แดนนิรมิตเทพ บทที่ 889
เพราะการกระทำของมู่หงเต้าในตอนนั้น ทำให้ตระกูลมู่กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในโลกแห่งการกลั่นยา

ระดับฝีมือของนักกลั่นยาคนหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความแข็งแกร่งของเขา และทักษะการกลั่นยาของมู่หงเต้าโด่งดังตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว เพียงแค่คิดก็สามารถรู้ว่าพลังบำเพ็ญของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด

แต่ถึงอย่างไรเสียตระกูลมู่นั้นเป็นตระกูลกลั่นยา และขณะที่พวกเขาฝึกบำเพ็ญ ก็ยังต้องคำนึงถึงการกลั่นยาด้วย ดังนั้นจึงทำให้พลังความแข็งแกร่งของมู่หงเต้าสู้หยุนคงไม่ได้

เฉินโม่ไม่เคยได้ยินชื่อของมู่หงเต้า และแน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องราวสำคัญที่มู่หงเต้าเคยกระทำมาก่อน

“พวกเขาเรียกผมว่าเฉินไต้ซือ นายก็สามารถเรียกเช่นนั้น” เฉินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เฉินไต้ซือ?” มู่หงเต้ากล่าวเยาะเย้ย “นายรู้ไหมว่าไต้ซือต้องเป็นคนแบบไหน ถึงจะสามารถเรียกขานเช่นนั้นได้? อายุน้อยแต่กลับยกตนข่มท่าน ช่างไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแค่ไหน และไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนแม้แต่น้อย!”

แววตาของเฉินโม่เย็นชา น้อยคนนักที่กล้าดูหมิ่นคนในครอบครัวของเขา มู่หงเต้าได้ก้าวล้ำเส้นตายของเฉินโม่แล้ว

“ผู้นำตระกูลมู่ การอบรมสั่งสอนของตระกูลมู่ คือสอนให้พวกแกวางแผนสมรู้ร่วมคิดแย่งชิงสูตรยาของคนอื่นเหรอ?” เฉินโม่มองมู่จือเสว๋และกล่าวเย้ยหยัน

มู่จือเสว๋หน้าแดง และเถียงข้าง ๆ คู ๆ “เจ้าหนู แกอย่าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ตระกูลมู่วางแผนคิดร้ายกับแกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

โจวลี่เต๋อที่อยู่ข้างเฉินโม่ กล่าวเยาะเย้ยว่า “ที่แท้การอบรมสั่งสอนของตระกูลมู่ ไม่เพียงแค่วางแผนสมรู้ร่วมคิด แต่ยังไร้ยางอาย และบิดเบือนข้อเท็จจริงอีกด้วย!”

เฉินโม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ได้ยินหรือยัง แม้แต่เด็กก็สามารถเห็นธาตุแท้ของตระกูลมู่ การอบรมสั่งสอนของตระกูลมู่นั้นเยี่ยมจริง ๆ!”

“แก…” มู่จือเสว๋อดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ แต่ไม่สามารถพูดหักล้างได้ ถึงแม้ว่าคำพูดของเด็กจะตรงไปตรงมา แต่บางครั้ง คำพูดของเด็กนั้นเป็นความจริงที่สุด

“บรรพบุรุษ นายก็เห็นแล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้อาศัยว่าตนเองมีความสามารถ แล้วดูหมิ่นตระกูลมู่ แถมเขายังทำร้ายสมาชิกของตระกูลมู่บาดเจ็บไปมากมาย นายต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พวกเราด้วย!” มู่จือเสว๋คุกเข่าลงและก้มกราบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องนี้จะคิดว่าเขาได้รับความอัดอั้นตันใจมากมาย

มู่หงเต้ากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าหนู แกเป็นคนแรก ที่กล้าดูหมิ่นตระกูลมู่ต่อหน้าฉัน!”

“ลงมือเถอะ ทำให้ฉันเห็นว่าแกมีที่พึ่งอะไร!”

หลังจากมู่หงเต้ากล่าวจบ เขากระโดดขึ้นเหมือนนกตัวใหญ่ บินลงมาจากหน้าผา แล้วมาอยู่ตรงหน้าเฉินโม่ในระยะสามเมตร

เฉินโม่ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เพราะการกระทำของสมาชิกตระกูลมู่ได้แตะเส้นตายของเขาแล้ว หากเขาไม่สอนบทเรียนให้ตระกูลมู่ งั้นศักดิ์ศรีของเขาในฐานะผู้บำเพ็ญแดนดั่งเทพก็ไร้ความหมาย!

“อยากเห็นที่พึ่งของฉันเหรอ? ถ้าเช่นนั้นแกก็ลืมตามองให้ดี ๆ!”

สีหน้าของเฉินโม่ราบเรียบ เขาปล่อยพลังหมัดออกไปเบา ๆ ราวกับเด็กทารกที่เพิ่งหัดเดินและยังยืนไม่มั่นคง

แม้แต่เด็กอย่างโจวลี่เต๋อก็ยังรู้สึกสงสัย การโจมตีแบบนี้จะได้ผลเหรอ? ดูเหมือนว่าตอนนี้แม้เขาก็สามารถเอาชนะเฉินโม่ได้

เพียงแต่ เมื่อหมัดของเฉินโม่พุ่งไปอยู่ตรงหน้ามู่หงเต้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

“กลับสู่ดั้งเดิม! นึกไม่ถึงว่าพลังบำเพ็ญของแกบรรลุถึงระดับนี้แล้ว!”

การกลับสู่ดั้งเดิมในโลกฝึกบู๊ ความจริงแล้วหมายความว่าผู้บำเพ็ญได้สัมผัสวิถีของการบำเพ็ญ ชาติก่อนเฉินโม่เป็นผู้บำเพ็ญแดนดั่งเทพ และความเข้าใจวิถีการบำเพ็ญ จนถึงจุดที่สมาชิกของโลกฝึกบู๊ไม่มีวันเข้าใจแล้ว

ถึงแม้หลังจากเกิดใหม่แล้ว เฉินโม่จะสูญเสียพลังบำเพ็ญไป แต่เขายังคงเข้าใจวิถีการบำเพ็ญ ถึงแม้จะเป็นหมัดธรรมดา ก็ยังห่างไกลจากสิ่งที่นักบู๊เรียกว่าเคล็ดวิชาบู๊ชั้นสูง

มู่หงเต้าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัด มือของเขาหมุนอยู่ตรงหน้าอกสิบกว่าครั้ง และตะโกนเสียงดังว่า “วิชาพันไหม!”