บทที่ 392.2 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เมื่อดื่มเหล้าดองยาหลอมเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จนหมด บวกกับการพักฟื้นตลอดทางที่ผ่านมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเฉินผิงอันฟื้นตัวมาเกินครึ่งแล้ว ตบะวิถีวรยุทธ์มีระดับพอๆ กับตอนก่อนจะเปิดศึกกับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัว

แต่หลังจากที่เขียนตัวอักษรลงบนผนังของศาลพ่อปู่ลำคลอง เฉินผิงอันก็ค้นพบได้อย่างเลือนๆ ว่าช่องโพรงจวนน้ำในกายคล้ายจะเกิดการขานรับบางอย่าง ระดับความเร็วของสายน้ำที่ไหลรินเพิ่มสูงขึ้นเยอะมาก ไอหมอกลอยอวลปกคลุมไปทั่วผิวน้ำ บางครั้งยังถึงกับมี ‘เส้นทางน้ำ’ เอ่อล้นออกมาอบอวลไปเต็มช่องโพรงลมปราณ เพียงแต่ว่าถูกสกัดขวางไว้ตรงประตูใหญ่ของจวนน้ำ ช่องทางน้ำที่ย้อนกลับไปบนผนังอีกครั้งจึงกลับคืนสู่ความนิ่งสงบดังเดิม

ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงคิดจะใช้วิชา ‘มองภายใน’ ที่ตื้นเขินของบนภูเขามาตรวจสอบดูสักหน่อย

คิดไม่ถึงว่าเขาเป็นเจ้านาย แต่กลับเกือบจะผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งฟูมฟักมาจากการเป็นผู้ฝึกยุทธ์พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน น่าจะมีรู้สึกประมาณว่า ‘นายได้รับความอัปยศ ลูกน้องสมควรตาย’ จึงต้องการทวงความยุติธรรมให้กับเฉินผิงอัน แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่กล้าปล่อยให้ ‘มังกรเพลิง’ ตัวนี้บุกเข้าประตูไป ไม่อย่างนั้นจะไม่กลายเป็นว่าตัวเองทุบประตูบ้านของตัวเองหรอกหรือ นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ว่าเหตุใดยอดฝีมือบนโลกสามารถทำได้ แต่กลับไม่ยอมฝึกควบสองเส้นทาง

แค่ปลอบประโลมมังกรเพลิงตัวนั้น เฉินผิงอันก็เกือบจะหัวทิ่มลงพื้น ได้แต่เปลี่ยนจากใช้นิ้วยันพื้นมาเป็นใช้หมัดแทน

หลังจากมังกรเพลิงเคลื่อนย้ายไปอยู่ ‘ทางเดินม้า’ เส้นอื่นแล้ว ลมหายใจของเขาถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันเทพทวารบาลสององค์ที่อยู่ตรงหน้าประตู เมื่อถูกคนจิ๋วตัวอักษรแผ่นหยกที่สวมชุดสีเขียวมรกตควบคุมก็รีบเปิดประตูใหญ่ให้เฉินผิงอันทันที แล้วทำท่าคารวะขอรับผิดด้วยความละอายใจอย่างสุดซึ้ง หลังจากแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่เฉินผิงอันแบ่งเข้ามาสำรวจภายในเดินเข้าไปก็รู้สึกถึงความงดงามชวนตะลึงที่แปลกใหม่ เมื่อเทียบกับตอนที่กวาดตามองสวนสิงโตซึ่งมีภูเขารายล้อมแล้ว มีแต่จะให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าไม่มีด้อยกว่า

แผ่นหยกที่ถูกหล่อหลอมได้สำเร็จก่อนหน้าตราประทับอักษรน้ำลอยอยู่กลางจวนน้ำซึ่งเป็นห้องโอสถแห่งนี้ ส่วนตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้นก็ลอยอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่า

เจ้าตัวน้อยชุดเขียวทั้งหลายยังคงสร้างกระท่อมสร้างบ้านเรือนอย่างขยันขันแข็ง บางคนที่ตัวใหญ่กว่าหน่อยก็จะไปนั่งยองอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำสายใหญ่บนผนังดุจจิตรกรเอกที่กำลังวาดเค้าโครงของลูกคลื่น

ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่ไอน้ำซึ่งคุณภาพไม่บริสุทธิ์กรูผ่านประตูใหญ่เข้ามาในจวน ส่วนใหญ่ล้วนค่อยๆ ไหลรินไปอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งจะมีเพียงแค่ส่วนน้อยเล็กบางเหมือนเส้นผมที่บินเข้าไปใน ‘สะเก็ดน้ำ’ ใต้ปลายพู่กันของคนจิ๋วชุดเขียว เมื่อบินเข้าไป สะเก็ดน้ำก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา มีสัญญาณว่าจะไหลขยับ เพียงแต่ว่าเจ้าตัวน้อยน่ารักสวมชุดเขียวซึ่งอยู่บนผนังส่วนใหญ่ล้วนว่างงาน อันที่จริงพวกมันวาดเส้นสายคลื่นน้ำไปเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่าส่วนที่มีชีวิตขึ้นมานั้นกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้

ดังนั้นเมื่อพวกมันที่อยู่ริมน้ำเห็นเฉินผิงอันจึงพากันทำท่าน้อยเนื้อต่ำใจ คล้ายกำลังพูดว่าต่อให้เป็นแม่บ้านที่ฝีมือดีแค่ไหน แต่ไม่มีวัสดุก็ทำอาหารอร่อยออกมาไม่ได้ เจ้ารีบๆ ดูดซับหล่อหลอมปราณวิญญาณมาเยอะๆ สิ

เฉินผิงอันรู้ดีว่าเมื่อสะพานแห่งความเป็นอมตะหักลง ฐานกระดูกก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้น้ำอันเป็นต้นกำเนิดของจวนน้ำแห่งนี้มีน้อยเกินไป อีกทั้งความเร็วในการหล่อหลอมยังอยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าผู้มีพรสวรรค์ได้ ทั้งสองอย่างรวมกันก็เหมือนน้ำค้างแข็งที่ตกลงบนหิมะ เป็นเหตุให้เด็กๆ ชุดเขียวได้แต่เสียเวลาไปเปล่าๆ ไม่มีงานให้ง่วนวุ่นวาย เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอยออกมาจากจวนอย่างละอายใจ

หลังจาก ‘เฉินผิงอัน’ ออกมาจากจวนน้ำแล้ว เด็กชุดเขียวสองสามตนที่ตัวใหญ่ที่สุดก็มารวมหัวกระซิบกระซาบกัน

เฉินผิงอันไม่ได้ตัดขาดวิธีการสำรวจภายในทันที แต่เริ่มใช้ดวงจิต ‘เดินเล่น’ ไปตามทิศทางการโคจรของมังกรเพลิง

แสงดวงจิตนี้เล็กเท่าเมล็ดงา ทว่ามังกรเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลับพุ่งไปได้ร้อยลี้ในเสี้ยววินาที เมื่อ ‘เฉินผิงอัน’ เดินอยู่บนเส้นทางชีพจรจึงเรียกได้ว่าหนทางยาวไกลพันลี้ แม้จะรู้ว่ามังกรเพลิงตัวนั้นอยู่ที่ไหน แต่กลับไล่ตามไปไม่ทัน

แต่นี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันโดนเรือกลืนกระบี่แทงมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถใช้แสงสว่างแห่งดวงจิตจุดนี้บังคับให้มังกรเพลิงลมปราณที่แท้จริงตัวนั้นว่ายวนกลับมา ไม่แน่ว่าอาจจะยังขี่มันเดินทางท่องไปสี่ทิศ

สุดท้าย ‘เฉินผิงอัน’ ย้อนกลับมาที่นอกจวนน้ำ นั่งขัดสมาธิเริ่มหล่อหลอมปราณวิญญาณ

ขยันหมั่นเพียรชดเชยส่วนที่ขาด

เฉินผิงอันเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เชี่ยวชาญมาก

ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า สามารถทำให้อาเหลียงพูดประโยคว่า ‘หมื่นวิชาหนีไม่พ้นรากฐานดั้งเดิม ฝึกหมัดก็คือฝึกกระบี่’ นั้น ถือเป็นการได้รับการยอมรับที่มากเท่าไหร่

ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้ามีนับพันนับหมื่น ทว่าบนโลกกลับมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียว

……

เด็กสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหอซิ่วโหลวที่งามประณีต

เด็กสาวหน้าตาอิดโรยดุจบุปผาที่แห้งเหี่ยว ภายใต้การประคองจากสาวใช้ประจำกาย นางมานั่งอยู่หน้าคันฉ่อง แม้ว่าจะมีสภาพน่าสงสารเพราะป่วยหนักเต็มที แต่ดวงตาของเด็กสาวกลับยังทอประกายเจิดจ้า ขอแค่ในใจยังมีความหวัง คนก็มีชีวิตชีวา

คนน่าสงสารผู้นี้ก็คือบุตรสาวคนเล็กของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว หลิ่วชิงชิง ในเทียบวงศ์ตระกูลของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว รุ่นของเขาใช้อักษรตัวจิ้ง ส่วนรุ่นของหลิ่วชิงชิงใช้อักษรตัวชิง

หลิ่วชิงหย่าพี่สาวคนโตที่แม้จะแต่งงานไปแล้ว แต่เพราะได้รับความเดือดร้อนจากน้องสาวอย่างนาง จนทุกถึงวันนี้จึงยังต้องรั้งรออยู่ในสวนสิงโตพร้อมกับสามี

หลิ่วชิงซานพี่ชายคนรอง เดิมทีมักจะมาคุยเล่นกับนางเป็นประจำ เดี๋ยวนี้ไม่เคยมาหานางนานมากแล้ว เด็กสาวสนิทกับพี่ชายคนรองมากที่สุด ดังนั้นจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

น้องสามหลิ่วชิงอวี้กลับมาเล่นอยู่กับนางบ่อยๆ เพียงแต่ว่าเขาอายุยังน้อยจึงมักส่งเสียงดังโหวกเหวก ตอนนี้ร่างกายนางอ่อนแอ น้องชายที่นิสัยร่าเริงผู้นี้เป็นคนมือเท้าอยู่ไม่นิ่ง นางกลัวว่าหากน้องชายไม่ระวังจะทำลายหรือไม่ก็เหยียบย่ำของรักบางชิ้นของนางให้แตกเสียหาย จึงทำให้นางปวดหัวมากจริงๆ

สาวใช้ของนางก็คือจ้าวหยาบุตรสาวของผู้ดูแลผู้เฒ่า เด็กสาวที่มีกระตรงปลายจมูก เห็นว่าคุณหนูของตนเข้มแข็งถึงเพียงนี้ จ้าวหยาที่ปรนนิบัติรับใช้คุณหนูมาตั้งแต่ยังเด็กก็ให้เจ็บปวดหัวใจ พยายามสรรหาถ้อยคำมาปลอบใจนาง ยกตัวอย่างเช่นวันนี้สีหน้าคุณหนูดีขึ้นเยอะมาก วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว พรุ่งนี้คุณหนูก็ออกจากหอเรือนไปเดินเล่นได้แล้ว

ตอนที่จ้าวหยาขึ้นหอเรือนมาได้ยกน้ำร้อนมาด้วยหนึ่งถัง นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะสระผมให้คุณหนูหลิ่วชิงชิง

หลิ่วชิงชิงนั่งอยู่บนม้านั่ง ยกมือลูบซีกแก้มที่ผอมตอบ พูดกับจ้าวหยาว่า “หยาเอ๋อร์ วันนี้บอกให้พวกมันมาทำเถอะ เจ้าพักผ่อนสักหน่อย อ่านหนังสือให้ข้าฟังสักบทแล้วกัน”

จ้าวหยาถอนหายใจเบาๆ อย่างที่แทบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะเดินเบาๆ ไปเปิดประตูบานเล็กของกรงนกที่ทำขึ้นอย่างประณีต

แม้ว่าด้านในจะมีเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ฟังแล้วคล้ายจะครึกครื้น แต่อันที่จริงเสียงกลับเบามาก เวลาปกติจึงไม่ดังรบกวนคุณหนู

พูดว่ากรงนก แต่นอกจากรูปร่างคล้ายกรงที่ใช้เลี้ยงนกแล้ว อันที่จริงด้านในกลับสร้างให้เป็นเหมือนหอเรือนย่อส่วนแห่งหนึ่ง นี่ก็คือ ‘กรงหลวน’ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแคว้นชิงหลวนซึ่งคุณหนูในตระกูลใหญ่แทบทุกคนล้วนมีในครอบครอง สิ่งที่เลี้ยงไว้ด้านในไม่ใช่นก แต่เป็นภูติเรือนกายเล็กจิ๋วหลากหลายชนิด มีแม่นางหวีผมที่รูปร่างเหมือนกบ แต่กลับมีศีรษะเป็นสตรี เกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำสะอาด ชอบใช้กรงเล็บเล็กๆ หวีผมให้สตรีอย่างละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงเส้นผมให้กับสตรีได้ด้วย สตรีแต่งงานแล้วจะไม่มีทางมีผมขาวก่อนวัยอันควรเด็ดขาด

มีภูตผีเสื้อดอกไม้ที่เชี่ยวชาญด้านการวาดคิ้ว ขอแค่ทำพู่กันขนาดเล็กครบชุดให้พวกมัน แล้วให้พวกมันดูการแต่งหน้าในรูปแบบต่างๆ พวกมันก็จะสามารถวาดคิ้วที่งดงามชวนหลงใหลให้กับสตรีได้

และยังมีภูตน้อยที่ชอบกินเครื่องประทินโฉม มีร่างเป็นคนมีกรงเล็บของนก และมีปีกหนึ่งคู่ สามารถช่วยทาเครื่องประทินโฉมให้กับสตรีได้อย่างละเอียดอ่อน เพิ่มสีสันงดงามให้กับใบหน้าได้ดีกว่าสตรีทำเอง

หลังจากที่สาวใช้จ้าวหยาเปิดกรงออก ภูติประหลาดหลายสิบตัวที่อยู่ในหอเรือนกรงหลวนก็พากันบินออกมาอย่างเป็นระเบียบ แล้วจึงเริ่มสระผมแต่งหน้าให้กับเจ้านายอย่างหลิ่วชิงชิงด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด

ส่วนจ้าวหยานั้นพลิกเปิดตำราอยู่ด้านข้าง อ่านออกเสียงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หนังสือที่อ่านคือตำรารวมบทกวีเล่มหนึ่งที่เป็นที่นิยมในราชสำนักแคว้นชิงหลวนช่วงล่าสุด

เสียงแอดดังขึ้น ประตูห้องเปิดออก แต่กลับไม่เห็นคนเดินเข้ามา

จ้าวหยาถอนหายใจอยู่ในใจ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงอ่านบทกวีแห่งภูเขาและแม่น้ำในตำราต่อไป

ลมโชยเบาๆ ผ่านหน้าหนังสือ เพียงไม่นานก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังเด็กสาว ใช้ปลายนิ้วดีดภูตน้อยที่กำลังหวีผมสีนิลให้กับเจ้านายเบาๆ แล้วเขาเป็นคนทำหน้าที่นั้นแทน

เด็กสาวไม่ได้หันกลับมา เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มาแล้วหรือ”

ปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้ไก่บินหมาวิ่งอลหม่านในสวนสิงโตคลี่ยิ้มน่าหลงใหล “ประเพณีนิยมทำร้ายผู้คน ลำบากภรรยาข้าแล้ว”

หลิ่วชิงชิงส่ายหน้าเบาๆ

ปีศาจจิ้งจอกเอ่ยเสียงแผ่ว “อย่าขยับสิ ระวังน้ำจะกระเด็นโดนร่าง”

หลิ่วชิงชิงจึงนั่งนิ่งไม่ขยับ เอียงศีรษะปล่อยให้เด็กหนุ่มหล่อเหลาช่วยสางผมสีนิลให้กับนาง การกระทำของเขาอ่อนโยนทำให้จิตใจของนางมั่นคง

ตั้งแต่ต้นจนจบ ปีศาจจิ้งจอกช่วยสระผม หวีผม วาดคิ้ว แต่งหน้าให้กับหลิ่วชิงชิง

สุดท้ายพวกเขานั่งพิงอิงไหล่กันและกัน หลิ่วชิงชิงถามเบาๆ ว่า “ได้ยินหยาเอ๋อร์บอกว่า ที่บ้านมีคนมาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว”

ปีศาจที่เรียกตัวเองต่อคนภายนอกว่านายท่านชิงยิ้มกล่าว “มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่านักพรตหญิงมีดอาคมผู้นั้น แต่ไม่เป็นไร ต่อให้เทพเซียนก่อกำเนิดมาที่นี่ ข้าก็ยังไปไหนมาไหนได้ตามสบาย ไม่มีทางมาพบหน้าภรรยาน้อยลงเด็ดขาด”

บนใบหน้าของหลิ่วชิงชิงอาบย้อมด้วยสีแดงระเรื่อ หันหน้าไปพูดกับจ้าวหยาว่า “หยาเอ๋อร์ เจ้าลงจากหอไปดูต้นทางให้ข้าก่อน ห้ามไม่ให้คนนอกขึ้นมา”

จ้าวหยาพยักหน้ารับ ปิดตำรา ปิดประตูเล็กของกรงหลวนแล้วเดินลงหอซิ่วโหลวไป

หลิ่วชิงชิงเงี่ยหูฟัง เมื่อแน่ใจว่าจ้าวหยาจากไปไกลแล้วถึงได้ถามเบาๆ ว่า “ท่านพี่ พวกเราจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันไปเนิ่นนานจริงๆ หรือ?”

ปีศาจจิ้งจอกยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาลูบหว่างคิ้วของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน ยิ้มกล่าว “แน่นอน ตราบฟ้าดินสลาย ไม่ใช่แค่ร้อยปีเท่านั้น”

สีหน้าหลิ่วชิงชิงหม่นหมอง “แต่ท่านพ่อข้าจะทำอย่างไร สวนสิงโตจะทำอย่างไร”

ปีศาจจิ้งจอกพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้าบอกแต่แรกแล้ว ขอแค่พ่อเจ้ายอมรับการแต่งงานของพวกเราที่เป็นดั่งคู่สร้างคู่สมนี้ วันหน้าเขาก็คือพ่อตาของข้า แล้วข้าจะปฏิบัติแย่ๆ ต่อสวนสิงโตได้หรือ?”

หลิ่วชิงชิงแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนุ่มนวล หลับตาลง ขนตาสั่นระริกเบาๆ “ขอแค่ท่านพี่อย่าทรยศข้า”

ปีศาจจิ้งจอกก้มหน้าจ้องนิ่งไปยังใบหน้าที่ความซีดเซียวลดน้อยลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ปีศาจจิ้งจอกลุ่มหลงในรัก คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้กันดี เหตุใดสุสานไร้ญาติในโลกถึงมีจิ้งจอกและกระต่ายเข้าออกเป็นจำนวนมาก? ก็ไม่ใช่เพราะจิ้งจอกเฝ้าวิญญาณ กระต่ายเฝ้าสุสานหรอกหรือ?”

  ……

เมื่อเฉินผิงอันลืมตาขึ้นช้าๆ ก็พบว่าตัวเองใช้ฝ่ามือยันพื้น ส่วนสีท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว

เขาตบพื้นเบาๆ หนึ่งที พลิกตัวกลับ พลิ้วกายยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป พบว่าจูเหลี่ยนนอนหลับอยู่ข้างโต๊ะในลานบ้านด้วยความเมามาย เหนือศีรษะคือแสงจันทร์และดวงดาวบางตา

จูเหลี่ยนยิ้มลุกขึ้นยืน พูดอธิบายว่า “นายน้อยอยู่ในสภาวะดีเยี่ยมที่คล้ายคลึงกับคำว่า ‘หลงลืมตน’ ที่บันทึกไว้ในตำราลัทธิเต๋า บ่าวเฒ่าไม่กล้ารบกวน และไม่กล้ารบกวนตลอดสองวันที่ผ่านมา ด้วยเรื่องนี้เผยเฉียนยังประมือกับข้าไปสามครั้ง ถึงจะถูกบ่าวเฒ่าบังคับให้อยู่แต่ในห้องได้ คืนนี้นางเหยียบบนม้านั่งมองนายน้อยผ่านหน้าต่างอยู่นาน รอแค่ให้แสงไฟสว่างขึ้นในห้องของนายน้อย เพียงแต่ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้เห็น และนี่เผยเฉียนก็เพิ่งจะไปนอนได้ไม่นานเท่าไหร่”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “ผ่านไปสองวันแล้วหรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เฉินผิงอันนั่งลงกับจูเหลี่ยน พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “มิน่าเล่าถึงพูดกันว่าคนบนภูเขาฝึกตน เวลาหกสิบปีเหมือนผ่านไปเพียงแค่ชั่วดีดนิ้วมือ”

จูเหลี่ยนกล่าว “เป็นเช่นนี้จริง ยังคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราที่คล่องแคล่วว่องไว ฝึกหมัด กินแล้วก็นอน นอนตื่นมาก็ลืมตาฆ่าคน”

เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยินประโยคว่าลืมตาฆ่าคนอะไรนั่น เอ่ยถามว่า “ช่วงนี้สวนสิงโตมีความเคลื่อนไหวไหม?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้ม “มีเพียงสายลมโชยแผ่วเมฆเคลื่อนคล้อย บุปผางามพระจันทร์กลม เพียงแต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพลาดงานโต้วาทีพุทธเต๋าในเมืองหลวงที่อยู่ใกล้ระยะประชิดไป บ่าวเฒ่ารู้สึกเสียดายแทนนายน้อย”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าคาดหวังอยากไปร่วมงานครึกครื้นที่เมืองหลวง…ก็ไปจากสวนสิงโตไม่ได้ จะขาดเจ้าจูเหลี่ยนช่วยคุมท้ายขบวนให้ไม่ได้เด็ดขาด”

จูเหลี่ยนถือโอกาสได้คืบเอาศอก แกว่งกาเหล้าที่มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาเหลืออยู่ไม่มาก ยิ้มจนตายิบหยี “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยก็ให้รางวัลอีกสักกาสิ? ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาแล้วมาดื่มเหล้าของสวนสิงโตก็ไม่ต่างจากดื่มน้ำเลย”

เฉินผิงอันปฏิเสธ “เจ้าอย่าได้หวังมายุ่งกับเหล้าหมักกุ้ยฮวาของข้าเลย เหลือแค่สองกาแล้ว แม้แต่ข้ายังตัดใจดื่มไม่ลง”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ฤกษ์งามบรรยากาศดี สุรารสเลิศและโฉมสะคราญ นับแต่โบราณกาลมาก็ยากที่จะมีได้ครบถ้วน”

เฉินผิงอันพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “ตระกูลที่สั่งสมความดีมาหลายรุ่นหลายสมัยย่อมต้องมีร่มเงาบรรพบุรุษให้การปกป้อง คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำลวง หากข้าเดาไม่ผิด สวนสิงโตแห่งนี้มีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม อีกทั้งธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วก็เที่ยงตรง สมควรจะมีคนจิ๋วควันธูปถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว และควรจะต้องมีเทพแห่งผืนดินให้การปกป้องถึงจะถูก น่าเสียดายที่ข้าไม่มีตบะและวิชาอภินิหารเหมือนชุยตงซาน ไม่อาจสั่งให้เทพแห่งผืนดินมุดลอดออกจากใต้ดินขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะได้สืบรู้ประวัติความเป็นมาของปีศาจจิ้งจอกตนนั้นมากขึ้น”

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองไปยังห้องหลัก “ให้บ่าวเฒ่าไปถามสือโหรวดีไหม?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “หากนางสามารถทำได้ก็คงไม่จงใจปิดบังไว้หรอกกระมัง?”

จูเหลี่ยนมองเฉินผิงอัน ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่เหลืออยู่อึกสุดท้าย “ขอบ่าวเอ่ยถ้อยคำที่อาจเป็นการล่วงเกินสักประโยค นายน้อยปฏิบัติต่อคนข้างกาย หากเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดก็อาจผ่านการประเมินมาก่อนแล้ว แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจยังคงมองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่…ชัดเจนแจ่มแจ้ง ละเอียดอ่อนลึกซึ้งอย่างลูกศิษย์ของท่านคนนั้น แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะนายน้อยปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างเข้มงวด เป็นการกระทำที่เกิดจากนิสัยของวิญญูชน”

—–