“ว่าไงนะ!? แล้วผลกระทุบรุนแรงแค่ไหน!?”

 

“ประธานเกนท์เนอร์, เกิดอะไรขึ้นหรอครับ!?!”

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ, ใจเย็นก่อนเถอะ แค่มีทาสกลุ่มนึงก่อเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย”

 

พ่อค้าร่างอ้วนท้วม, เกนท์เนอร์อธิบายสถานการณ์ด้วยท่าทีใจเย็นกับลูกค้าที่มาซื้อทาสจากเขา

 

เกนท์เนอร์นั้นกำลังยืนอยู่บนเวทีที่เหมือนกับโรงละครในขณะที่ลูกค้าของเขากำลังเฝ้ามองเขาจากที่นั่งคนดู ในวันนี้มีลูกค้ามาหาเขา 20 คน, ซึ่งทุกคนล้วนเป็นขุนนางที่สนับสนุนระบบทาสในเมืองหลวงของจักรวรรดิ

 

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใต้ดินของบริษัทเกนท์เนอร์และห้องนี้ก็เป็นโรงประมูลลับของพวกเขา

 

อุโมงใต้ดินถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนและมีการ์ดหลายคนประจำการอยู่ที่ทางเข้าเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของพวกเขา

 

ด้วยความที่มั่นใจว่าจะไม่มีผู้บุกรุกคนไหนหนีไปได้, เกนท์เนอร์ก็เลยใจเย็น

 

อย่างไรก็ตาม

 

“น่าประหลาดใจจริงๆนะเนี่ย, ไม่นึกเลยว่าคนอย่างประธานเกนท์เนอร์จะทำธุรกิจค้าทาส”

 

“ว่าไงนะ!? เหวอ!? อ้าก!! ข, ข, ขาของข้า…….”

 

คนที่ค่อยๆโผล่ออกมาบนเวทีนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอลน่า สถานที่ที่เธอออกมานั้นเดิมทีเป็นทางเข้าของทาสสำหรับส่งตัวทาสที่จับได้ออกมาประมูลและมันก็เป็นจุดที่การ์ดของเกนท์เนอร์ประจำการอยู่ด้วย

 

การ์ดพวกนี้ถูกเอลน่าจัดการไปหมดแล้วและตอนนี้คริสต้ากับเด็กคนอื่นๆก็กำลังมองเอลน่าจากตรงนั้น

 

เกนท์เนอร์พยายามทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าและนี่ก็คือตอนที่เขาไม่สามารถหนีไปได้แล้ว เอลน่าฟันขาทั้งสองข้างของเขา บาดแผลนั้นไม่ได้ลึกถึงขั้นที่ทำให้เขาตายได้แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เขาหนีไปไหนไม่ได้ การฟันของเธอช่างแม่นยำจริงๆ

 

“หัวหน้าหน่วยสามของภาคีอัศวินหลวง, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์กมาอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าถูกจับกุมข้อหาลักพาตัวเจ้าหญิงของจักรวรรดิและข้อหาค้าทาส”

 

“อ, แอมส์เบิร์กหรอ!? ด, ด, ได้ยังไงกัน!?”

 

“ได้ยังไงหน่ะหรอ? มันก็เพราะพวกเจ้าเป็นอาชญากรยังไงหล่ะ ถ้าพวกเจ้าขยับตัวหล่ะก็โดนฟันทิ้งแน่ ตอนนี้อย่าคิดว่าจะหนีไปจากแอมส์เบิร์กได้ง่ายๆหล่ะ”

 

พวกลูกค้าหย่อนก้นกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

 

พวกเขาทุกคนเป็นขุนนางของเมืองหลวงจักรวรรดิ

 

พวกเขารู้ถึงความน่ากลัวของแอมส์เบิร์กดี ถ้าหนึ่งในคนของตระกูลนี้มาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า, ก็แสดงว่าจบสิ้นแล้ว แอมส์เบิร์กคือตัวตนที่เหมือนกับยมทูตสำหรับพวกเขา

 

“ว, เหวออ! ช, ช่วยข้าด้วย……..!”

 

“ช่วยหรอ? เจ้าพึ่งจะลักพาตัวเจ้าหญิงของจักรวรรดิแต่นี่คือทั้งหมดที่เจ้าพูดออกมางั้นหรอ?”

 

“ม, มันเป็นคำขอครับ!”

 

“นั่นสินะ เพราะแบบนั้นแหล่ะข้าก็เลยจะไม่ฆ่าเจ้า หลังจากนี้ข้าจะให้เจ้าคายทุกอย่างออกมาโอเคไหม?”

 

“แบบนั้นก็แย่สิ”

 

พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น, มีดเล่มนึงก็พุ่งมาทางเอลน่า

 

เอลน่าปัดมันทิ้ง

 

จากนั้นนักฆ่าสวมหน้ากากก็ใช้ช่องโหว่วนั้นเข้าไปหาเกนท์เนอร์

 

ในตอนนั้นเองเอลน่าก็ได้ใช้ดาบรับมีดที่นักฆ่าแทงออกมา

 

“ข้าไม่ยอมให้เจ้าปิดปากเขาหรอก”

 

“แสดงว่าข้าต้องจัดการเจ้าก่อนสินะ”

 

เสียงของนักฆ่าอู้อี้เพราะหน้ากากที่สวมอยู่ เอลน่าไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

 

ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกับหน้ากากที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมในช่วงนี้, เอลน่าก็หยุดการโจมตีของนักฆ่าไปเรื่อยๆ

 

การโจมตีของนักฆ่านั้นรวดเร็วและการควบคุมมีดจากทั้งมื้อซ้ายและมือขวาของนักฆ่าก็ต้อนเอลน่าไปจนถึงขอบเวที

 

อย่างไรก็ตาม,

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยั้งมือเอาไว้เพราะกลัวว่าจะไปทำให้ตึกพังสินะ”

 

“ก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า,”

 

เอลน่ายกดาบขึ้นมาในตอนที่นักฆ่าเล็งไปที่ลำตัวของเธอ ซึ่งนี่ก็ทำให้นักฆ่าที่พุ่งเข้าใส่เอลน่าด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่นั้นไม่สามารถหลบการสวนกลับของเอลน่าได้

 

มันคือการโจมตีสวนที่เกิดจากการอ่านความตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์

 

นักฆ่าที่อยากรีบจบการต่อสู้เร็วๆนั้นจะเล็งมายังจุดที่สร้างความเสียหายได้มากที่สุดและเอลน่าก็รู้จากประสบการร์ของเธอ

ว่าการโจมตีนี้จะเกิดขึ้น

 

“อึ้ก……!”

 

ไหล่ของนักฆ่าถูกฟันเข้าเต็มๆ

 

นักฆ่าพยายามจะถอยออกไปด้วยความรวดเร็วแต่ในตอนนั้นเอง, เอลน่าก็ใช้ความแตกต่างทางด้านความเร็วย่นระยะเข้ามา

 

ในขณะที่คอยระวังไม่ให้ตึกถล่ม, เธอก็วิเคราะห์ปริมาณพลังที่เธอสามารถใช้ได้และเข้าไปหานักฆ่า

 

ในตอนนั้นเอง, นักฆ่าก็เปลี่ยนเป้าหมายในทันที

 

ด้วยการใช้มือขวา, มีดก็ถูกเขวี้ยงออกไปหาเกนท์เนอร์

 

และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน, ดาบของเอลน่าก็แทงเข้าที่ท้องของนักฆ่า

 

“เหวออ!! เลือด, มีเลือดอยู่เต็มเลย!!??”

 

“แค่กๆ…….”

 

“ชิ!”

 

เอลน่าดึงดาบออกมาในทันทีแล้ววิ่งไปหาเกนท์เนอร์

 

มีดปักลึกเข้าไปในอกของเกนท์เนอร์ มันเป็นบาดแผลร้ายแรง ถ้าเธอทิ้งเขาเอาไว้เขาไม่รอดแน่ๆ

 

ในขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่, ตึกก็สั่นอย่างรุนแรง

 

และแทบจะในเวลาเดียว, มันก็เริ่มทลายลงมา

 

“นี่มัน…..!?”

 

“ข้าว่าเจ้ารีบหนีไปซะจะดีกว่านะ…….”

 

ด้วยมือที่กุมเอาไว้ที่ท้อง, นักฆ่าก็ถอยออกมาจากเอลน่า

 

จากแรงสั่นสะเทือนและสถานการณ์ในปัจจุบัน, มันไม่ต้องสงสัยเลยว่านักฆ่านั้นได้ทำอะไรบางอย่างกับตัวอาคาร

 

ไม่ต้องเอ่ยถึงคริสต้า, ริต้า, และเด็กคนอื่นๆที่ถูกจับมาเป็นทาส, เกนท์เนอร์เองก็ถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เธอต้องปกป้อง

 

เอลน่ายอมตัดใจเรื่องการไล่ตามนักฆ่าและเลือกที่จะหนี

 

“ทุกคน, ตามข้ามา!”

 

ด้วยการมัดบาดแผลของเกนท์เนอร์ให้แน่น, เอลน่าก็เริ่มอุ้มเขาขึ้นมา

 

จากสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น, มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ทุกคนรีบขึ้นไปข้างบน

 

และด้วยความคิดนี้เอง, เอลน่าก็เดินนำเด็กกับลูกค้าของเกนท์เนอร์ไปที่ทางออก

 

“คนๆนี้คือแหล่งข้อมูลสำคัญ! ห้ามให้เขาตายเด็ดขาด! แล้วก็จับตัวพวกที่ตามหลังข้าไปซะ

 

พอมาถึงข้างบน, เอลน่าก็มอบหมายหน้าที่ให้อัศวินที่ประจำการอยู่ที่นี่และสั่งให้จับตัวพวกขุนนาง

 

อัศวินหลวงนั้นถูกส่งออกมาในทันทีผ่านคำสั่งโดยตรงของจักรพรรดิ พวกเขามุ่งหน้ามาตามเส้นทางที่เอลน่าบินและล้อมบริษัทแม่ของเกนท์เนอร์เอาไว้

 

พวกเขาร่วมมือกับกองทหารของเมืองหลวงจักรวรรดิและกำลังจะบุกเข้าไปในพื้นที่แต่เอลน่าก็ออกมาพอดี

 

“อย่ามองข้ามใครก็ตามที่ออกมาจากที่แห่งนี้! ส่วนพวกที่ยังไม่มีหน้าที่ให้ไปไล่ตรวจสอบสำนักงานสาขาของบริษัทเกนท์เนอร์เดี๋ยวนี้เลย”

 

หลังจากจัดแจงหน้าที่เสร็จแล้ว, เอลน่าก็พูดกับหนึ่งในอัศวินหลวงที่เธอรู้จักด้วย

 

เขาคืออัศวินที่เชี่ยวชาญเวทย์รักษา

 

เธอฝากริต้าเอาไว้กับอัศวินคนนั้น

 

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ ริต้า….เจ้าทำได้เยี่ยมมาก”

 

“อูยย….ท้องของข้าเจ็บจังเลย…..”

 

“เดี๋ยวมันก็ได้รับการรักษาแล้ว”

 

“ริต้า…..”

 

ริต้าที่ถูกวางนอนไว้ได้รับการรักษาตรงนั้นเลย

 

คริสต้ากำลังกุมมือเธอเอาไว้และคอยอยู่เคียงข้างเธอ

 

ริต้าพยายามมาอย่างเต็มที่จนถึงตอนนี้บางทีอาจเป็นเพราะในที่สุดเธอก็วางใจได้แล้ว, เธอก็เลยค่อยๆหมดสติไปอย่างช้าๆ

 

“ริต้า!?”

 

“ไม่เป็นไรครับองค์หญิง ให้เธอได้พักเถอะ”

 

“แต่ว่า….”

 

“องค์หญิง ฝากเธอไว้กับเขาเถอะนะคะ”

 

พอถูกเอลน่ากระตุ้น, คริสต้าก็ลุกขึ้นยืน

 

มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของเธอแต่เธอก็พยายามกลั้นใจฝากริต้าเอาไว้กับอัศวินคนนี้

 

สำหรับตอนนี้, ให้จักรพรรดิรู้ว่าเธอปลอดภัยจะดีที่สุด

 

นี่คือสิ่งที่เอลน่าคิดแต่ว่าเธอก็คุกเข่าลงอย่างเงียบๆหลังจากที่ได้ยินเสียงควบม้ากลุ่มใหญ่

 

“คริสต้า!”

 

มันคือเสียงของตัวจักรพรรดิโยฮันเนสเองที่เรียกคริสต้าในขณะที่เขารีบควบม้ามาทางเธอ

 

ข้างหลังเขามีอัศวินอารักขากลุ่มใหญ่ตามมารวมทั้งฟรานซ์ด้วย

 

เนื่องจากไม่สามารถทนรอให้พวกเธอกลับไปได้, เขาก็เลยมายังที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง

 

“โถ่! คริสต้า! เจ้าปลอดภัยใช่ไหม!? เจ็บตรงไหนรึเปล่า!?”

 

“ม, ไม่ค่ะ…..ท่านพ่อ อ้ะ, ไม่สิ, ฝ่าบาท”

 

“เรียกท่านพ่อก็ได้, ข้าไม่ถือหรอก! ข้าดีใจนะ, ข้าดีใจจริงๆ…..”

 

โยฮันเนสรู้สึกดีใจซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งในขณะที่กอดคริสต้า

 

ในระหว่างนั้น, ฟรานซ์ก็หันไปไล่ประชาชนที่มุงอยู่ใกล้ๆ นี่ทั้งเพื่อความปลอดภัยของจักรพรรดิและหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

จากนั้น, ในตอนที่เหลืออยู่แค่อัศวินและทหารจากกองทหารเมืองหลวงของจักรวรรดิ

 

โยฮันเนสก็ลุกขึ้นแล้วมองเอลน่า

 

สายตาของเขาลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ

 

“ท่านพ่อ…..?”

 

“ขนาดเจ้าอยู่ข้างๆเธอแท้ๆ, แล้วเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง! เอลน่า! เจ้าเป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยของภาคีอัศวินหลวงแต่เจ้ากลับปกป้ององค์หญิงแค่คนเดียวยังไม่ได้เลย!!”

 

“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ…..ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของข้าเอง”

 

“ก็ใช่หน่ะสิ! เจ้าพึ่งจะทำลายชื่อเสียงของแอมส์เบิร์กจนป่นปี้!”

 

“ท, ท่านพ่อคะ…..เอลน่าหน่ะ…..”

 

“เงียบไปก่อน ข้ากำลังคุยกับเอลน่าอยู่”

 

“ข้า, ข้าขอโทษด้วยค่ะ….”

 

 

พอถูกสายตาที่เข้มงวดจ้อง, คริสต้าก็รู้สึกกลัวและร่างกายของเธอก็สั่นอย่างเห็นได้ชัด

 

จากนั้นเธอก็มองเอลน่าที่ค่อยๆเบือนหน้าหนีเธอ

 

“เอลน่า มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”

 

“ไม่มีค่ะ”

 

การบอกเขาว่าซูซานเป็นคนเรียกตัวเธอนั้นมันเป็นเรื่องง่าย ในตอนนั้น, ซูซานยังเรียกตัวคริสต้าด้วย แต่ไม่ว่ายังไง, ความจริงที่เธอไปหาซูซานคนเดียวก็ถือเป็นการตัดสินใจของเอลน่า

 

แม้ว่าซูซานกับซานดร้าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการสืบคดี, แต่การตัดสินใจนั้นก็ยังถือเป็นความรับผิดชอบของเอลน่า

 

ในตำหนักในนั้นไม่สามารถใช้วิธีการที่รุนแรงได้ มันเป็นเพราะแนวคิดนี้เอลน่าถึงเลือกที่จะทิ้งคริสต้าเอาไว้ นี่คือความผิดของเอลน่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม

 

“ข้าจะลงโทษเจ้าทีหลัง จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ไปอยู่ที่บ้านของเจ้าซะ”

 

“ค่ะ…..”

 

พอพูดจบ, โยฮันเนสก็พาคริสต้ากลับไปที่ปราสาท

 

เอลน่ายังคงอยู่ที่เดิมต่อไปอีกสักพัก

 

“เป็นยังไงบ้าง?”

 

“การลอบสังหารล้มเหลว แต่ว่า, ต่อให้สามารถช่วยชีวิตของเจ้านั่นได้, มันก็ไมน่าจะพูดอะไรได้ไปอีกซัก”

 

“เข้าใจหล่ะ ทำงานได้ดีมาก”

 

พอได้ฟังแบบนั้น, นักฆ่าสวมหน้ากาก, เสี่ยวเม่ยก็รายงาน

 

ร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บหนักเพราะคำสาปแต่มันก็ยังเป็นความเจ็บปวดที่ทนได้สำหรับเสี่ยวเม่ยที่ผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายมาตั้งแต่ยังเด็ก

 

“พอเจอเรื่องนี้เข้าไปลีโอนาร์ดคงไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่, พวกนั้นจะทุ่มกำลังจัดการขุมอำนาจของซานดร้าในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน นี่ถือเป็นการพัฒนาที่ดี”

 

“แต่อัจฉริยะของแอมส์เบิร์กอาจจะถูกปลดออกจากภาคีอัศวินหลวงเพราะเรื่องนี้ก็ได้นะคะ”

 

“มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นหล่ะ ถึงยังไงที่เธอถูกลงโทษก็เพราะจักรพรรดิไม่มีทางเลือก เขาน่าจะเอาเธอกลับมาในตอนที่สถานการณ์สงบลงแล้ว”

 

“ต่อให้มันจะแค่ชั่วคราว, แต่ในระหว่างนั้นขุมอำนาจของลีโอนาร์ดก็จะใช้งานเอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์กได้อย่างอิสระนะคะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวอันตราย ในตอนที่เธอยังไม่ได้จับดาบข้าคิดว่าข้าน่าจะหาทางรับมือกับเธอได้แต่พอเธอเริ่มเหวี่ยงดาบเธอก็เหมือนกับเป็นคนละคนเลย ข้าคิดว่าเธอในตอนนั้นเป็นเหมือนพวกสัตว์ประหลาดเลยค่ะ”

 

“นั่นแหล่ะคือแอมส์เบิร์ก จิตใจของพวกเขาจะถูกสลับในระหว่างการต่อสู้ มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจหรอก ถ้าเธอกลายเป็นตัวปัญหามากเกินไปข้าก็แค่ดึงเธอกลับเข้ามาในภาคีอัศวินหลวงด้วยตัวเองก็ได้”

 

“กำจัดเธอไปเลยไม่ดีกว่าหรอคะ?”

 

“เธอเป็นลูกน้องฝีมือดีในอนาคตของข้า ไม่มีจักรพรรดิคนไหนที่คิดจะสร้างความร้าวฉานกับแอมส์เบิร์กหรอก แถมมันยังถือเป็นโอกาสดีที่จะซื้อใจพวกเขาด้วย”

 

“แต่ว่า……”

 

เสี่ยวเม่ยเรียกร้องในขณะที่ทนกับความเจ็บปวด

 

มันเป็นความจริงที่ดูเหมือนเธอจะสามารถรับมือกับเอลน่าที่ไม่ถือดาบได้

 

ถ้ากันเธอออกจากสงครามผู้สืบทอดได้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวลแล้ว

 

แม้ว่าเธอจะมีความคับแค้นใจกับเอลน่า, แต่เสี่ยวเม่ยก็ยังรู้สึกว่าเอลน่านั้นเป็นศัตรูที่คู่ควร

 

อย่างไรก็ตาม

 

“ข้าแตกต่างจากคู่แข่งคนอื่นๆ พวกนั้นหวังแค่บัลลังก์เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนว่าจะทำอะไรหลังจากนั้น ในแง่นี้, ข้าแตกต่างจากพวกนั้น อย่าเอาข้าไปจัดการกับความขุ่นเคืองใจจากลูกน้องของข้าเลย เอาจริงๆ, ต่อให้ข้าไม่เคลื่อนไหว, ซานดร้ากับกอร์ดอนก็จะเคลื่อนไหวเอง”

 

“……เข้าใจแล้วค่ะ”

 

“ทำตามคำแนะนำของท่านแม่ของข้าในตำหนักในต่อไป เอาหล่ะตอนนี้ไปรักษาบาดแผลของเจ้าเถอะ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะเคลื่อนไหว”

 

“ตามประสงค์ค่ะ, องค์ชายเอริค”

 

พอพูดจบ, เสี่ยวเม่ยก็หายไปจากวิสัยทัศน์ของเอริค

 

เมื่อเห็นเธอจากไปแล้ว, เอริคก็เริ่มเดินอย่างช้าๆ

 

ในระหว่างนั้นเขาก็ยิ้มอยู่ตลอดเวลา