ตอนที่ 441 รอ

วาสนาบันดาลรัก

อานจวิ้นอ๋องพูดว่า “แม่ทัพหลัว ท่านเก่งกาจ น่าเกรงขามดุจสุนัขตัวหนึ่งที่ปกป้องเจ้านายด้วยความซื่อสัตย์ บิดาท่านทราบหรือไม่”

 

 

อานจวิ้นอ๋องพูดประโยคนี้จบก็ตายไปอย่างสง่างาม หลัวเทียนเฉิงที่มีสีหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่เข้าใจอันใดที่เขาพูดแต่ในใจกลับบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว แต่เขามิอาจแสดงอันใดออกมาได้ด้วยกลัวว่าเจาเฟิงตี้จะเกิดความสงสัย

 

 

เจินเมี่ยวผลักเขาคราหนึ่ง “ซื่อจื่อ ท่านไปอาบน้ำก่อนเถิด ทั้งตัวมีแต่กลิ่นคาวเลือด”

 

 

“อืม” หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า แล้วหมุนกายจากไปแต่ก็ชะงักหยุดอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่วางใจว่า “เสียงเกอกับอี้เกอเล่า”

 

 

“หลับอยู่ที่ห้องด้านข้างนี้เอง”

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของเจินเมี่ยว เขาจึงผ่อนคลายลงแล้วเดินไปที่ห้องอาบน้ำ

 

 

อาจเพราะกลิ่นคาวเลือดบนตัวนั้นแรงเกินไป หลัวเทียนเฉิงจึงอาบน้ำอยู่นานก็ไม่กลับมาเสียที ไม่รู้เหตุใดเจินเมี่ยวถึงรู้สึกวุ่นวายใจจนนั่งไม่ติดที่ นางให้ไป่หลิงไปแจ้งข่าวแก่ฉงสี่เซี่ยนจู่ที่ห้องรับรองก่อนนางจะได้มิวิตกกังวลจนเกินไป นางเดินกลับไปกลับมาอยู่สองครา ในที่สุดก็มีเรื่องให้ทำแล้ว

 

 

“ชิงเกอ ในห้องครัวเล็กยังมีเนื้ออะไรเหลืออยู่บ้าง”

 

 

“ยังมีไก่อีกครึ่งตัว เนื้อกวางและเนื้อหมูสองสามชิ้นเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวก้าวเท้าไปที่ห้องครัวเล็ก นางเลือกเนื้อหมูติดมันและเนื้อกวาง นำมาสับให้เละ ปรุงรส ปั้นเป็นลูกชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือด ใส่น้ำแกงไก่ หอมและอื่น ตามด้วยเห็ดหูหนู ไม่นานกลิ่นหอมก็โชยออกมา

 

 

ชิงเกอรีบหยิบถ้วยลายครามใบใหญ่มาใส่น้ำแกง แล้วเดินตามหลังเจินเมี่ยวกลับไปที่ห้อง

 

 

“กลิ่นหอมอันใดกัน” หลัวเทียนเฉิงอาบน้ำเสร็จกลับมาไม่เห็นเจินเมี่ยวจึงนอนใจลอยอยู่บนเตียง เมื่อได้กลิ่นหอมจึงลุกขึ้นใส่รองเท้าแล้วเดินออกมาจากห้องด้านใน

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ข้าทำน้ำแกงลูกชิ้นเนื้อกวาง วันนี้ท่านเหนื่อยมามากแล้ว รีบมากินเร็วเข้าเถิด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย นางใช้คำว่าเหนื่อยกับเขามันคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก อย่างไรเสียการฆ่าคนจนเหนื่อยก็มิใช่เรื่องที่น่าเทิดทูนอันใด ภรรยาเขาออกจะใจกว้างเกินไปสักหน่อยหรือไม่

 

 

แต่ก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอยู่ดี เขาจึงเดินเข้าไปนั่งลง พร้อมทั้งรับตะเกียบกับถ้วยข้าวจากเจินเมี่ยวมากิน

 

 

เจินเมี่ยวนั่งลงข้างเขา คนทั้งสองกินข้าวถ้วยใหญ่หมดไปอย่างรวดเร็ว ปลายจมูกต่างมีเหงื่อผุดขึ้นมา กินเสร็จก็กลับไปพักผ่อนในห้องพร้อมกัน

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีเรื่องให้คิดหนัก เดิมคิดว่าจะนอนไม่หลับตลอดคืน คิดไม่ถึงว่าเมื่อแกงร้อนๆ ตกถึงท้องกลับหลับสบายยิ่ง เมื่อลืมตาขึ้นมา เจินเมี่ยวกลับลุกออกจากเตียงไปแล้ว

 

 

เขาผุดลุกขึ้นมาทันที

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องตกใจ ท่านมิได้ตื่นสาย ข้าแค่ตื่นเร็วเท่านั้น”

 

 

เมื่อหลัวเทียนเฉิงมองไปก็เห็นชุดขุนนาง รองเท้าและอื่นๆ ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจึงโล่งใจได้ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ออกจากจวนไป

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ตื่นเช้าเช่นเดียวกัน นางมิทันกินข้าวด้วยซ้ำก็ขอตัวกลับก่อน เจินเมี่ยวจึงเอ่ยรั้งไว้ว่า “มิสู้รออีกสักประเดี๋ยวค่อยกลับ น่ากลัวว่าข้างนอกจะยังวุ่นวายอยู่”

 

 

“เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้ารู้สึกเป็นห่วงพระมารดายิ่ง นางเองก็คงห่วงข้าเช่นกัน รีบกลับก่อนดีกว่าจะได้สบายใจ”

 

 

เจินเมี่ยวไร้หนทางรั้งแล้วจึงได้แต่สั่งให้เหยาส่งไปส่งนาง

 

 

หลังจากเหตุการณ์นั้นผู้คนก็ยังหวาดหวั่นกันไปอีกหลายวัน แม้แต่แผงลอยตามถนนยังลดน้อยลงตามไปด้วย คนทั่วไปก็ออกมาข้างนอกน้อยลง มีเพียงทหารกลุ่มหนึ่งของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินกับหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้าเท่านั้นที่ลาดตระเวนไปทั่วเมืองและจับกุมคนไปโดยไม่ไต่สวนอันใดทั้งสิ้น

 

 

หลังจากนั้นเจินเมี่ยวถึงทราบว่าผู้คนส่วนมากที่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของพระชายาอานจวิ้นอ๋องนั้นปลอดภัยดี มีส่วนน้อยที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่องค์หญิงฟางโหรวกลับถูกจับเป็นตัวประกันเพราะฐานะที่สูงส่งของนาง ตอนที่ถูกช่วยมานางได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หัวเข่า ข่าวลือบอกว่าถึงกับขาเป๋เลยทีเดียว

 

 

“ซื่อจื่อ องค์หญิงฟางโหรวขาพิการจริงๆ หรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าโดยไม่เห็นว่าสำคัญอันใด “คงใช้กระมัง ข้ามิได้ใส่ใจ เรื่องนี่มิใช่สาระสำคัญ ยามนี้ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างยิ่ง ห้องขังแทบไม่พอขังคนแล้ว อีกสามวันให้หลังก็จะนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาประหารเสียบประจานแล้ว”

 

 

เขาพูดจบก็คอยสังเกตสีหน้าของเจินเมี่ยว

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ก่อกบฏต้องประหารเก้าชั่วโคตร อานจวิ้นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาคงมีไม่น้อย คงต้องมีคนตายไปมากทีเดียว”

 

 

นางพูดจบก็ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วหยิบผ้าปักที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาทำต่อ

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งไป

 

 

เจี๋ยวเจี่ยวไม่ได้ใส่ใจจวินเฮ่าที่กำลังจะถูกประหารผู้นั้นเลยสักนิด ควรต้องทราบว่าคนมากมายในเมืองหลวงต่างมาขอร้องเขา ให้เขาช่วยขอร้องฝ่าบาทเพื่อให้คนที่ทุกคนเรียกว่าคุณชายจวินพ้นผิด

 

 

ฮึ คนผู้นั้นมีอันใดดีหรือจึงมีคนมากมายมาขอร้องแทน

 

 

เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยถึงเรื่องของจวินเฮ่า ทำให้หลัวเทียนเฉิงดีใจอย่างที่สุดแต่ก็เกิดความลังเลด้วยเช่นกัน

 

 

เจี๋ยวเจี่ยวคงลืมไปกระมัง หากภายหน้านางทราบเข้า จะรู้สึกอันใดหรือไม่ ไม่ได้ เขามิอาจปล่อยให้คนผู้นั้นกลายเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเจี๋ยวเจี่ยวเด็ดขาด

 

 

หากจวินเฮ่าตายไปเช่นนี้โดยที่เขามิได้เอ่ยให้เจินเมี่ยวรู้ ย่อมต้องรู้สึกติดค้างอยู่ในใจเช่นนี้ไปตลอด

 

 

เขาควรมีความเชื่อมั่น เชื่อว่าเจี๋ยวเจี่ยวมิได้ไยดีจวินเฮ่าสักนิด อีกนัยหนึ่งคือเขาอยากให้เจี๋ยวเจี่ยวมอบความเชื่อมั่นนี้ให้กับเขา ให้เขาเห็นด้วยตาตนเอง

 

 

หลัวซื่อจื่อที่หวาดกลัวและสับสนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายจึงกระแอมไอออกมาเสียงหนึ่งแล้วร้องขึ้นว่า “เจี๋ยวเจี่ยว”

 

 

เจินเมี่ยวผลักเขาคราหนึ่ง “ขยับไปอีกนิด ท่านบังแสงไฟอยู่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงขยับไปด้านข้างอย่างเชื่อฟัง ครั้นเห็นเจินเมี่ยวปักผ้าอยู่อย่างตั้งใจก็อดเอ่ยขึ้นมามิได้ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว หนึ่งในคนที่จะถูกประหารในอีกสามข้างหน้างมีจวินเฮ่าด้วย เจ้าอยากไปดูหรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับมือสั่น เข็มเย็บผ้าจึงจิ้มถูกมือตน นางเจ็บจนร้องออกมา สายตาก็เบิกจ้องเลือดที่ผุดออกมาจากนิ้วมือ แล้วหันไปถลึงตาใส่หลัวเทียนเฉิงด้วยความโมโห

 

 

หลัวเทียนเฉิงลนลานจับมือเจินเมี่ยวขึ้นมา เขาก้มลงดูเลือดบนนิ้วมือนาง แล้วเอ่ยด้วยความเจ็บปวดว่า “เจี๋ยวเจี๋ยว เหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนใจถึงเพียงนี้”

 

 

เจินเมี่ยวพลันนึกถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสามในชาติก่อนขึ้นทันที เมื่อได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยเช่นนี้จึงมองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึงทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ข้าร้อนรนใจที่ไหนกัน ผู้ใดได้ฟังท่านพูดเช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ย่อมตกใจทั้งสิ้น”

 

 

พูดจบก็ถอนหายใจแผ่วเบาคราหนึ่ง สีหน้ามีความเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน “คุณชายจวินเป็นสหายสนิทของอานจวิ้นอ๋อง ข้ารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เขาคงหนีไม่พ้นความผิดแน่ ในเมื่อมิได้สนิทสนมทั้งช่วยอันใดมิได้ ข้ายังต้องไปดูเขาตายอีกหรือ ข้าว่างเพียงนั้นที่ไหนกัน”

 

 

ว่าไปแล้วบุคคลที่เหมือนเทพเซียนเช่นนั้นต้องมาตายไป ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเกิดความสงสารทั้งสิ้น แต่สำหรับนางมันเป็นเพียงแค่สงสารเท่านั้น เดิมนางก็มิใช่คนที่เขาเฝ้ารอเสียอยู่แล้ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่านางมิคล้ายคนที่เอ่ยไม่ตรงกับใจจึงวางใจได้จริงๆ เสียที

 

 

สามวันผ่านไป หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา แต่คนกลับมารายล้อมอยู่เต็มลาน อุปนิสัยของคนต้าโจวคือรักสนุก ชอบความคึกคัก โดยเฉพาะความคึกคักยามมีนักโทษประหาร

 

 

นักโทษถูกนำตัวออกมานั่งคุกเข่าเรียงกันเป็นแถว ในที่นี้มีทั้งเชื้อพระวงศ์ที่สง่างามไร้ที่ติและขุนนางมากความสามารถที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ แต่เวลานี้กลับสวมชุดนักโทษประหาร แต่ละคนใบหน้ามอมแมมจนมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด

 

 

ทว่ามีเพียงคนเดียวในที่นี้ที่งามสง่าจนแม้แต่ชุดนักโทษยังมิอาจบดบังความหล่อเหลาของเขาได้

 

 

เจ้าหน้าที่ได้นำสุราและอาหารมื้อสุดท้ายมาให้พวกเขา นักโทษบางคนกินอย่างตะกละตะกลาม บางคนกลับตกใจร้องเสียงหลงแล้วคว่ำชามข้าวทิ้งไป คล้ายว่าหากตนมิกินมันแล้วก็จะมิถูกตัดคอกระนั้น

 

 

จวินเฮ่ายิ้มแล้วยกสุราขึ้นดื่มก่อนเอ่ยว่า “ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ข้ากำลังรอคนผู้หนึ่งอยู่พอดี”