ตอนที่ 1622 ติดกับค่ายกลศักดิ์สิทธิ์

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1622 ติดกับค่ายกลศักดิ์สิทธิ์
ตอนนั้นที่เย่หยวนลงมายังเหวนี้เขาต้องพึ่งพาฟ้าหน่วงหยวนฉือ

แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องใช้มันอีกต่อไป

ด้วยความเข้าใจที่ตัวเย่หยวนมีต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติมันทำให้การลงมาในนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

แต่ถึงจะไม่ยาก เย่หยวนและฝ่ายมนุษย์ก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มในการลงมาให้ถึงก้นเหว

“ไม่ดีแล้ว! พลัง… พลังข้ากำลังถูกกด!”

“ข้าเองก็ถูกกดเช่นกัน! นี่มัน… พลังของข้าในตอนนี้เหลือเทียบเท่าอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว!”

“พวกเจ้ารู้สึกกันไหม? พลังแรงโน้มถ่วงในที่แห่งนี้มันช่างเข้มข้น! พวกเราไม่สามารถบินกลับขึ้นไปได้เลย”

เมื่อมาถึงทุกคนต่างอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก

เพราะเรื่องที่เจออยู่ในตอนนี้มันช่างต่างจากที่พวกเขาคิดอย่างมากมาย

ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าไม่สามารถเหาะเหินได้ พลังการบ่มเพาะถูกกด เป็นสถานการณ์ที่ทำให้ผู้เผชิญตื่นตระหนกอย่างที่สุด

ที่สำคัญแรงโน้มถ่วงที่ปกคลุมที่นี่อยู่นั้นมันช่างรุนแรงจนทำให้พวกเขารู้สึกได้เลยว่าหายใจลำบากขึ้น เป็นสภาพที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

เกาหยุนมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะตอนนี้พลังการบ่มเพาะของเขาเองก็กำลังถูกกดไว้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ตอนนี้เขามีพลังแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวเท่านั้น

ด้วยพลังแค่นี้มันจึงทำให้เขาเริ่มกังวลเรื่องการสำรวจในครั้งนี้เสียแล้ว

แต่ทว่าเมื่อเขาได้หันไปเห็นเย่หยวน เกาหยุนกลับยิ่งมีสีหน้าที่มืดมนลงกว่าเก่า

เพราะตอนนี้เย่หยวนกลับยังมีพลังการบ่มเพาะเท่าเดิมไม่มีร่องรอยผลกระทบจากพลังงานในที่นี้เลยแม้แต่น้อย

เรื่องนี้มันทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก

ทางฝั่งคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นได้เตรียมตัวมานานแล้วจากคำเตือนของเย่หยวนที่บอกไว้ ทำให้พวกเขาไม่ได้ตื่นตูมเท่าคนอื่นๆ

เย่หยวนค่อยๆ ปล่อยฟ้าหน่วงหยวนฉือออกไปสกัดพลังที่อยู่ด้านล่าง

พลังที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขามากมาย

“เอาล่ะทุกคน อย่าเพิ่งตื่นตกใจไป การกดพลังบ่มเพาะนี้มันไม่ได้มีเป้าหมายแค่พวกเรา ฝั่งยอดฝีมือของเผ่าปีศาจเองก็คงโดนไม่ต่างกัน ตอนนี้ที่พวกเราต้องระวังคือภัยอันตรายที่รออยู่ด้านหน้า พยายามอย่าแยกห่างจากกันไปไกลมาก” หลิงจี้คุนพูดขึ้นเตือนทุกคน

เหล่ายอดฝีมือในคราวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบผ่านศึกกันทั้งนั้น ทำให้หลังผ่านเวลาแห่งความตื่นตกใจไปได้ พวกเขาก็สามารถยอมรับความจริงตรงหน้าและเริ่มสงบจิตสงบใจลงได้อย่างไม่ยากเย็น

ตอนนี้นอกจากเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์แล้วก็มีเมืองหลวงอีกสามแห่งที่ส่งกำลังคนมาช่วยในครานี้ นั่นคือเมืองจักรพรรดิยอดสันติ เมืองจักรพรรดิกวางตะวัน และเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

ในจำนวนเหล่าคนที่มาในครานี้เห็นได้ชัดว่ากำลังจากเมืองจักรพรรดิยอดสันตินั้นแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ตามมาด้วยเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

ส่วนเมืองจักรพรรดิกวางตะวันนั้นส่งคนมาได้แค่ผู้อาวุโสอาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาว จึงเรียกได้ว่ามีกำลังน้อยที่สุดแล้ว

ทางเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์นั้นส่งคนมาเกือบสามสิบคน นอกจากหลิงจี้คุนผู้มีพลังระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวแล้วก็มียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวตามมาด้วยอีกสองคน

กำลังพลแบบนี้นับได้ว่าเหนือล้ำมาก

แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ ทำให้เกาหยุนที่ก้าวขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ไปครึ่งก้าวกลับมามีพลังระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาว เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวเองก็กลับมามีพลังระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว

ส่วนพวกที่ยังอยู่ในอาณาจักรราชันพระเจ้าขั้นกลางก็จะถูกกดจนเหลือแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาว พวกอาณาจักรราชันพระเจ้าขั้นต้นก็จะเหลือพลังเทียบเท่าอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว

นั่นทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อสักครู่อย่างช่วยไม่ได้

ตอนนี้กลุ่มคนทั้งหมดเดินออกมาเรื่อยๆ โดยที่รอบตัวมีแต่หินรูปร่างประหลาดไร้ซึ่งพืชพรรณและสิ่งมีชีวิตใดๆ รอบตัวของพวกเขามีแต่ความมืดมิดจนหลายๆ คนต้องจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อส่องดูทางเดินต่อไป

“จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เจอร่องรอยของพวกปีศาจเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันยังลงมาไม่ถึงกัน?” หลิงจี้คุนพูดออกมาหลังมองดูรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

เมื่อได้ยินดังนั้นเกาหยุนเองก็พูดขึ้นด้วยดวงตาที่ลุกวาว “หากเป็นเช่นนั้นจริง โอกาสของพวกเราก็คงมีเพิ่มขึ้นมาก!”

ก่อนที่จั๋วชิงแห่งเมืองจักรพรรดิกวางตะวันจะพูดเสริมขึ้นมา “ข้าไม่คิดว่าพวกปีศาจมันจะมียอดฝีมือที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติหรอก คนที่ลงมาได้คงมีไม่มาก แต่เราได้เปรียบด้านจำนวน การกำจัดพวกมันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลย!”

แต่เย่หยวนก็ขัดขึ้นมา “พวกเจ้ามันคิดง่ายกันเกินไป! ร้อยปีก่อนเผ่าปีศาจได้สร้างเรือเหาะที่อยู่เหนือธรรมชาติขึ้น ด้วยความสามารถของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าร่วมกับความเร็วของเรือเหาะนั้น พวกยอดฝีมือเผ่าปีศาจน่าจะลงมาถึงก้นเหวนี้ก่อนเราแล้ว”

คำพูดของเย่หยวนนั้นเป็นดั่งถังน้ำเย็นที่ราดลงบนหัวของทุกๆ คน ทำให้พวกเขาต้องขนลุกเกรียวไปตามๆ กัน

“ฮ่าฮ่า… ไอ้เด็กคนนี้มันฉลาด!”

“ฉลาดไปแล้วจะทำไม? ยังไงก็ต้องตายลงตรงนี้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”

“พวกมนุษย์นี้มันโง่กันจริงๆ ถึงขนาดคิดว่าเรายังมาไม่ถึงแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เป็นจังหวะนี้เองที่จู่ๆ เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

แน่นอนว่าต้นเสียงนี้ต้องเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจ

ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ พวกมันจะปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้

ที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าพวกเขาจะมองหาไปทางไหน ก็ไม่มีใครพบเจอร่องรอยของเหล่าเผ่าปีศาจเลย

มีแต่เสียง ไม่มีตัว

“พวกปีศาจเลว แน่จริงก็ออกมาเจอหน้าพ่อแก่นี่มา! พวกเก่งแต่ปากไม่กล้าออกมาพบหน้าพวกเราตรงๆ”

“หากมีฝีมือพอก็จงออกมาต่อสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไป อย่าเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดอง!”

ตอนนี้แม้ท่าทางของเหล่ายอดฝีมือฝั่งมนุษย์จะดูน่าเกรงขาม แต่ภายในใจของพวกเขามันเริ่มสั่นไหว

พวกเขาอยากจะลากเหล่าปีศาจออกมาต่อสู้กันตรงๆ แต่อีกฝ่ายจะยอมทำตามง่ายๆ เหรอ?

เป็นตอนนั้นเองที่เย่หยวนตะโกนสั่งทุกคน “เลิกตะโกนได้แล้ว ตอนนี้เราตกอยู่ภายในค่ายกลของพวกปีศาจมันแล้ว พวกมันอยู่ไม่ไกลจากเราหรอก เพียงแต่พวกเจ้ามองไม่เห็นพวกมันก็เท่านั้น”

เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอีกครา

เหล่าปีศาจดูท่าจะดักรอโจมตีพวกเขาอยู่นานแล้ว และพวกเขาเองก็เดินเข้ามาติดกับดักอย่างโง่งม!

หลังจากเย่หยวนบอกแบบนั้นไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เฮอะ เด็กเวรนี้มันมีสมองดีนี่ รู้ตัวด้วยว่าตัวเองตกอยู่ในค่ายกลแล้ว แต่มันไม่มีประโยชน์หรอก! นี่คือค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณ ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ขั้นสูง ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวก็ไม่มีทางรอดออกมาได้ ที่สำคัญ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนล้วนต่างถูกกดพลังบ่มเพาะไว้ทั้งสิ้น!”

เกาหยุนมีสีหน้าที่มืดมนลงหลังได้ยินแบบนั้น ตอนนี้เขายังไม่พบสมบัติใดๆ แต่กลับต้องเดินเข้ามาติดกับดักของศัตรูเข้าเสียก่อนแล้ว

ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ขั้นสูง หากเขาไม่ถูกกดพลังไว้ เกาหยุนก็คงสามารถออกไปได้ไม่ยากนัก

แต่ตอนนี้ด้วยพลังแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาว เขาจะหนีออกไปได้อย่างไร?

หรือคราวนี้เขาต้องตายลงก่อนที่จะทันได้เห็นสมบัติใดๆ แล้ว?

“พวกเจ้าลองลิ้มรสของค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณให้ดีเถอะ สมบัติเชียนเทียนจะต้องตกเป็นของเผ่าปีศาจเรา!”

สิ้นเสียงก็เกิดหมอกสีแดงขึ้นมารอบๆ ตัวพวกเขาจนล้อมรอบทุกๆ คนไว้จนหมด

หมอกสีแดงนี้ไหลเข้ามาปิดบังสายตาของทุกคนจนไม่สามารถเห็นได้แม้แต่นิ้วมือของตัวเอง ทำให้ทุกคนพลัดจากกันทันทีทันใด

“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ข้าจะฆ่าเจ้าพวกปีศาจ!”

จู่ๆ ก็เกิดเสียงมนุษย์ตะโลนลั่นขึ้นมา และใช้ดาบฟันเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เข้าอย่างแรง

ฉัวะ!

คนที่อยู่ข้างๆ นั้นถูกโจมตีทีเผลอทำให้หัวของเขาลอยละลิ่วไปโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าตัวเองได้ตายลงแล้ว

นี่คือผลจากค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณ มันจะเข้าไปปั่นป่วนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของคน ทำให้พวกเขาหลอนและเริ่มเข่นฆ่ากันเอง

ในตอนนี้เหล่าเพื่อนมนุษย์ทุกคนได้กลายเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจไปแล้วในสายตาของคนที่ติดค่ายกล ช่างเป็นภาพที่อุบาทว์อย่างหาเปรียบมิได้

เหล่ายอดฝีมือเหล่านั้นเริ่มโจมตีกันและกันอย่างเต็มที่ราวกับอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ของตนไป

แสงสีแดงปรากฏขึ้นในสายตาของเย่หยวน เหมือนว่าเขาจะสามารถมองทะลุผ่านม่านหมอกสีแดงพวกนี้ไปได้

จากนั้นร่างของเขาก็ขยับและหายไปจากสายตาของผู้คนทันที

ในจำนวนทัพของเผ่าปีศาจนั้น ดาราสวรรค์ก็เป็นคนแรกที่ขมวดคิ้วและหันไปพูดกับตี้เอิ่นทันที “เจ้าคิดว่าเด็กคนเมื่อกี้มันดูคุ้น ๆ ไหม?”

ด้วยสมบัติเชียนเทียนในครั้งนี้ทำให้ทั้งโถงโลหิตมรณะและเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะได้ส่งทัพร่วมพร้อมยอดฝีมือมากมายมายังที่แห่งนี้

ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตี้เอิ่นนั้นไม่ได้รู้จักกับเย่หยวนมากมาย แต่ดาราสวรรค์มีเรื่องราวกับเย่หยวนมาอย่างยาวนาน

และตอนนี้ดาราสวรรค์ก็เริ่มรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ ไป