวนาอยู่ในใจหวังว่าเห็ดหลินจือสีม่วงจะยังไม่ถูกขายออกไป นอกจากนี้ นางยังหวังว่ามันจะมีอายุมากกว่าห้าร้อยปี มิเช่นนั้น ความตื่นเต้นของนางคงจะสูญเปล่า

 

 

พืชวิญญาณโดยทั่วไปแล้วมักได้รับความสนใจมากที่สุด ในขณะนั้น คนส่วนใหญ่เดินไปรอบๆ โต๊ะที่พืชวิญญาณจัดแสดงอยู่หลายๆ โต๊ะอย่างต่อเนื่อง

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอเข้าใกล้โต๊ะ นางก็เห็นคนประมาณห้าถึงหกคนรุมล้อมอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง หนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูดว่า “นี่คือโสมพันปี ถึงแม้ว่าโสมจะเป็นยารักษาโรคที่ใช้กันทั่วไปในโลกมนุษย์ แต่ข้อดีของโสมนี้อยู่ที่อายุเก่าแก่ของมัน พืชธรรมดาที่อายุพันปีและมากกว่านั้นจะกลายเป็นพืชวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่สมัยโบราณ ว่ากันว่าโสมบางอย่างได้ถูกเพาะปลูกและจัดการให้เปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์ ดังนั้น เมื่อมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี มันจึงเหนือกว่าพืชวิญญาณทั่วไปเป็นอย่างมาก”

 

 

อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “หญ้ารูปดาวนี้ก็ค่อนข้างดีใช้ได้ เป็นพืชประเภทที่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นและจำเป็นสำหรับสูตรยาพิเศษบางอย่าง เพราะฉะนั้นแม้ว่ามันจะไม่เก่าแก่มาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะซื้อ”

 

 

“ยังมีพืชที่ไม่ใช่ดอกไม้แต่ก็ไม่ใช่ใบหญ้าต้นนี้อีก ทุกคนรับรู้ว่าพืชนี้ดี แม้ว่าต้นที่อายุเกือบร้อยปียังไม่แก่มากพอ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะได้สักต้นหนึ่งมาครอบครอง อย่างไรก็ตาม พืชชนิดนี้จำเป็นสำหรับใช้ปรุงยาคงรูปเท่านั้น จึงมีประโยชน์ใช้สอยที่จำกัด”

 

 

โม่เทียนเกอแกล้งทำเป็นว่าสนใจในขณะที่นางโน้มตัวเข้าใกล้และฟังอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนางแอบดูบนโต๊ะจากช่องว่างระหว่างคนมาชมงานและเห็นว่าไม่มีเห็ดหลินจือสีม่วง นางจึงตรงไปยังโต๊ะอื่น นางต้องทำเช่นนี้หลายครั้งก่อนที่ในที่สุดนางจะเจอเข้ากับเป้าหมายบนโต๊ะตัวที่เจ็ด

 

 

เห็ดหลินจือสีม่วงต้นนี้วางอยู่ภายในกล่องใบเล็ก ดูเหมือนหินสีม่วงเข้มที่มีขนาดเท่าฝ่ามือและหนาเท่าใบมีด

 

 

โม่เทียนเกออ่านป้ายที่อยู่ด้านหน้า เห็ดหลินจือสีม่วง อายุหกร้อยปี สินค้าขั้นสุดท้าย ห้าร้อยศิลาวิญญาณ นางก้าวไปข้างหน้าและดมกลิ่นของมันเบาๆ มันมีกลิ่นแรงและค่อนข้างหอมหวาน ซึ่งตรงกับสิ่งที่เขียนในหนังสือพอดิบพอดี

 

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง โม่เทียนเกอสงบจิตใจและหยิบกล่องขึ้นมาอย่างใจเย็น จากนั้นนางไปที่โต๊ะอีกตัวและเดินรอบๆ แกล้งทำเป็นว่าสำรวจดูของที่อยู่บนโต๊ะ หลังจากเลือกหญ้าขั้นเดียวอายุสามร้อยปี นางจึงตรงไปยังโต๊ะคิดเงินที่อยู่ด้านในสุด

 

 

คนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินในที่สุดก็ไม่ใช่หญิงผู้ฝึกตนเสียที เขาเป็นชายชราดูสงบนิ่งที่มีผมและเคราหงอกและอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเรียบร้อย

 

 

โม่เทียนเกอยื่นกล่องหยกทั้งสองกล่องให้กับเขา เมื่อผู้ฝึกตนคนนี้เปิดกล่อง เขาก็เหลือบมองนางอย่างค่อนข้างประหลาดใจและพูดว่า “เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีหนึ่งชิ้น และหญ้าขั้นเดียวอายุสามร้อยปีหนึ่งชิ้น รวมทั้งหมดเจ็ดร้อยศิลาวิญญาณ”

 

 

โดยไม่ลังเล โม่เทียนเกอเอาศิลาวิญญาณออกมาและจ่ายค่าของไปเต็มจำนวน จากนั้นนางหยิบเอากล่องหยกทั้งสองและเก็บมันยัดลงในกระเป๋าเอกภพของนาง

 

 

สาเหตุที่นางจ่ายทันทีก็เพราะทุกคนที่นั่นค่อนข้างร่ำรวย ยิ่งไปกว่านั้น เจ็ดร้อยศิลาวิญญาณสำหรับเห็ดหลินจือสีม่วงอายุหกร้อยปีและหญ้าขั้นเดียวอายุสามร้อยปีถือได้ว่าราคาถูก ถ้านางลังเล คนก็จะสงสัยได้ว่านางมาที่งานรวมตลาดนี้ทำไม

 

 

อีกอย่าง ศิลาวิญญาณเจ็ดร้อยอันก็เป็นเพียงการซื้อขายเล็กน้อยสำหรับเผ่าหู เผ่าผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักเทียนเต้า คนอาจจะจำของทั้งสองอย่างที่นางซื้อไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

บัดนี้ที่เห็ดหลินจือสีม่วงเข้ามาอยู่ในกระเป๋าเอกภพของนางโดยไม่มีอุปสรรค โม่เทียนเกอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด สุดท้ายนางก็มีอารมณ์ที่จะเดินเล่นในงานรวมตลาดนี้เสียที

 

 

เมื่อวานนี้ แม้ว่านางจะได้ข่าวว่ามีเห็นหลินจือสีม่วงขายอยู่ที่ตลาดแห่งนี้ แต่นางก็ยังไม่คาดคิดว่าเรื่องต่างๆ จะดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ นางจินตนาการสถานการณ์ที่นางอาจต้องเจอไปเสียมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่านางโชคดีมากจริงๆ

 

 

เมื่อไม่มีแผนการอะไรในใจ ทันใดนั้นโม่เทียนเกอก็นึกได้ว่าที่งานรวมตลาดนี้มีของดีหลายอย่าง วัตถุดิบมากมายที่นางเคยเห็นแต่ในหนังสือถูกวางเรียงแยกไว้บนโต๊ะ ทำให้นางเกิดความรู้สึกอยากจะซื้อมันขึ้นมา แต่หลังจากคิดให้รอบคอบ นางก็คิดได้ว่านางไม่จำเป็นต้องซื้อของพวกนั้น หากของที่มีหน้าที่ประหลาดไม่ได้ถูกใช้เพื่อขัดเกลาเครื่องมือวิญญาณแปลกๆ หรือใช้ปรุงยาแปลกๆ แล้วจะซื้อไปเพื่ออะไร หากเอามาใช้ไม่ได้ก็ยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินอยู่ดีไม่ว่าของจะดีแค่ไหนก็ตาม

 

 

แม้กระนั้น นานๆ ครั้งก็จะมีบางคนที่ได้พบกับชะตาลิขิต เมื่อพวกเขาพบของที่ต้องการซื้อ พวกเขาก็จะดีใจขั้นสุด คว้าของและรีบเอาศิลาวิญญาณไปจ่ายค่าของเหล่านั้น

 

 

เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าห้องโถงนี้จะค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกแน่นเพราะโต๊ะที่วางกระจายกันอยู่ทั่วทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยผู้คน

 

 

หลังจากเลือกวัตถุดิบหลากหลายชนิดที่อาจเป็นประโยชน์กับนางและยาครอบจักรวาลขวดใหญ่ โม่เทียนเกอจึงอยากจะมองหาที่เงียบๆ สักหน่อย

 

 

ทว่าเมื่อนางเจอ ก็ต้องตกใจสุดขีด

 

 

เจียงเฉิงเสียน!

 

 

นางเห็นว่าไม่ไกลจากด้านหน้าของนาง เจียงเฉิงเสียนและวัยรุ่นสองคนในชุดเครื่องแบบสำนักเทียนเต้ากำลังเดินมาทางนางโดยขนาบไปด้วยหญิงผู้ฝึกตนอีกหลายคน ชายทั้งสามคนหยอกล้อกันขณะที่เดินอยู่ ดูมีความสุขมาก

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนอย่างมาก จึงรีบออกห่างจากโต๊ะเพื่อเลี่ยงพวกเขา

 

 

เจียงเฉิงเสียนมาทางเดียวกับนางตลอดเลยหรือ ตัวเขาและศิษย์สำนักเทียนเต้าสองคนนั้นดูคุ้นเคยกันมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขากำลังแวะมาเยี่ยมเยียนสหายของเขา แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้… คงจะแปลกถ้าคุณชายเอาแต่ใจนายนี้จะยอมทรมานกับการเดินทางบนถนนมากกว่ายี่สิบวันเพียงเพื่อแวะหามาสหายของเขา แต่ถ้าเขาไม่ได้มาหาสหายของเขา ทำไมเขาถึงดูมีความสุขกับคนสองคนนั้นนักล่ะ พวกเขาถึงกับมางานรวมตลาดด้วยกัน!

 

 

นางส่ายหัว ไม่สามารถคิดเรื่องนี้ให้ออกได้เลย แน่นอนว่านายเจียงเฉิงเสียนคนนี้ไม่ใช่คนดี ศิษย์ที่เดินทางมากับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งตายไป แต่เขากลับกำลังสนุกสนานอยู่กับสหายคนอื่นๆ เหมือนกับว่าเขาไม่เป็นอะไรเลย

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าตำแหน่งของนางต้องห้ามให้เจียงเฉิงเสียนพบเข้าโดยเด็ดขาด นางต้องไม่ให้เจียงเฉิงเสียนเห็นนางเพื่อป้องกันไม่ให้เขารู้ว่านางดูคุ้นหน้าคุ้นตาและเกิดสงสัยขึ้นมา ถึงแม้ว่านายท่านเจียงจะไม่สนใจศิษย์ไม่สำคัญอะไรอย่างนางก็ตาม แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็มาจากสำนักเดียวกันและต่างฝ่ายต่างเคยเห็นกันบ่อยๆ ดังนั้น การจำหน้าที่คุ้นเคยของใครสักคนได้จึงเป็นเรื่องปกติ

 

 

ด้วยเหตุนี้ โม่เทียนเกอก้มหน้า ทำตัวกลมกลืนกับฝูงชนและค่อยๆ เดินไปที่ประตูช้าๆ

 

 

ทันทีที่นางกำลังจะก้าวออกจากประตู นางก็ถูกใครบางคนหยุดไว้ คนผู้นั้นพูดว่า “ขอประทานโทษด้วยนายท่าน แต่ท่านสามารถออกจากที่นี่ได้หลังจากงานรวมตลาดจบลงแล้วเท่านั้นเจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกตกใจจึงถามว่า “เป็นกฎหรือ”

 

 

หญิงผู้ฝึกตนที่เฝ้าประตูพยักหน้าและตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ กรุณารออีกสองชั่วโมง หลังจากนั้น…”

 

 

“สองชั่วโมง!? ” โม่เทียนเกอไม่กล้าเสี่ยง แต่การอยู่ในเขตของเผ่าหู นางไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้แน่นอน

 

 

จากสีหน้าโม่เทียนเกอ หญิงผู้ฝึกตนสัมผัสได้ว่านางไม่เต็มใจ เพราะอย่างนั้น หญิงผู้ฝึกตนคนนั้นจึงยิ้มและกล่าวว่า “นายท่าน ต่อให้ข้าปล่อยท่านผ่านไป แต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของเผ่าเฝ้าประตูด้านนอกอยู่อีก เพราะฉะนั้น…”

 

 

เมื่อเป็นอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็แทบไม่ต้องคิดถึงการพยายามหนีออกไป นางถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “นี่… ข้าควรทำอย่างไรถ้าข้าไม่อยากจะเดินดูต่อแล้วล่ะ”

 

 

หญิงคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าขณะที่นางพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น กรุณารอสักครู่นะเจ้าคะ” ทันทีหลังจากที่นางพูดเช่นนั้น นางก็ส่งสัญญาณให้ใครสักคน หญิงผู้ฝึกตนหน้าตาสะสวยอีกคนเดินมาหาพวกเขาและโค้งคำนับเป็นการทักทาย

 

 

หญิงคนที่เฝ้าประตูพูดว่า “พานายท่านผู้นี้ไป เขาจะได้พักสักครู่หนึ่ง”

 

 

หลังจากได้รับคำสั่ง หญิงผู้ฝึกตนหันมาหาโม่เทียนเกอและบอกว่า “นายท่านเจ้าคะ…เชิญตามข้ามา”