ตอนที่ 169-1 ศึกใหญ่มาแล้ว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เจ้าไม่ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาแต่วิ่งมาเรือนหลังทำไม” เสิ่นเสวี่ยชิงหาเรื่องก่อน นอกจากจะแตะเสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นั้นไม่ได้แล้ว ยังแตะเด็กโง่อายุสิบขวบคนนี้ไม่ได้อีกหรือ 

 

 

สีหน้าเสิ่นเจวี๋ยเหยียดหยามทั้งใบหน้า ก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ ทำความเคารพเหล่าไท่จวินที่นั่งอยู่ข้างบนก่อน “ท่านย่า หลานคารวะท่านย่า ถือโอกาสแจ้งท่านย่าให้ทราบว่า วันนี้จู่ๆ อาจารย์เกิ่งก็รู้สึกไม่สบาย ในคาบเรียนจึงเลิกเรียนก่อนเวลา ไม่ใช่ว่าหลานหนีเรียน” 

 

 

หลังจากนั้นจึงหันหน้ามาหาเสิ่นเสวี่ย “ท่านพี่ห้าช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ไม่ทราบว่าสาวใช้สองคนนี้ทำอะไรผิดจึงต้องรบกวนให้ท่านพี่ห้าสั่งสอนหรือ” 

 

 

ในใจเขารู้สึกโชคดีที่วันนี้กลับมาก่อนเวลา มิเช่นนั้นสาวใช้สองคนนี้ในเรือนท่านพี่คงแย่แน่ ในใจเขาโมโหอย่างถึงที่สุด ท่านพี่เพิ่งจะไปได้ไม่นานพี่ห้าก็รบเร้าขอคนในเรือนของท่านพี่กับท่านย่าเสียแล้ว ท่านพี่สู้รบอยู่ที่ซีเจียง แต่พวกนางกลับใช้ลูกไม้อยู่ที่เรือนหลัง ช่างชวนให้คนผิดหวังเกินไปแล้ว 

 

 

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ สาวใช้ผู้นี้เถียงนาย เพื่อกฎระเบียบในจวน ข้าเองก็ทำได้เพียงลงมือสั่งสอนสักหน่อย” เสิ่นเสวี่ยเชิดหน้ากล่าว 

 

 

“คุณชาย บ่าวไม่ได้เถียงนายเจ้าค่ะ คุณหนูห้าต้องการตัวฉาฮวา บ่าวบอกว่าต้องให้คุณหนูอนุญาตก่อนจึงจะได้ บ่าวไม่ได้เถียงนายนะเจ้าค่ะ” เหอฮวาตะโกนขึ้นอย่างอดไม่ได้ 

 

 

“บังอาจ! นายพูดอยู่ไหนเลยจะมีที่ให้บ่าวเช่นเจ้าพูดแทรก” เสิ่นเสวี่ยโมโหจะตายแล้ว เมื่อไหร่กันที่แม้แต่บ่าวยังกล้าพูดจาเถียงนาง “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ดูสิ สาวใช้ที่ไม่รู้กฎเช่นนี้ไม่ควรตีหรือไร” นางถลึงตาโต ท่าทางโมโหเดือดพล่าน 

 

 

ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับนิ่งผิดปกติ “กระทั่งพูดบ่าวก็ยังพูดไม่ได้งั้นหรือ หรือว่าจะต้องนั่งมองนายกลับดำเป็นขาวเฉยๆ ท่านพี่ห้าในเมื่อท่านมีเหตุผลแล้วไยจะต้องกลัวคำพูดของบ่าวคนหนึ่งด้วยเล่า” ในแววตาของเสิ่นเจวี๋ยเต็มไปด้วยความเสียดสี พี่ห้าผู้นี้ของเขาเคยชินกับการเถียงข้างๆ คูๆ ทั้งยังหยิ่งผยองทะนงตน เมื่อก่อนไม่เคยหาเรื่องเขาเขาจึงทำเป็นมองไม่เห็น แต่ตอนนี้คาดไม่ถึงว่านางกล้าคิดที่จะตีคนของท่านพี่ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจแล้วกัน 

 

 

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์เจ้า” เสิ่นเสวี่ยโมโหจนอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว “เพื่อบ่าวคนหนึ่งเจ้าถึงกับพูดว่าข้ากลับดำเป็นขาวงั้นหรือ เจ้า เจ้า” เบ้าตาของนางแดงขึ้นฉับพลัน ราวกับว่าเสียใจอย่างยิ่ง 

 

 

เหล่าไท่จวินเองก็ตำหนิเล็กน้อย กล่าวว่าเสิ่นเจวี๋ย “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์พูดอะไร มีน้องชายที่ไหนพูดจากับพี่สาวตนเช่นนี้ รีบขอโทษพี่เจ้าเสีย” 

 

 

เสิ่นเจวี๋ยกลับเชื่อฟังอย่างยิ่ง เอ่ยปากกล่าว “ท่านพี่อย่าได้ตำหนิ น้องบอกว่านายบางคนกลับดำเป็นขาว ไม่ได้หมายถึงท่าน ท่านอย่าได้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาดเชียว” 

 

 

ไม่ขอโทษเสียยังดีกว่า เสิ่นเสวี่ยโมโหจนใบหน้าที่งดงามแดงก่ำ ในดวงตาสาดยิงสายตาที่เดือดดาลออกมา ประหนึ่งสามารถกลืนกินเสิ่นเจวี๋ยได้ 

 

 

เสิ่นเจวี๋ยทำเป็นมองไม่เห็น ไต่ถามด้วยความสงสัยไม่หยุด “ท่านพี่ห้าอยากได้ฉาฮวาหรือ ทำไมเล่า ในจวนท่านพี่ห้าขาดคนเรียกใช้หรือ เหตุใดถึงไม่ไปบอกท่านป้าสะใภ้ใหญ่เล่า หากท่านพี่ห้าเกรงใจ น้องทำแทนให้ก็ได้” 

 

 

เสิ่นเสวี่ยอัดอั้น นางพูดได้หรือว่าเพียงแค่อยากได้ฉาฮวาคนเดียวเท่านั้น นางพูดได้หรือว่านางจะฉวยโอกาสแย่งคนในเรือนเสิ่นเวยมาไว้ที่ตัวเองตอนที่หญิงชั่วผู้นั้นไม่อยู่ 

 

 

เหล่าไท่จวินเอ่ยปากแล้ว “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เพียงแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง ในเมื่อพี่ห้าของเจ้าชอบ เช่นนั้นก็ให้นางไปเถอะ เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นพี่ ให้เด็กรับใช้น้องสาวคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องสมควรหรือ” เหล่าไท่จวินหงุดหงิดในใจ เพียงแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง ควรค่าให้เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ต้องวิ่งมาถึงเรือนหลังเพื่อโต้เถียงแทนพี่สาวตนเชียวหรือ 

 

 

ทว่าเสิ่นเจวี๋ยที่ใจร้อนฉุนเฉียวเพียงเรื่องเล็กน้อยก็โมโหในภาพความทรงจำกลับสงบนิ่งอย่างยิ่ง ดวงตาที่หลุบลงมีความเหยียดหยามวาบผ่าน “ท่านย่าพูดถูก ท่านพี่ห้าอยากได้สาวใช้ของท่านพี่ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านพี่ข้าใจกว้าง นางเป็นบุตรสาวคนโตในเรือนสามของพวกเรา ให้สาวใช้น้องสาวคนหนึ่งกลับไม่เป็นไร แต่สิ่งสำคัญคือตอนนี้พี่สาวข้าไม่อยู่ในจวน เอาไปโดยไม่ถามนั่นก็คือการขโมย นี่ไม่ใช่ว่าน้องกลัวท่านพี่ห้าจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีหรอกหรือไร” 

 

 

สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นเจวี๋ยจริงจัง วางท่าทางว่าข้าล้วนแต่หวังดีต่อท่าน 

 

 

เหล่าไท่จวินพยักหน้าช้าๆ รู้สึกว่าหลานชายพูดมีเหตุผลอย่างยิ่งจึงมองเสิ่นเสวี่ยแล้วกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ารออีกหน่อยได้หรือไม่ ให้พี่เจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” 

 

 

รอนางกลับมาแล้วตนจะได้เมื่อไร ใครจะรู้บ้างว่าหญิงชั่วผู้นั้นจะกลับมาตอนไหน ขอพร ขอพร มีแต่แผนชั่วน่ะสิไม่ว่า ราวกับว่าหลานสาวทั้งจวนมีแต่นางที่ทำได้ 

 

 

“แต่ว่าท่านย่า หลานชอบฉาฮวาเด็กคนนี้ อยากได้เด็กคนนี้ เดือนหน้าหลานก็ต้องออกเรือนแล้ว ทำให้ความปรารถนาเล็กๆ นี้ของหลานสมหวังไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสิ่นเสวี่ยเงยหน้าท่าทางเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด น้ำตาใสๆ สองสายไหลออกมาจากดวงตาของนาง หากเสิ่นเวยอยู่จะต้องปรบมือชื่นชมฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนางแน่นอน 

 

 

เหล่าไท่จวินเห็นท่าทางเสียใจอย่างยิ่งของหลานสาว ในใจก็ทนไม่ได้เล็กน้อย อดมองเสิ่นเจวี๋ยไม่ได้ “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์เจ้าดูสิ ให้สาวใช้คนนี้แก่พี่ห้าของเจ้าไปเถอะ เจ้าตัดสินใจก็เหมือนเวยเจี่ยเอ๋อร์ตัดสินใจมิใช่หรือ” 

 

 

แต่เสิ่นเจวี๋ยกลับยิ้มเยาะ “ท่านย่าพูดผิดแล้ว สุภาษิตว่าไว้ ต่อให้เป็นพี่น้องก็ต้องคำนวณบัญชีให้ละเอียด หลานยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี จะเป็นคนตัดสินใจแทนท่านพี่ได้อย่างไร ท่านพี่ห้ารอก่อนดีกว่า” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “รบกวนเวลาท่านย่ามากแล้ว หลานควรกลับไปทำการบ้านได้แล้ว สาวใช้สองคนนี้หลานจะพากลับไปด้วยเลย เหอฮวา ฉาฮวายังไม่ตามข้าไปอีก จะอยู่ที่นี่ให้ขวางหูขวางตาหรือไร” 

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ เสิ่นเจวี๋ยแสดงท่าทางสุภาพเรียบร้อยโตเป็นผู้ใหญ่ ไหนเลยจะยังเป็นอันธพาลน้อยเหมือนก่อนหน้านี้อีก เหล่าไท่จวินมองแผ่นหลังที่ยืนตรงอย่างยิ่งนั้น ในดวงตาก็มีความคลุมเครือแวบผ่าน 

 

 

“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็เห็นแล้ว ไม่ใช่ว่าย่าไม่ช่วยเจ้า แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่มีเหตุผลจริงๆ เพียงแค่เด็กรับใช้หนึ่งคน ช่างมันเถอะ” เหล่าไท่จวินมองเสิ่นเสวี่ยที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่แล้วกล่าว 

 

 

เสิ่นเสวี่ยกัดริมฝีปาก ในดวงตามีความไม่ยินยอมแวบผ่าน สะอื้นกล่าว “ท่านย่า หลานทราบ หลานเพียงแค่อยากได้สาวใช้สวยๆ ใครจะรู้ว่าเจวี๋ยเกอเอ๋อร์จะไม่เห็นพี่สาวเช่นข้าอยู่ในสายตาเช่นนี้” นางยังพยายามจะใส่ร้ายต่อ “ไม่ไว้หน้าหลานไม่สำคัญ แต่เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ไม่ควรไม่ไว้หน้าแม้แต่ท่านย่าเช่นนี้” 

 

 

เหล่าไท่จวินคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ในใจไม่สบายใจอย่างมาก บนใบหน้ามีสีหน้าขุ่นเคือง “ข้าแก่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ เดือนหน้าเจ้าก็จะออกเรือนแล้ว กลับไปปักสินสมรสให้เรียบร้อยเถอะ” 

 

 

เสิ่นเสวี่ยสับเท้ากลับไปถึงห้องของตน ยกมือกวาดของทั้งหมดบนโต๊ะลงพื้น แต่ก็ยังคงระบายความโกรธไม่ได้ ยกขาออกแรงกระแทกพื้น “ข้าจะเหยียบเจ้าให้ตาย เหยียบเจ้าให้ตาย เหยียบเจ้าให้ตาย!” สาวใช้ใหญ่ตกใจจนหดตัวอยู่ที่มุมห้อง ไม่มีใครกล้าเข้ามาโน้มน้าวแม้แต่คนเดียว 

 

 

เสิ่นเสวี่ยระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยอมไม่ได้ เจ้าไม่ให้งั้นหรือ แต่ข้าจะต้องเอาตัวฉาฮวามาให้ได้ 

 

 

“อี่ชุ่ย ไปดูที่ห้องหนังสือด้านนอกว่าพ่อข้าอยู่หรือไม่” เสิ่นเสวี่ยสั่งด้วยใบหน้านิ่งขรึม 

 

 

เสิ่นเจวี๋ยส่งเหอฮวากับฉาฮวาถึงเรืองเฟิงหวา บ่าวทั้งเรือนเห็นคนทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยต่างก็ถอนหายใจหนึ่งครา เสิ่นเจวี๋ยเห็นเด็กน้อยสองคนนี้ยังคงตกใจอยู่ก็ปลอบขวัญ “หลังจากนี้เจ้าสองคนก็ออกจากเรือนให้น้อย มีเรื่องอะไรก็ให้เถาจือไปแทน อย่ากลัว ท่านพี่ไม่อยู่ข้าเองก็สามารถปกป้องพวกเจ้าได้เหมือนกัน” 

 

 

ตอนนี้เขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีสมองผู้นั้นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ตอนที่ท่านพี่ไปก็มอบเรือนให้เขาดูแล เช่นนั้นใครก็อย่าได้คิดจะแตะสิ่งของใดๆ ก็ตามของพวกเขาสองพี่น้อง ใครกล้ายื่นมือมา เช่นนั้นก็อย่าโกรธที่เขาจะสับมือนั้นทิ้งเสีย 

 

 

ยามโหย่ว[1] ตอนที่พ่อบ้านหลี่ข้างกายนายท่านสามเสิ่นหงเซวียนมาเชิญเสิ่นเจวี๋ย มุมปากเขาก็กระตุกยิ้มเยาะอย่างอดไม่ได้ ถอนหายใจในใจ เมื่อก่อนเป็นเพราะตนไร้เดียงสาเกินไป ท่านพี่ยังคงพูดถูก บิดาผู้นี้ของพวกเขาเป็นคนที่พึ่งไม่ได้ หรือจะพูดว่าสำหรับพวกเขาพี่น้องแล้วพึ่งไม่ได้ 

 

 

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” เสิ่นเจวี๋ยวางหนังสือในมือลงอย่างไม่รีบไม่ร้อน เดินออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

พ่อบ้านหลี่มองคุณชายห้าที่เปลี่ยนไปมากอย่างยิ่งผู้นี้เบื้องลึกในใจก็ยิ่งงุนงง ทำได้เพียงเคารพมากยิ่งขึ้น แต่ในใจกลับคิดว่า นายท่านนะนายท่าน เหตุใดท่านถึงทำเรื่องเลอะเทอะเช่นนี้ เขาได้ยินว่าข้างนอกต่างก็รู้กันว่าคุณหนูห้าไม่มีเหตุผล ท่านยังจะเรียกคุณชายห้าไปถามอีกทำไม 

 

 

ทว่าเสิ่นหงเซวียนกลับไม่คิดเช่นนี้ เขามองลูกชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าราวกับไผ่อ่อนผู้นี้ ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง ไม่ตีก็ไม่เป็นผู้เป็นคน ดูสิ เจวี๋ยเกอเอ๋อร์พัฒนาแล้วมิใช่หรือ ลืมเรื่องที่เขาเกือบตีลูกชายคนนี้ตายไปนานแล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ยามโหย่ว ช่วงเวลาประมาณห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม