ผูกขาด โดย Ink Stone_Fantasy

แต่ตอนนี้ประตูใหญ่ด้านหน้าปิดสนิท ภายนอกไม่ได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เยี่ยตงผิงไม่เคยมาที่นี่ จึงควักเอามือถือออกมาโทรศัพท์หาจี่หราน

สองสามนาทีผ่านไป ประตูใหญ่เปิดแง้ม มีคนโผล่หน้าออกมามองที่ทะเบียนรถของเยี่ยตงผิง แล้วเปิดประตูให้กว้างขึ้น

“บ้านนี้น่าสนใจดี”

เยี่ยเทียนนั่งมองจากในรถ โรงงานซ่อมบำรุงนี้ก่อกำแพงสูงลิ่ว จากภายนอกเห็นแต่กำแพงเท่านั้น ไม่เห็นภายในนั้นแม้แต่น้อย

แต่แค่ขับรถเข้าไป ข้างในนั้นกลับเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง

เบื้องหลังเงากำแพงทอดยาว เป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ ด้านในมีรถถึงยี่สิบสามสิบคัน ทั้งรถเบนซ์และบีเอ็ม ยังมีรถหรูยี่ห้อที่เยี่ยเทียนไม่รู้จักอีกหลายคัน

ที่ด้านขวาของลานจอนดรถ มีอาคารสองชั้นเล็กๆตั้งอยู่ มองจากภายนอกเป็นเพียงผนังปูนฉาบสีขาวธรรมดา ไม่มีจุดเด่นอะไร

ตรงข้ามกับตึกสีขาวเป็นพื้นที่ว่าง ซึ่งใช้กระเบื้องเคลือบมุงเป็นศาลากว้างขวาง จากที่ไกลขนาดนี้มองไปในลานพักเห็นผู้คนเดินขวักไขว่กันอยู่มากมาย

เยี่ยตงผิงจอดรถเสร็จจี่หรานที่ยืนรออยู่แล้วได้ช่วยเปิดประตูรถให้ ทักทายอย่างอบอุ่นว่า “ลุงเยี่ย เยี่ยเทียน มากันแล้วเหรอ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ!”

ผู้ติดตามนั้นมองด้วยความงุนงง จี่หรานแม้จะไม่ใช่คนสูงส่ง แต่ความหยิ่งทรนงนั้นมีอยู่สูงมาก เขาไม่เคยเห็นจี่หรานวิ่งไปรับใครถึงที่จอดรถมาก่อน?

“ประธานจี่ ขอโทษด้วย ผมไม่รู้ทางเลยมาสายไปหน่อย…” ตอนแรกนัดไว้ตอนแปดโมงครึ่ง แต่เยี่ยตงผิงขับอ้อมไปกว่าจะถึงก็เก้าโมงตรง

จี่หรานโบกมือตอบอย่างเกรงใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตอนแรกผมยังอยากจะเอารถไปรับคุณอยู่เลย ลุงเยี่ย งานด้านในเริ่มขึ้นแล้ว ผมเข้าไปเป็นเพื่อน”

ตามกฎของที่นี่ นอกจากผู้ขายสินค้า ผู้ซื้อไม่สามารถขับรถมาได้ จี่หรานจึงจัดการนำรถไปรับคนจากรอบถิ่นชาววังเข้ามา

แต่ก็มีข้อยกเว้น คู่ค้าบางคนมีภูมิหลังลึกซึ้ง ไม่เหมาะจะทำตามกฎ ไม่เห็นรถหรูราคาแพงที่จอดเรียงรายอยู่ในลานจอดรถนั่น?

“ประธานจี่ ผมรู้กฎดี พวกเราเดินเข้าไปเองได้” เยี่ยตงผิงสั่นศีรษะไม่ยอมให้จี่หรานเข้าไปเป็นเพื่อน มาคุยธุรกิจในที่แบบนี้ ไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นได้ยิ่งดี คนอื่นจะได้จดจำไม่ได้

จี่หรานยิ้ม กล่าวตอบว่า”ก็ได้ ลุงเยี่ย ผมไม่เข้าไปเป็นเพื่อนลุงแล้วกัน ลุงเข้าไปดูก่อน ชอบของชิ้นไหนก็คุยกับเจ้าของได้เลย ถ้าคุยกันไม่ได้ ตอนบ่ายยังมีงานประมูลต่อ…”

จี่หรานรู้ว่าคนใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ เยี่ยตงผิงเป็นคนในวงการค้าวัตถุโบราณ ต่อไปถ้าสนิทกันแแล้ว ต้องมีวิธีเข้าหาเยี่ยเทียนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปลงทุนมากตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะดูจงใจเกินไป

รอให้เยี่ยเทียนพ่อลูกเข้าไปในงานแล้ว คนที่อยู่ข้างกายจี่หรานถามขึ้นมาว่า “พี่จี่ คนนั้น สองคนนั้นเป็นใคร?”

“อวิ๋นชิ่ง พวกเขาแซ่เยี่ย ต่อไปเจอเขาทั้งสองต้องทักทายต้อนรับอย่างดี อย่าทำให้พวกเขาโกรธเป็นอันขาด!”

จี่หรานถึงเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ นอกจากแต่จะมีงานใหญ่ เขาก็ไม่ค่อยมาที่นี่บ่อยนัก เรื่องของที่นี่ให้คนสนิทหลี่อวิ๋นชิ่งเป็นคนดูแล ดังนั้นจึงสั่งการไว้ก่อน เพราะเกรงว่าต่อไปจะไปหาเรื่องคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

“ครับ พี่จี่ ผมรู้แล้ว”

การจะได้รับความไว้วางใจจากจี่หราน แน่นอนว่าหลี่อวิ๋นชิ่งต้องพอมีความสามารถอยู่บ้าง ฟังคำสั่งของจี่หรานจบ ถึงในใจกำลังคาดเดาสถานะของเยี่ยเทียนพ่อลูก แต่ก็ได้เขียนชื่อของคนทั้งสองลงในสมุดรายชื่อลูกค้าชั้นสูง

“ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของคนขุดสุสานจริงๆ?”

ยังเดินไม่ถึงศาลาที่จัดงาน เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว แม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงไอมรณะ พลังรังสีแบบนี้มีแต่ผู้ที่เข้าออกสุสานบ่อยเท่านั้นจึงจะมีไอมรณะในตัว

ไอมรณะนี้เป็นพลังพิฆาตชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วจะไม่เป็นอันตรายกับร่างกายมนุษย์ แต่ถ้าสะสมมากเกินไปเมื่อผู้นั้นชราวัย พลังพิฆาตนี้จะกำเริบขึ้นมา ทำให้ตายอย่างทรมาน

ดังนั้นพวกโจรขุดสุสานน้อยมากที่จะตายอย่างสงบสุข ซึ่งส่วนใหญ่จะได้เรียนรู้ถึงศาสตร์การวิเคราะห์พลัง และรู้ถึงวิธีการหลีกเลี่ยงพลังพิฆาตชนิดนี้

เมื่อผ่านเรื่องตี๋หว่างไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าประมาทกับคนพวกนี้ วิชาอาคมตั้งแต่สมัยโบราณถึงจะใกล้สาบสูญ แต่อาจหลงเหลือบางส่วนที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน ไม่แน่ว่าในกลุ่มคนพวกนี้ ยังมีผู้เยี่ยมยุทธปะปนอยู่ด้วย

ปักกิ่งในเดือนเก้าอุณหภูมิระหว่างวันแตกต่างกันมาก ตอนนี้พระอาทิตย์ลอยสูง อากาศข้างนอกประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดองศา แต่พอเข้าไปในศาลาแล้วกลับเย็นสบาย

คนอื่นอาจจะคิดว่าเย็นเพราะหลังคากระเบื้องเคลือบที่ป้องกันความร้อนจากภายนอก แต่เยี่ยเทียนขมวดคิ้วยิ่งแน่น สะกิดเรียกเยี่ยตงผิงแล้วบอกว่า “พ่อ ดูของให้ดีก่อนแล้วบอกผม ของที่นี่ไม่ใช่ว่าอะไรก็จะซื้อได้หมดนะ!”

เพิ่งเดินเข้าไปในศาลา เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ว่าภายในนั้นไม่ค่อยสะอาด เพราะอบอวลไปด้วยพลังพิฆาต บางตำแหน่งมีพลังพิฆาตกระจุกรวมตัวกันอยู่ ซึ่งสามารถส่งผลต่อร่างกายมนุษย์

เยี่ยตงผิงพยักหน้ารับ มองไปรอบๆคราวหนึ่งตอบว่า “ฉันรู้ แกคอยตามฉันแล้วกัน!”

ปกติเยี่ยตงผิงชอบสั่งสอนลูกชายเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะ แต่เขารู้ดีกว่าใครถึงความสามารถของลูกชาย โดยเฉพาะตอนที่หลอกผีคราวก่อน เรื่องแบบนี้เยี่ยตงผิงต้องฟังลูกชายอยู่แล้ว

ในศาลาแบ่งเป็นสามแถวแต่ละแถวยาวประมาณยี่สิบกว่าเมตร มีวัตถุโบราณตั้งเรียงราย ตั้งแต่กระถางทองแดงจนถึงเครื่องเคลือบลายคราม ถ้าไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมแล้ว คงรู้สึกเหมือนอยู่ในตลาดค้าของเก่าพานเจียหยวน

ในศาลานอกจากผู้ขายที่นั่งอยู่ด้านหลังสินค้าของตัวเอง มีผู้ซื้ออีกประมาณสามสี่สิบคน เยี่ยตงผิงเล่าตอนขามาว่า คนเหล่านี้เกือบจะผูกขาดการค้าวัตถุโบราณในถิ่นชาววังไปหมด

“เฮ้อ เหล่าเยี่ย มาได้ยังไง?” เยี่ยตงผิงดูไปรอบๆ อยู่ๆมีชายอายุไล่เลี่ยกันกับเขาเดินเข้ามาทักทาย

“อ้าว ประธานอวี๋ คุณก็มาด้วย?”

เยี่ยตงผิงพบผู้ที่เดินมาหา รีบกุลีกุจอทักทาย ถึงเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่อยู่ในปักกิ่งยังไม่นาน ถือว่ายังเป็นคนใหม่ของวงการอยู่

“เหอะๆ ที่นี่จะขาดผมไปได้อย่างไร?”

ผู้มาเยือนหัวเราะ รีบถามต่อว่า”เหล่าเยี่ย มาได้เพราะเส้นสายใครเหรอ?ที่นี่น่ะไม่เข้ามาได้ง่ายๆหรอก ต่อไปธุรกิจค้าของโบราณในถิ่นชาววัง ต้องมีเธอเป็นส่วนร่วมคนหนึ่งแน่ๆ…”

“เหอะๆ ประธานอวี๋พูดเกินไป กระผมยังเป็นแค่น้องใหม่ในวงการ ต่อไปก็หวังว่าประธานอวี๋จะช่วยส่งเสริม…”

เยี่ยตงผิงทักทายกับผู้มาเยือนจนเสร็จแล้วในใจก็รู้สึกฮึกเหิม ตามที่เถ้าแก่อวี๋คู่คนนี้ว่าไว้ การเข้ามาที่นี่ได้ถึงจะเป็นการเข้าถึงศูนย์กลางของการซื้อขายวัตถุโบราณในย่านถิ่นชาววัง

การค้าขายตั้งแต่โบราณมา ต้องทำให้ได้ถึงสองอย่าง อย่างแรกคือเข้าถึงแหล่งที่มาสินค้า อย่างที่สองคือช่องทางการขายออกไป

แต่การค้าวัตถุโบราณ สำคัญที่แหล่งที่มา พวกคนตั้งร้านแบกะดินขายผลงานศิลปะยุคปัจจุบันกลับอยากซื้อวัตถุโบราณ แต่พวกเขาไม่มีลู่ทางหาของเข้าร้าน

ผู้ค้าวัตถุโบราณที่แท้จริงในถิ่นชาววัง ที่สามารถเข้าถึงคู่ค้ารายใหญ่ได้ จำเป็นต้องมีแหล่งนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่

เช่นว่า เมื่อเช้ามีลูกค้ากระเป๋าหนักคนหนึ่งบอกว่าอยากจะหาซื้อโถลายครามสมัยคังซีฮ่องเต้ ตอนบ่ายก็ต้องหามาให้ถึงมือแล้ว อย่างนี้ต่อไปใครต้องการอะไรก็ต้องมาหาเขา การค้าวัตถุโบราณในถิ่นชาววังจึงถูกคนกลุ่มนี้ผูกขาดไปโดยปริยาย

แต่หลายปีก่อนมีความนิยมการไปหารับซื้อวัตถุโบราณตามชนบท ซึ่งตอนนี้ตกยุคไปแล้ว

ประการแรกหลายปีที่ผ่านมา ถึงจะมีของดีอยู่ในมือ ก็ถูกกวาดซื้อไปเกือบหมด ประการที่สองชาวบ้านชนบทก็ได้เรียนรู้ว่า แม้จะนำถ้วยกาไก่ที่ใช้เลี้ยงหมูออกมาขาย ก็กล้าเรียกราคาถึงแปดหมื่นแสนหนึ่งได้เลย

เพราะเหตุนี้ผู้ค้าจึงมุ่งไปที่โจรปล้นสุสาน เพราะหนึ่งได้ของแท้ และสองคือราคาเป็นธรรม อีกอย่างถ้ามีปัญหาพวกเขาก็ไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ สองปีมานี้ที่จี่หรานทำธุรกิจ ก็นับว่าได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย

เถ้าแก่อวี๋ไม่สามารถล้วงความจริงจากปากเยี่ยตงผิงได้จึงรู้สึกไม่พอใจ ถามต่อว่า “เหล่าเยี่ย ใครแนะนำคุณเข้ามา?”

โบราณว่าในทางธุรกิจไม่มีคำว่าพ่อลูก เยี่ยตงผิงกับประธานอวี๋ถึงจะเป็นเพื่อนกัน ปกติพบเจอก็คุยกันไม่กี่ประโยค แต่การเข้าร่วมงานนี้ของเยี่ยตงผิง จะต้องชิงยอดขายไปอย่างแน่นอน ประธานอวี๋ถามก็เพื่อคาดคะเนเขาเฉยๆ

ถ้าคนที่แนะนำมาเป็นคนไม่สำคัญ เถ้าแก่อวี๋จะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อบีบให้เยี่ยตงผิงออกจากวงจรนี้ไป ยังไงธุรกิจนี้ก็ทำยากอยู่แล้ว คู่แข่งยิ่งน้อยยิ่งดี

“เหอะๆ ผมกับประธานจี่สนิทกัน ครั้งนี้มาเพราะเขาเป็นคนเชิญ!” เยี่ยตงผิงมีหรือจะไม่รู้ความหมายของฝ่ายตรงข้าม จึงพูดชื่อจี่หรานออกมาตรงๆ ฝ่ายนั้นจะได้ไม่ต้องมาข่มใส่เขาอีก

ฟังคำของเยี่ยตงผิงแล้ว ประธานอวี๋หน้าเปลี่ยนทันที ฝืนยิ้มตอบว่า “อ๋อ ประธานจี่นี่เอง..เหล่าเยี่ย ช่องทางของคุณกว้างดีนี่ ใช่ละ เมื่อกี้ผมดูของอยู่ทางโน้น งั้นขอตัวก่อน…”

อวี๋คู่อยากจะไปตามหาเพื่อนสนิทคนอื่น เพื่อสืบข่าวเรื่องนี้ ถ้าจี่หรานเป็นคนแนะนำเยี่ยตงผิงมาจริง พวกเขาคงได้แต่ยอมรับ เพราะอย่างน้อยพวกเขาต้องพึ่งประธานจี่ทำมาหากิน

“ธุรกิจแค่นี้ คุ้มเหรอที่ต้องมาต่อสู้แย่งชิงกัน?”

รอจนเถ้าแก่อวี๋จากไป เยี่ยเทียนบ่นพึมพำอยู่ข้างๆพ่อ ตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็ชอบการค้าวัตถุโบราณ เพราะว่ามันมีที่มา

คนอย่างเยี่ยเทียน ปกติแล้วมักจะอยู่กับพลังพิฆาตหยินหยาง วัตถุโบราณพวกนี้ถูกตกทอดหลายยุค จนในตัววัตถุมีพลังพิฆาตไหลเวียนอยู่ แน่นอนว่าไม่ต้องรอจนเยี่ยเทียนมาพบเข้าหรอก