“กองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามเลยเชียวรึ ?” มู่เฉียนซีอ้าปากค้าง

“นี่เป็นการคาดการณ์อย่างต่ำที่สุดแล้ว และบางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่นั้น เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสาม ความพยายามของเจ้าทั้งหมดจะสูญเปล่า” จวินโม่ซีกล่าวขรึม ๆ

“ถ้าหากว่าสิ่งที่ข้ารู้มานั้นไม่ผิดพลาดละก็นะ กองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามในโลกทั้งสี่ทิศมีเพียงสามแห่งเท่านั้น นั่นก็คือตำหนักตงจี๋ที่เขตตะวันออก ตำหนักเป่ยหานที่แดนเหนือ และแคว้นเทพฟ่านอินแห่งทิศตะวันตก

อย่างไรเสียนางก็ได้อ่านหนังสือจากจวนชางไห่และหนังสือจากห้องตำราของสำนักศึกษาซวนเสียมาตั้งมากมาย นางย่อมรู้จักโลกทั้งสี่ทิศเป็นอย่างดี

จวินโม่ซีกล่าว “สำนักนิกายระดับสามเหล่านี้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นหมื่นปีแล้ว”

“แคว้นเทพฟ่านอินเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เคารพบูชาในพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด จึงมีความเป็นไปได้น้อยนิดนัก เช่นนั้นก็เหลือแค่เพียงตำหนักเป่ยหานและตำหนักตงจี๋แล้วล่ะ”

ตอนนี้มีข่าวแพร่ออกไปยังกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามว่าหอหมอปีศาจที่มีผู้ควบคุมดูแลอยู่เพียงสองคนแข็งแกร่งกว่ากองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสองเสียอีก

แต่นางรู้ดีว่าหอหมอปีศาจของนาง นอกจากนักปรุงยาแล้ว ผู้แข็งแกร่งในด้านอื่นนั้นมีอยู่น้อยเสียจนน่าสงสารและแทบจะเทียบกับสำนักนิกายระดับหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“เพื่อคืนอิสรภาพให้อารองอย่างปลอดภัย และเรื่องของการปะทะกับกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามนั้นเป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยงได้ ข้าไม่ยอมถอยแน่ และผู้ที่กล้ามาควบคุมอารองกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังของคนผู้นั้นจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำไว้”

จวินโม่ซียิ้มและกล่าวขึ้น “ข้าขายร่างกายให้แก่เจ้าไปนานแล้ว เจ้าเองก็ถือโอกาสนี้แก้แค้นให้ข้าด้วยเลยแล้วกัน”

“ไสหัวไปเลย! เจ้าไม่ได้ขายร่างกายให้แก่ข้าแต่เจ้าขายให้แก่อาหารอันเลิศรสฝีมือข้าต่างหากกระมัง แค้นของตนก็จงแก้แค้นเอาเอง ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น” มู่เฉียนซีเตะเขาออกไปทันที

‘มู่เฉียนซี เจ้านี่ก็จะมากไปแล้ว เจ้าเป็นผู้นำตระกูลและเจ้าของกิจการที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องกิจการงานต่าง ๆ เท่าไรข้ายังพอเข้าใจ แต่เรื่องความแค้นของการถูกฆ่าล้างตระกูล เจ้าก็ยังจะไม่สนใจอีกรึ ?’ จวินโม่ซีคิดอย่างเหนื่อยหน่าย

“ข้ายอมเหนื่อยและรับเรื่องบาดหมางไม่ยุติธรรมเพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้กับข้า ฮือ! เจ้ามันใจร้าย มู่เฉียนซีเจ้ามันใจร้าย!” แววตาของจวินโม่ซีนั้นทุกข์ทนอย่างที่สุด

ทว่ามู่เฉียนซีหาได้สนใจไม่ นางเพียงยักไหล่ให้เขาเท่านั้น

หลังจากสาธยายกับจวินโม่ซีจบ นางก็กลับไปพักผ่อน

……

เงาร่างสีแดงเข้มเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง เขามองดูมู่เฉียนซีอย่างทำใจไม่ได้อยู่นานสองนาน และเตรียมตัวที่จะหันหลังจากไป

ทว่าเขาก็รู้ว่าการที่จะจากไปเลยเช่นนี้เป็นสิ่งมิสมควร จึงหยิบพู่กันขึ้นมาเตรียมเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แต่เมื่อจรดหัวพู่กันลงไปกลับเขียนอะไรไม่ออก

เขากล้ำกลืนอารมณ์ความรู้สึกไว้ ก่อนจะพุ่งร่างออกไปที่ห้องของจวินโม่ซีทันที

จวินโม่ซีกำลังฝันถึงอาหารเลิศรสนานาชนิดและเขากำลังลิ้มรสมันอย่างเพลิดเพลิน แต่ทันใดนั้น เขาเกิดรู้สึกถึงลมดำมืดพัดมาทำให้ตกใจตื่นขึ้นมาในทันใด

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มองเห็นตรงหน้าต่างมีบุรุษผู้หนึ่งยืนมองเขาตรงนั้นอยู่เงียบ ๆ

“ดึกดื่นเช่นนี้ไม่หลับไม่นอน แล้วยังจะมาทำให้คนอื่นเขาตกใจกลัวอีก ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน ?” จวินโม่ซีถามขึ้น

“ข้าต้องไปแล้ว วันรุ่งขึ้นฝากเจ้าบอกซีเอ๋อร์ด้วยว่าข้าจะช่วยหาตัวกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิงเล่มนั้นให้”

“อ้อ! เช่นนั้นขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัยนะ” จวินโม่ซีกล่าวอย่างสุภาพ

“หลังจากที่ข้าไปแล้ว เจ้าอย่าได้คิดหรือวางแผนการอะไรที่ไม่เข้าท่าต่อซีเอ๋อร์ของข้า และเจ้าเด็กที่ชื่อว่ามู่ซีนั่น กันให้เขาอยู่ห่างจากซีเอ๋อร์หน่อย ส่วนชายอื่นที่คิดมิดีมิร้ายกับนาง ก็จงอย่าให้พวกเขาเข้ามาใกล้นางได้” หลิงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง

จวินโม่ซีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เฮ้อ! โปรดเข้าใจเถอะว่าข้าทำไม่ไหวจริง ๆ เจ้ามิใช่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมีพลังความสามารถแข็งแกร่งเพียงใด เช่นนั้นแล้วเรื่องพวกนี้เจ้าจัดการเองเสียจะดีกว่า ข้ารับรองเลยว่าข้าทำไม่ไหวหรอก”

โดยเฉพาะชายผู้ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเหมือนดั่งเทพมารซิวหลัวผู้นั้น ยิ่งรับมือได้ยาก! หากว่าตามตรง ใครจะรับมือกับชายที่ชื่อจิ่วเยี่ยนั่นได้

“เหอะ! เจ้านี่มันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ซีเอ๋อร์จะต้องไม่ชอบเจ้าอย่างแน่นอน เช่นนี้ข้าก็วางใจได้แล้วว่าเจ้าคิดทำอะไรนางไม่ได้แน่” หลิงกล่าวไปพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจไปพลาง

สีหน้าของจวินโม่ซีหม่นลงในทันใด อย่าดูถูกเขาเช่นนี้ได้ไหมเล่า ? จะดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นถึงนักปรุงยาอัจฉริยะที่เป็นรองแค่เพียงผู้ที่ปรุงยาแข็งแกร่งที่สุดในโลกทั้งสี่ทิศเท่านั้น

หากเป็นผู้อื่น ป่านนี้เขาคงเอายาพิษกองใหญ่โยนไปใส่เป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว เพื่อที่จะทำให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่ง โดยไม่สนด้วยซ้ำว่าเขานั้นจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าหรือไม่

แต่คนผู้นี้เป็นอารองของแม่นางมู่ จะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้เป็นอันขาด

“ข้าไปล่ะ อย่าลืมนำคำพูดของข้าไปบอกต่อซีเอ๋อร์ด้วย”

เงาร่างสีแดงเข้มกะพริบออกไป หลิงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

แสงสีส้มอ่อนส่องกระทบใบหน้างามทำให้มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมา เมื่อนางเปิดประตูออกไป ก็ได้พบกับจวินโม่ซีผู้ซึ่งยืนยิ้มตาหยีและกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์มู่เฉียนซี”

“สาวน้อย วันนี้เจ้าจะทำอาหารเช้าเองหรือ ? ทำเป็นรางวัลให้ข้าด้วยถ้วยหนึ่งเป็นเช่นไร ? ข้านั้นนอนไม่หลับมาทั้งคืน หิวโหยมาก หิวยิ่งนัก หิวจริง ๆ!”

มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว มองขอบตาที่ดำมืดของเขาอย่างพิจารณาแล้วกล่าวว่า “อะไรของเจ้า ? ที่เจ้าไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน เจ้าคงมิได้ไปเป็นโจรขโมยของของใครกระมัง”

“บ้า! ที่ข้าอดหลับอดนอนเป็นเพราะอารองของเจ้าต่างหาก เขาบุกเข้าไปในห้องข้ากลางดึก ทำอะไรประหลาด ๆ และผลสุดท้ายก็ทำให้ข้าไม่ได้หลับเลยทั้งคืน” จวินโม่ซีบ่น

“ท่านอารอง!”

มู่เฉียนซีตกใจ รีบจะไปดูที่ห้องอารองของตน

“ไม่ต้องไปดูหรอก เขาไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการจากลาอย่างทำใจไม่ได้ เมื่อคืนนี้เขาจึงแอบย่องออกไปเงียบ ๆ และให้ข้าผู้นี้นำข้อความมาบอกต่อเจ้าด้วย” จวินโม่ซียืดอกกล่าว ทำท่าทางประหนึ่งเป็นคนสำคัญ

“ข้อความอะไร ?” มู่เฉียนซีถามทันที

“เขาบอกว่าจะไปหาตัวกระบี่มังกรเพลิงให้เจ้า เมื่อหาพบแล้วค่อยมาหาเจ้า” จวินโม่ซีตอบ

“ข้าเองก็ต้องการหาตัวกระบี่มังกรเพลิงเช่นกัน บางทีข้าอาจจะได้พบท่านอารองอีกโดยบังเอิญก็ได้”

เขาจากไปอย่างไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้ มู่เฉียนซีเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธหรือนึกเสียใจเพราะนางเข้าใจท่านอาของนางดี ในเมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพบกันอีก

แม้หลังจากได้พบกันแล้วเขาอาจจำนางไม่ได้เหมือนเก่า แต่อย่างน้อยนางก็สามารถเห็นได้ว่าอารองยังอยู่ดีได้มิใช่หรือ ?

จวินโม่ซีมองอาการของมู่เฉียนซี เขากล่าวออกมา “หากข้าไม่รู้ว่าเจ้านั้นเป็นห่วงเขามาก คงจะคิดว่านี่เป็นแค่การจากไปของคนที่มิได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันผู้หนึ่งเท่านั้น”

อารมณ์ของมู่เฉียนซีสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก นางเป็นเด็กสาวที่เข้มแข็งจริง ๆ

“สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นเตือนข้าขึ้นมาว่า… ตอนนี้ไม่มีทางใดที่จะช่วยท่านอารองได้ หรือแม้แต่จะยื้อตัวเขาเอาไว้ให้อยู่ต่อก็ไม่มีทางเช่นกัน นั่นมีแต่จะเพิ่มความอันตรายต่อตนเองและญาติมิตร ด้วยความสามารถของท่านอารอง หากเขาไม่ได้ต้องคำสาปให้ต้องตาย เขาจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างดีแน่นอน” มู่เฉียนซีกล่าว

“อืม”

แววตาของมู่เฉียนซีฉายแววมืดครึ้ม “แต่… หอหมอปีศาจจะต้องเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นมาให้รวดเร็วกว่านี้ มิเช่นนั้นการที่จะไปงัดข้อกับสำนักนิกายระดับสาม ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าใด”

“ให้โม่จิ่น ราชาแห่งพิษ แล้วก็คนระดับสูงของหอหมอปีศาจแห่งทวีปเสียโจวทั้งหมดรีบมารวมตัวกันเพื่อประชุมโดยเร็วเถอะ”

“ได้เลย ข้าจัดให้” จวินโม่ซีรับคำ เขารู้ดีว่าหอหมอปีศาจกำลังจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง

เดิมทีนั้นมู่เฉียนซีคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรในเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อเห็นท่านอารองถูกสำนักนิกายระดับสามควบคุมเอาไว้ ถึงแม้ว่าอันตรายจากการเพิ่มความรวดเร็วในการขยายตัวของหอหมอปีศาจจะเพิ่มขึ้น นางก็พร้อมที่จะลองดู

เวลานี้นางวุ่นวายอยู่กับเรื่องของหอหมอปีศาจและแผนการพัฒนาหอหมอปีศาจในขั้นต่อไปเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกัน นางก็ได้กลายเป็นจักรพรรดิแห่งการโดดเรียนไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม อาจารย์ใหญ่ยังมิได้มาเร่งเร้านาง ทว่าคนของสำนักย่อยการปรุงยารอคอยให้นางกลับไปด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหวัง

เวลาค่อย ๆ ผ่านไป จวบจนวันหนึ่ง มีข่าวคราวถูกส่งมาจากอาจารย์ใหญ่ฉู่ว่าที่สำนักส่วนในจะเปิดการสอบเข้าในอีกไม่นาน ถ้าหากว่ามู่เฉียนซียังไม่กลับมา เกรงว่าคงจะพลาดโอกาสในการสอบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักส่วนในในครั้งนี้ไป

ค่ายกลวิญญาณของสำนักส่วนในแข็งแกร่งกว่าของส่วนนอก แน่นอนว่าความรวดเร็วในการเพิ่มพลังความสามารถก็ไวกว่ามาก

เหล่าศิษย์ของสำนักส่วนในมีพลังความสามารถที่แกร่งกว่าและมีความท้าทายมากกว่า

เมื่อจัดการเรื่องของหอหมอปีศาจไปโดยประมาณแล้ว มู่เฉียนซีก็เตรียมตัวกลับไปยังสำนักศึกษา นางออกมาจากหอหมอปีศาจได้สักพักก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

ถูกสะกดรอยตามซะแล้วสิ!

มู่เฉียนซีหันไปมองที่มุมกำแพงหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับไปกล่าวกลับหญิงสาวที่มีสีหน้าหมองคล้ำผู้นั้นที่ลอบตามมา

“เจ้าตามข้ามา ต้องการจะทำอะไร ?”