ภาคที่ 4 บทที่ 96 ภารกิจของกังเหยียน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 96 ภารกิจของกังเหยียน

เมื่อถังหลี่เฟิงกลับมาอีกครั้ง ทั้งคู่ก็เลิกทะเลาะกันแล้ว

กู่ชิงลั่วนอนอยู่ในอ้อมกอดของซูเฉินและร้องไห้ไม่หยุด

ทั้งหมดที่นางทำคือร้องไห้

บางครั้งนางก็จะตบตีไม่ก็หยิกเขาอย่างรุนแรงสองสามที

ความเจ็บปวดทำให้ซูเฉินแอบกัดฟัน และรู้สึกเสียใจที่ทำร้ายตัวเองหนักมือเกินไป

เมื่อกู่ชิงลั่วเห็นถังหลี่เฟิงปรากฏตัวขึ้น นางก็รู้ว่านางไม่สามารถรั้งอยู่ได้อีกต่อไป และจ้องไปที่ซูเฉินทั้งน้ำตา “เมื่อไปที่อาณาเขตของเผ่าคนเถื่อนแล้วระวังตัวให้มาก อย่าได้พยายามทำตัวเป็นวีรบุรุษ จำไว้ว่ายังมีคนรอเจ้าอยู่”

”ได้” ซูเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง

ทันใดนั้น น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป “ไม่สิ ต้องบอกว่ามีอีก 2 คนรอเจ้าอยู่ถึงจะถูก”

น้ำเสียงของนางดูออกจะประชดประชันและหึงหวงอยู่สักหน่อย

ซูเฉินทำได้เพียงถอนหายใจ

โชคดีที่ความหึงหวงนี้ไม่ได้อยู่นานนัก กู่ชิงลั่วโอบแขนรอบตัวเขาและค้างอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ ก่อนที่ถังหลี่เฟิงจะเกลี้ยกล่อมให้นางเตรียมตัวไปได้แล้ว

กู่ชิงลั่วจากไปพร้อมกับหัวใจของชายหนุ่ม ทำให้เขาดูเหม่อลอยราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกขโมยไป

ช่วงเวลาที่คนเรามักจะรู้สึกเจ็บปวดจากการต้องพรากจากคนรัก มากที่สุดก็คือเมื่อยามที่ต้องจากกัน โดยเฉพาะการพรากจากที่ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าจะได้พบพานกันอีกเมื่อไหร่ และจะได้พบพานกันอีกหรือไม่

ชั่วขณะหนึ่ง ซูเฉินเกิดความคิดที่จะสู้กับถังหลี่เฟิงเพื่อพากู่ชิงลั่วหนีไปกับเขา

แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเขา และเขาไม่อาจทำทุกอย่างอย่างที่ต้องการได้

ยิ่งไปกว่านั้น ฉือไคฮวงที่หายตัวไป ในตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้แน่ชัด

ดังนั้นซูเฉินจึงพยายามควบคุมสภาพจิตใจของตน และก้าวลงจากภูเขา

ซูเฉินไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเพราะบินสุ่มไปตลอดทาง จนกระทั่งเมื่อลงมาถึงตีนภูเขา เขาก็รู้ว่าเขาอยู่ที่เมืองฟานหยาง ซึ่งอยู่ในทิศตรงกันข้ามกับสถานที่ที่เขาตั้งเป้าไว้อย่างสิ้นเชิง จากที่นี่ไปยังเมืองกลืนธาราใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 3 วัน เวลาเท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้เขาได้สงบสติอารมณ์ลงแล้ว

3 วันต่อมา เมื่อชายหนุ่มมาถึงเมืองกลืนธารา สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นมากและกลับมาสงบเหมือนวันเก่า ๆ อีกครั้ง

ซูเฉินไปที่คฤหาสน์ตระกูลกู่ เพื่อพบกับกู่เซวียนเหมี่ยนและกู่เหยาเยี่ยเป็นอย่างแรก

ซูเฉินไม่ได้สุภาพเกรงใจแต่อย่างใด และบอกพวกเขาไปตรง ๆ ว่าเขากับกู่ชิงลั่วเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ก็ยังต้องให้ตระกูลกู่ยอมรับเขาเป็นลูกเขยของพวกเขาด้วย

แน่นอนว่าชายหนุ่มยังคงส่งมอบเครือข่ายเรือเหาะให้กับพวกเขา

คฤหาสน์ซู

“ …ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องของเครือข่ายเรือเหาะแล้ว ศาลาโอสถจะยังคงเปิดกิจการต่อไป หลี่ชู่กับโจวหงจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ และเรื่องการรวบรวมทรัพยากรเป็นหลัก ส่วนเรื่องคฤหาสน์ให้หมิงชูเป็นคนจัดการดูแล”

“ขอรับ !” เหล่าข้ารับใช้ของคฤหาสน์ซูก้มศีรษะลง และขานรับอย่างเคารพ

“พรุ่งนี้ข้าจะไปยังปราการลุ่มน้ำทอง และอาจไม่ได้กลับมาอีกสักพัก ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องทางนี้”

“เป็นเรื่องด่วนมากเลยหรือขอรับ ?” หลี่ชู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ซูเฉินถอนหายใจ “ชีวิตของอาจารย์ข้ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากไม่ใช่เพราะข้ารู้ดีว่าการเร่งรีบไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างสำเร็จเสมอไป ข้าก็คงจะออกเดินทางไปแล้ว”

“นายน้อย โปรดระวังตัวด้วย !” หลี่ชู่กล่าวอย่างจริงจัง

เขาเข้าใจว่าการเดินทางครั้งนี้ของซูเฉิน จะต้องเต็มไปด้วยอันตรายอย่างแน่

ชายหนุ่มพยักหน้า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเร่งด่วน พวกเจ้าก็ไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ กังเหยียนเจ้าอยู่ก่อน”

ทุกคนค่อย ๆ ทยอยพากันออกจากห้องไป จนในที่สุดก็เหลือเพียงกังเหยียนเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่

“กังเหยียนครั้งนี้ข้าจะเดินทางไปยังอาณาเขตของเผ่าคนเถื่อน เจ้าไม่ต้องตามข้าไปจะดีกว่า”

“ทำไม ?” เขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

“มันอันตรายมาก แค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้เรารอดได้ มันต้องใช้สิ่งนี้ด้วย” ซูเฉินพูดพลางชี้ไปที่หัวของตัวเอง “เป้าหมายหลักของข้าในครั้งนี้ คือการไปช่วยอาจารย์ การพาเจ้าไปด้วยคงไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก กลับกันเจ้าอาจจะทำให้ข้าช้าลง”

ซูเฉินไม่ได้ใช้คำพูดอ้อมค้อม ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเขาพยายามที่จะคำนึงถึงความรู้สึกของกังเหยียนมากเกินไป อีกฝ่ายจะต้องพูดอะไรอย่างตนไม่กลัวความตายและจะขอติดตามไปด้วยเป็นแน่ ดังนั้นซูเฉินจึงบอกไปตรง ๆ ว่าการพาเจ้าไปด้วยมีแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาทำให้ข้าช้าลง ทำให้กังเหยียนที่ฟังอยู่ได้แต่อ้าปาก แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

ในแง่ของความแข็งแกร่งเขาด้อยกว่าซูเฉิน ในแง่ของความเฉลียวฉลาดเขายิ่งแย่กว่าซูเฉิน แม้ว่าเขาจะภักดีจนสุดชีวิต แต่นั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์เช่นนี้

เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดนั้น กังเหยียนจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน ทว่าหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจและอึดอัดใจ จนหน้าของเขาแดงก่ำ

เมื่อเห็นคนตรงหน้าเป็นเช่นนี้ ซูเฉินก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เจ้ารู้สึกไม่พอใจใช่หรือไม่ ?”

กังเหยียนพยักหน้าอย่างหดหู่

“ข้าเข้าใจ” ซูเฉินปลอบโยน “แต่เพียงเพราะเจ้าไม่สามารถตามข้าไปได้ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะช่วยข้าไม่ได้”

ชายตัวโตจ้องมองไปยังเจ้านายอย่างสงสัย และไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามจะพูดอะไร

ซูเฉินกล่าวต่อ “เจ้ารู้จักเทือกเขาหินปูนหรือไม่ ?”

กังเหยียนพยักหน้าเงียบ ๆ

“เทือกเขาหินปูนมีเขตแดนติดกับที่ทุ่งหญ้าฮาเหวยทอดยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ ข้ามเทือกเขานั้นไปก็จะพบกับที่ราบนั้น อย่างไรก็ตาม เทือกเขานั้นอันตรายยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมันอยู่ติดกับอาณาเขตของเผ่าสัตว์อสูรด้วย มนุษย์และเผ่าคนเถื่อนเลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างแนวตั้งรับอยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น”

หัวใจของกังเหยียนเต้นแรงขึ้น “นายท่านหมายความว่า…”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถไปที่นั่น และแก้ปัญหาบางอย่างให้ข้าได้”

กังเหยียนตอบรับเสียงดัง “ข้าเต็มใจจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อนายท่าน !”

ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าตายเพื่อข้า ข้าต้องการให้เจ้าทำงานนี้ให้สำเร็จเพื่อข้า เจ้าคือแผนสำรองของข้า และหากเป็นไปได้ข้าก็หวังว่าข้าจะไม่จำเป็นต้องใช้งานเจ้า แต่เมื่อใดที่ข้าต้องการ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของกังเหยียนก็ดิ่งลง

ในเวลานี้เขาไม่กล้าพูดว่า เขามั่นใจว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูเฉินก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง “ดีแล้วที่เจ้าไม่ให้สัญญากับข้า คนที่กล่าวคำสัญญาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานที่ต้องทำคืออะไร ไม่มีทางทำงานออกมาให้ดีได้อยู่แล้ว ทว่าคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ก็ไม่สามารถทำงานออกมาให้ดีได้เช่นกัน”

หลังกล่าวจบชายหนุ่มก็เปลี่ยนหัวข้อไปในทันที “กังเหยียน เจ้าอยู่กับข้ามา 20 ปีแล้วใช่ไหม ?”

“23 ปี 4 เดือน” ชายร่างโตตอบ

“23 ปีแล้วเหรอ ? เวลาผ่านไปไวจริง ๆ พูดก็พูดแล้ว เจ้านับว่าเป็นคนที่อยู่เคียงข้างข้ามานานที่สุด ชิงลั่ว อาจารย์ เซียนเหยา… ไม่มีใครอยู่กับข้านานเทียบได้กับเจ้าเลย เจ้าเป็นคนที่รู้ความลับของข้ามากที่สุด และเข้าใจข้าดีที่สุด กังเหยียนเจ้าอยู่กับข้ามา 23 ปีแล้ว เจ้าอาจจะไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”

กังเหยียนไม่เข้าใจ

ซูเฉินว่าต่อ “งานครั้งล่าสุดที่ข้าส่งเจ้าไปถ่วงเวลาโจวชิงขวง เจ้าทำได้ดีมาก ลองบอกข้าทีสิว่าคนอื่น ๆ ในเผ่าหินผา มีกลวิธีมากมายขนาดนั้นหรือ ?”

กังเหยียนส่ายหัวช้า ๆ

สมาชิกส่วนใหญ่ของเผ่าหินผานั้นมีกระบวนการคิดที่เรียบง่ายและมีนิสัยซื่อสัตย์ ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้จนตายง่ายกว่าปล่อยให้พวกเขาใช้สมองแก้ปัญหา

แต่กังเหยียนนั้นแตกต่าง

เขาติดตามซูเฉินมานานกว่า 20 ปี ทำการทดลองกับเขาทุกวัน หลอกล่อผู้คน จนเขามักจะได้ใช้สมองมากกว่าหมัด

การเป็นผู้ช่วยทดลองทำให้กังเหยียนเรียนรู้ที่จะอดทนและรอคอย การหลอกล่อผู้อื่นสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะคิดและวางแผน บุคลิกภาพทั้ง 2 อย่างได้ทับซ้อนรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เขาไม่ใช่เผ่าหินผาธรรมดาอีกต่อไป ไม่อย่างนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถทำภารกิจถ่วงเวลาโจวชิงขวง ให้สำเร็จอย่างสวยงามเช่นนี้

คนใกล้ชาติติดแดง คนใกล้หมึกติดดำ (1)

“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าเจ้ามีความสามารถที่โดดเด่นอยู่แล้ว ทั้งหมดที่ข้าต้องการคือให้เจ้าเอาความโดดเด่นเหล่านี้ของเจ้าออกมาใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”

กังเหยียนขานรับเต็มเสียง “นายท่านโปรดวางใจ ข้า กังเหยียนจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จอย่างแน่นอน !”

“ดี” ซูเฉินมอบแหวนต้นกำเนิดให้กับเขา และกล่าวอย่างมีความหมาย “เพื่อทำภารกิจที่ข้าจะให้เจ้าให้สำเร็จ เจ้าจะใช้ทรัพยากรหรือวิธีการตามที่เจ้าต้องการได้เลย … ”

*****

(1) 近朱者赤,近墨者黑

หมายถึง คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน หรือใกล้กับอะไร ก็จะติดนิสัยหรือสิ่งนั้นมาด้วย เช่นเดียวกับสุภาษิตไทยที่ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบ บัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”