กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1024

“พื้นที่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้มีขนาดกว้างใหญ่มาก ดวงวิญญาณดวงนั้นอ่อนล้าอย่างมาก คงไม่สามารถหาเจอได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาสั้นๆ แน่นอน”

“อย่างน้อยก็รู้ว่าอยู่ในวังหลวง อย่างน้อยก็รู้ว่าอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้”

เยี่ยจิ่งหานเข็นรถเข็นเพื่อมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อไปตามหาดวงวิญญาณดวงนั้น

ลั่วอิ่งและฝูกวงปรากฏตัวขึ้นและกล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่าน ได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยออกไปค้นหาด้วยตัวเองเถอะขอรับ”

“ไปเถอะ”

“ขอบคุณนายท่าน”

ชิ้ว…..

ทั้งสองหายไปราวกับลมที่พัดผ่าน มีเพียงผ้าม่านที่ยังคงแกว่งไปมา

กู้ชูหน่วนเดินไปที่หน้าต่างที่และปิดผ้าม่านลงโดยไม่ได้โทษพวกเขาทั้งสองที่รีบร้อนจนลืมปิดผ้าม่านลง ทว่านางกลับคิดอิจฉากู้ชูหน่วนที่มีแต่คนรักและคอยปกป้องนางเช่นนี้

หนึ่งวัน

ห้าวัน

สิบวันผ่านไป

เยี่ยจิ่งหานและคนอื่นๆ ยังคงหาดวงวิญญาณไม่เจอ

เหวินเส่าอี๋ที่อยู่ในวังหลวงเช่นกันก็ได้รับข่าว เขาก็แอบส่งคนจำนวนมากไปค้นหา ทว่าก็ไม่มีข่าวดีอะไร

ภายในห้องตำราหลวง กู้ชูหน่วนกำลังตรวจทานฎีกาและจากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก

สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาคือใบหน้าที่เคร่งขรึมของเยี่ยจิ่งหาน

กู้ชูหน่วนชำเลืองมองและหันไปอ่านฎีกาอีกครั้งและกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าแอบบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษหนักถึงขั้นจับตัวเจ้าไปอยู่ในตำหนักเย็นได้เลยนะ”

“ร่างกายของเจ้ามีดวงวิญญาณของอาหน่วนมากมายเช่นนั้น เจ้าลองไปช่วยค้นหาบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ดูว่าเจ้าสามารถสัมผัสรับรู้ได้หรือไม่?”

“สิบวันแล้ว? หากข้าสัมผัสได้ มีหรือที่ข้าจะไม่ช่วยพวกเจ้าตามหา?”

“เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยเลือดออกมาอีกครั้ง แล้วทำพิธีหาตำแหน่งที่แน่นอนอีกครั้งไม่ได้หรือ?”

กู้ชูหน่วนโยนฎีกาทั้งหมดไปตรงหน้าของเยี่ยจิ่งหานและกล่าวอย่างเย็นชา “ได้ เพียงแค่เจ้าจัดการปัญหาต่างๆ นานาของรัฐปิงได้หมด เจ้าต้องการเลือดกี่ถ้วยข้าก็ยอม”

มุมปากของเยี่ยจิ่งหานกระตุก

ปัญหาและความวุ่นวายต่างๆ ในรัฐปิงจะแก้ได้ในระยะเวลาอันสั้นอย่างนั้นหรือ?

สิ่งสำคัญคือต้องใช้เงินตำลึงมหาศาล นี่คือรัฐปิง ไม่ใช่รัฐเยี่ยเสียหน่อย เขาจะเอาจำนวนมากเช่นนั้นมาจากที่ไหนได้?

“ข้าสามารถช่วยเหลือวิกฤติปัญหาที่เกิดขึ้นของรัฐปิงได้ ทว่าเจ้าต้องช่วยข้าตามหาดวงวิญญาณก่อน”

“นานแค่ไหน?”

“อย่างน้อยห้าปี”

“ห้าเดือน”

เยี่ยจิ่งหานกัดฟันและกล่าว “ห้าเดือนก็ได้ เพียงแต่เจ้าต้องเปิดรอยแยกของห้วงมิติเวลา ข้าถึงจะสามารถนำเงินและเสบียงอาหารจากรัฐเยี่ยมาได้”

“รอยแยกห้วงมิติเวลา? เปิดอย่างไรหรือ?”

“ขวานผานกู่ แผ่นอักษรสีเหลือง ผู้มีวรยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นสูงสุดเจ็ดคนร่วมกันใช้พลังเพื่อเปิด”

มือของกู้ชูหน่วนสั่น

ผู้มีวรยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นสูงสุดเจ็ดคนร่วมกันใช้พลังเพื่อเปิด?

เขากำลังล้อเล่นใช่ไหม?

ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้ เกรงว่าจะมีเพียงจักรพรรดินีตัวปลอมคนเดียวเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นสูงสุด?

ต้องมีถึงเจ็ดคน?

ผู้มีวรยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นสูงสุดไม่ใช่ผัก ไม่ใช่ปลาเสียหน่อยที่จะหาซื้อได้ตามตลาดอย่างง่ายดาย

นางรู้จักขวานผานกู่

แผ่นอักษรสีเหลือง?

กล่องที่เหวินเส่าอี๋ต้องการ จะมีแผ่นอักษรสีเหลืองนี้อยู่ข้างในหรือเปล่า?

กู้ชูหน่วนกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ทำไม่ได้”

รัฐปิงมีปัญหามากมายให้จัดการ นางยุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน มีราษฎรนับหมื่นนับแสนที่กำลังประสบภัยพิบัติที่รอความช่วยเหลือ

นางจะมีเวลาที่ไหนไปช่วยพวกเขาตามหาดวงวิญญาณแค่ดวงเดียว

แม้แต่เบาะแสการหายไปของเซี่ยวอวี่เซวียน นางเองก็ไม่มีเวลาออกไปตามหาด้วยตัวเอง

ครั้งที่แล้วหลังจากที่ปล่อยเลือดออกไป ทำให้นางไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้อยู่เป็นเวลาหลายวัน

นางหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ

“นายท่าน ขอร้องล่ะ ช่วยออกไปตามหาดวงวิญญาณเถอะขอรับ”

ฝูกวงและลั่วอิ่งมาคุกเข่าขอร้องนางด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“พวกเจ้าสองคนช่างกล้านัก ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามใครก็ตามเข้ามารบกวนขณะที่ข้ากำลังอ่านฎีกา?”

“นายท่าน….”

“ออกไปเดี๋ยวนี้”

“นายท่านได้โปรดช่วยด้วย ข้าน้อยทั้งสองขอรับใช้นายท่านไปตลอดชีวิตเลยขอรับ”

หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น “ฝ่าบาท”

“มีเรื่องอะไร”

“ทหารองครักษ์เข้ามารายงานว่าเจอตัวคนทรยศแล้วเพคะ”

“คนทรยศที่ไหนหรือ?”

“คนทรยศที่ปลอมตัวเป็นอดีตจักรพรรดินีเพคะ”

คำพูดเดียวทำให้ทุกคนต่างพากันหันไปมอง

จักรพรรดินีตัวปลอม?

“นางยังไม่ตาย?”

“เพคะ ตอนที่ทหารองครักษ์กำลังตามหาคุณชายเซี่ยวก็บังเอิญไปพบนางกำลังรักษาตัวอยู่ภายในถ้ำๆ หนึ่ง ทหารองครักษ์คิดจะจับตัวนางกลับมา ทว่ากลับถูกนางฆ่าตายทั้งหมดและเหลือรอดออกมาเพียงคนเดียวเพคะ”

“รีบให้เขาเข้ามา”

ทหารองครักษ์ที่อยู่นอกประตูมีสีหน้าซีดเผือดและตัวสั่นคุกเข่าลง “คารวะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าบุคคลนั้นคือคนที่ปลอมตัวเป็นอดีตจักรพรรดินี?”

“แน่…แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ ก่อน….ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กันที่ลานพิธี ข้า…ข้าน้อย….มีโอกาสได้พบเจอกับนางพ่ะย่ะค่ะ”

“อาการบาดเจ็บของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดูเหมือนจะสาหัสอย่างมาก ทว่าเมื่อลงมือ…..เมื่อลงมือก็สามารถจัดการฆ่าทุกคนอย่างราบคาบและไม่เหลือแม้แต่ซากศพพ่ะย่ะค่ะ”

ทหารองครักษ์ตัวสั่นสะท้านอย่างมาก อาจเป็นเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านและตะกุกตะกัก

“เห็นหรือไม่ว่านางหนีไปทางไหน?”

“เหมือน…เหมือนว่าจะไปทางรัฐอี้พ่ะย่ะค่ะ”

รัฐอี้?

นางไปที่รัฐอี้เพื่ออะไร?

กู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานมองหน้ากัน

รัฐอี้มีอะไรให้นางต้องเดินทางไปด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ

กู้ชูหน่วนโบกมือ “พวกเจ้าออกไปก่อน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ฝูกวงกล่าว “นายท่าน ให้ข้าน้อยไปสืบค้นดีหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ต้อง จากความสามารถของนาง ต่อให้ทหารองครักษ์แอบหนีออกมาได้ก่อนก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของนางอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นแสดงว่านางจงใจยั่วยุเพื่อคิดจะกลับมาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ?”

เยี่ยจิ่งหานกล่าว “หากนางต้องการกลับมาแก้แค้น เช่นนั้นก็บุกมาที่วังหลวงของรัฐปิงโดยตรงก็ได้ เหตุใดถึงจำเป็นต้องเหลือคนรอดชีวิตกลับมารายงานด้วยอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อเห็นว่าฝูกวงรู้สึกสับสนงุนงง เยี่ยจิ่งหานก็พูดต่ออีกว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นางน่าจะหลอกล่อเราให้ไปที่รัฐอี้”

ฝูกวงกล่าว “หลอกล่อไปที่รัฐอี้เพื่อเหตุใดหรือขอรับ?”

“เรื่องนี้คงต้องไปถามหวงกุ้ยจวินของพวกเจ้า”

เมื่อพูดถึงหวงกุ้ยจวินก็เห็นได้ชัดว่าเยี่ยจิ่งหานจงใจพูดเสียงดังและหนักแน่นพร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์

กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจอย่างลำบากใจ “ใช่แล้ว ควรต้องไปหาเขาหน่อยแล้ว”

ไม่ว่าเรื่องผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้นหรือเรื่องดวงวิญญาณ หรือจะเป็นเรื่องเสบียงอาหารและเงินตำลึง นางก็ควรจะไปพบเจอกับหวงกุ้ยจวินของนางบ้างแล้ว

“ฝูกวง สั่งให้คนเตรียมจดหมายรีบส่งไปที่รัฐอี้โดยด่วน เพื่อเตือนรัฐอี้ถึงผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้น”

“ขอรับ”

เยี่ยจิ่งหานขมวดคิ้วและกระซิบ “เกรงว่าจะไม่ทันแล้วกระมัง”

“ไม่มีทาง นางคิดจะหลอกล่อเราให้ไปที่รัฐอี้ ฉะนั้นนางไม่มีทางลงมือกับรัฐอี้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรอก”

ได้ผ่านยามจื่อไปแล้ว ทว่าทุกคนยังคงอยู่โดยไม่จากไปไหน

กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะออกคำสั่งขับไล่แขก “คืนนี้พวกเจ้าทั้งสามคิดจะนอนที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

เยี่ยจิ่งหานถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์

ฝูกวงตักเตือนด้วยความหวังดี “นายท่าน หากนายท่านต้องการไปที่เรือนอี้หยุน เช่นนั้นก็ไปเสียตอนนี้ มิเช่นนั้นคงต้องรอถึงวันพรุ่งนี้”

“เหตุใดหรือ?”

เยี่ยจิ่งหานหัวเราะเยาะ “ฝ่าบาททำงานหนักจนไม่รู้ว่าร่างกายของหวงกุ้ยจวินทุกข์ทรมานจากโรคร้าย และกลางวันก็เอาแต่นอนไม่ได้สติอย่างนั้นหรือ”

อ๋า……

กลางวันนอนหลับไม่ได้สติ?

บนโลกนี้มีโรคเช่นนี้ด้วยหรือ?

หรือเพราะไม่ต้องการเจอนางก็เลยสร้างเรื่องขึ้นมา?

“นายท่าน หวงกุ้ยจวินไม่ได้แสร้งทำเป็นป่วย เขาเป็นโรคร้ายแรงเช่นนั้นตั้งแต่ยังเล็ก จักรพรรดิอี้ประกาศตามหาหมอเก่งไปทั่วเพื่อมารักษาเขา แม้ว่าจักรพรรดิสั่งให้คนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ทว่าก่อนที่ท่านจะแต่งงานกับหวงกุ้ยจวินก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว และเรื่องโรคร้ายแรงของหวงกุ้ยจวินก็ตรวจเจอนานแล้วและได้รายงานท่านไปแล้ว”

จริงหรือ…..

อาจเป็นเพราะนางมัวแต่ยุ่งๆ ก็เลยไม่มีเวลาไปดูข้อมูลเรื่องประวัติความเป็นมาของเขากระมัง