บทที่ 346 สะพานทองคำ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 346 สะพานทองคำ

ลั่วหยุนรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากเกี่ยวกับวิธีการสร้าง ‘สะพานทองคำ’ ที่อยู่ในมือเขา

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งที่สาบสูญไปหลายต่อหลายอย่างถึงได้มาปรากฏขึ้นจากหลิงตู้ฉิงทีละชิ้น ๆ

และถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว ไม่ว่าสำนักใด ๆ ต่างก็ต้องการวิธีการสร้าง ‘สะพานทองคำ’

เนื่องจากหากสำนักใดที่มันไว้ในครอบครอง มันก็แทบจะการันตีได้ว่าสำนักนั้นจะไม่มีใครสามารถทำลายได้แน่นอน

ดังนั้นถ้าหากเขาได้วิธีการสร้างของมันมา มันไม่สำคัญว่าเขาจะสร้างมันขึ้นมาใช้เองหรือขายมันออกไป มันจะต้องมีราคาที่สูงเสียดฟ้า การได้รับสิ่งนี้มาเป็นค่าตอบสำหรับส่วนแบ่งการประมูลนั้นย่อมถือว่ายิ่งกว่าเพียงพอเสียอีก

ลั่วหยุนเก็บวิธีการสร้างสะพานทองคำ พลางหันหน้าไปยังตวนจู้และพูดว่า “ต่อไปนี้เจ้าคือเป็นศิษย์ของข้าเมื่อเรื่องนี้จบลงข้าจะสอนวิธีการบ่มเพาะให้ และเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ มันเป็นของเจ้าแน่นอน แต่เจ้าเพิ่งได้ยินหลายสิ่งที่เจ้าไม่ควรฟังและข้าต้องลบความทรงจำบางส่วนที่เจ้าไม่ควรรู้ออกซะก่อน”

หลังจากที่ลั่วหยุนพูดจบ เขาได้ส่งจิตสำนึกระดับราชันเข้าสู่ห้วงความจำของตวนจู้ และลบข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘สะพานทองคำ’ ออกไปทั้งหมด

“เอาล่ะ คำนับข้าให้เป็นอาจารย์ของเจ้าได้แล้ว!” ลั่วหยุนพูดขึ้น

ตวนจู้รีบคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวต่อลั่วหยุนด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “อาจารย์ ศิษย์ยังไม่รู้ชื่อของท่านเลย!”

ลั่วหยุนดึงตวนจู้ขึ้นมา และพูดว่า “ข้ามีนามว่า ลั่วหยุน และข้าเคยอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวจักรพรรดิ แต่ตอนนี้ข้ามีเพียงแค่ดวงจิตที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้นความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้จึงอยู่ในขอบเขตราชันขั้นต้นเท่านั้น”

“ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำ ฉะนั้นช่วงนี้ข้าอาจจะไม่มีเวลาสนใจเจ้ามากนัก แต่ข้าจะถ่ายทอดวิชา พิรุณวายุแปดทิศ ให้กับเจ้าเอาไว้ก่อน มันเป็นวิชาที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด ดังนั้นเจ้าควรตั้งใจฝึกฝนมันให้มาก ๆ หลังจากที่ข้าทำธุระสำคัญเสร็จข้าจะมาชี้แนะให้กับเจ้าอีกที”

แม้ว่าลั่วหยุนจะเอ่ยแบบนี้ แต่ตวนจู้ก็ไม่กล้าที่จะดูแคลนเขา

เพราะแม้ว่าลั่วหยุนจะเหลือเพียงดวงจิต แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังคงอยู่ในขอบเขตราชัน ซึ่งเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตสวรรค์ทั้งเก้าระดับ ส่วนนางเองนั้นเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาเท่านั้น การได้มีอาจารย์เป็นถึงตัวตนระดับนี้มันถือว่าเป็นวาสนาสูงสุดหรือกว่าที่นางจะจินตนาการได้แล้ว

“ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์!” ตวนจู้รีบเอ่ยตอบ แต่เมื่อนางนึกถึงความแปลกประหลาดของหลิงตู้ฉิง นางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “อาจารย์ คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมข้าถึงสัมผัสได้แค่ว่าระดับการบ่มเพาะของเขานั้นอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณเท่านั้น?”

ลั่วหยุนถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเหมือนกัน ภูมิหลังของเขาลึกลับมาก แต่อย่าตัดสินความแข็งแกร่งของเขาด้วยระดับการบ่มเพาะ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วยระดับของการบ่มเพาะของเขา”

ตวนจู้ยังคงพยักหน้าและถามอีกครั้ง “อาจารย์ อันที่จริงแม้แต่ข้าเองยังรู้สึกว่าของที่ข้าให้กับเขาไปเมื่อครู่นี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่ แต่ทำไมมันดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขมากที่ได้มันไป”

ลั่วหยุนขมวดคิ้วและพูดว่า “บางทีเขาอาจจะมีความสุขกับหินจันทราศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นหนึ่งในวัตถุที่ล้ำค่าที่สุดที่ใช้สำหรับสร้างอาวุธระดับจักรพรรดิ”

“เขารู้วิธีสร้างอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ?” ตวนจู้เอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง

“น่าจะอย่างนั้น!” ลั่วหยุนขมวดคิ้ว

“เอาล่ะไปเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเจ้าให้เร็วที่สุด ตอนนี้เจ้าอยู่เพียงขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 10 เท่านั้น หากเจ้าต้องการเข้าสู่เขตแดนวิญาณผู้ล่วงลับ ระดับการบ่มเพาะของเจ้ายังต่ำเกินไปแต่โชคดีที่เจ้ายังมีเวลากว่า 10 ปี ซึ่งน่าจะเพียงพอให้เจ้าเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้ทัน”

หลังจากที่ลั่วหยุนพูดจบ เขาก็โบกมือส่งตวนจู้ไปสู่อีกพื้นที่หนึ่งที่เงียบสงบของมหามิติค่ายกลในหอการค้าเชื่อมสวรรค์

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจกับตัวเอง เขารู้สึกขัดแย้งกันมากและไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงเป็นใคร

แม้แต่วิธีการสร้าง ‘สะพานทองคำ’ คนผู้นี้ก็ยังมีไว้ในครอบครองอย่างนั้นเหรอ? นอกจากนี้ของสิ่งนั้นมันคืออะไรกัน? ทำไมมันถึงสามารถสร้างร่างแยกที่ดูเหมือนกับร่างต้นแบบได้มากขนาดนั้น?

เขาอยากรู้จริง ๆ แต่หลิงตู้ฉิงไม่ยอมอธิบายอะไรเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่น้อย เขาจึงจำใจเก็บความสงสัยทั้งหมดนี้ไว้ในใจ

ในขณะนี้ หลิงตู้ฉิงได้กลับไปที่ห้องพิเศษหมายเลข 1 เรียบร้อยพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

เขาพอใจมากที่ได้รับหินจันทราศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับมัน นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน เสียงของการประมูลแข่งขันกันก็ยังไม่หยุดลง

โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้ดูแลการประมูลหอการค้าเชื่อมสวรรค์ได้ประกาศขึ้นว่าสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ 1 สิทธิ์ได้ถูกขายออกไปเป็นที่เรียบร้อย

ซึ่งการประกาศเช่นนี้มันส่งผลให้ผู้คนต่างรู้สึกประหลาดใจว่าวัตถุประหลาดทั้งสองที่คนผู้นั้นเสนอให้มันมีค่าขนาดนั้นจริงหรือ? คราวนี้หลายคนจึงเริ่มตื่นตัวและการแข่งขันก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นไปอีกทันที

“สามี ท่านได้อะไรมา” มี่ไลถามขณะที่นางมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลิงตู้ฉิง

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไว้กลับไปข้าจะบอกพวกเจ้าอีกที ว่าแต่ตอนนี้ราคาเป็นอย่างไรบ้าง?”

เย่ชิงเฉิงส่ายหัวและพูดว่า “คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพวกฉวยโอกาสทั้งนั้น จนถึงตอนนี้ราคาสูงสุดที่ถูกเสนอออกมามันเป็นแค่วัสดุระดับจักรพรรดิ 2 ชิ้น ซึ่งมูลค่าของพวกมันยังไม่เท่ากับเศษดาวหางทองคำ หรือแม้แต่หยกกำหนดจิตเลยด้วยซ้ำ”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าพลางมองไปที่รายชื่อของวัสดุที่ถูกเสนอขึ้น แม้ว่าของที่ถูกเสนอขึ้นมาบางอย่างจะหายาก แต่เขาก็ตัดสินใจจะยังไม่แลกเปลี่ยนกับพวกมัน

ผ่านไปสักพัก เสียงจากห้องหมายเลข 3 ก็ได้ดังขึ้น “พวกเราคือ ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ เราต้องการทราบว่าสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก่อนหน้านี้ได้ถูกประมูลไปแล้วจริง ๆ งั้นหรือ? พวกเราต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับสิทธิ์ที่ถูกแลกเปลี่ยนออกไป!”

“สันเขาทรราชของเราก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน!” เสียงจากห้องหมายเลข 2 ดังขึ้น

“ยอดเขาหยกจักรพรรดิของเราก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน!”

จากนั้นเสียงจากบรรดาห้องพิเศษต่าง ๆ ก็เริ่มดังขึ้นสอบถามไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ดังนั้นพวกเขาจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผู้ดูแลการประมูลพยักหน้า และพูดว่า “เหล่าแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย อย่าได้กังวลไป พวกท่านโปรดจงมั่นใจในหอการค้าเชื่อมสวรรค์ของเรา สิ่งของสองรายการที่แขกท่านแรกได้เสนอราคามาให้กับผู้ขายนั้นหนึ่งในนั้นคือ หินจันทราศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่าแค่มูลค่าของมันเพียงอย่างเดียวก็คงเพียงพอที่จะอธิบายได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าคนที่อยู่ในห้องพิเศษทั้งหลายก็เงียบลง เนื่องจากเมื่อพวกเขาได้ยินชื่อ หินจันทราศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็รู้ว่าราคานี้สมเหตุสมผล

“เราต้องการขอพบกับผู้ขายเป็นการส่วนตัวเพื่อหารือเกี่ยวกับราคาที่เหมาะสม หรืออย่างน้อยที่สุดเราจะใช้ ผลึกแสงศักดิ์สิทธิ์ ในการสู้ราคาประมูล!”

ห้องหมายเลข 2 พูดขึ้นมาเช่นกันว่า “ทางเราเองก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน”

จากนั้นผู้คนในห้องพิเศษห้องอื่น ๆ ต่างก็พากันร้องขอพบกับผู้ขายขึ้นเช่นกัน

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ผู้ดูแลการประมูลจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นแขกผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดรอสักครู่ ทางเราขออนุญาตแจ้งความประสงค์ของทุกท่านไปยังผู้ขายก่อน”

อันที่จริง หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ต่างก็กำลังฟังอยู่ ดังนั้นอู่จิ๋วมองไปที่หลิงตู้ฉิงและถามเขาว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไร

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลิงตู้ฉิงเองก็รู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย

เขาขมวดคิ้วและหันไปมองคนอื่น ๆ จากนั้นมุ่งความสนใจไปที่ หานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิง และถามว่า “ข้าขอถามได้ไหมว่าเป้าหมายของพวกเจ้าในการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับคืออะไร? บางทีหากข้าได้รู้เป้าหมายของพวกเจ้าแล้ว ข้าอาจสามารถช่วยให้เจ้าสมหวังได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอีกต่อไป”

ถ้าหานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิงไม่ต้องเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เขาจะมีอีก 2 สิทธิ์ทันที

แต่น่าเสียดายที่หานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างระแวดระวัง และพูดว่า “ไม่ พวกเราต้องการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ! และศิษย์น้องก็เอ่ยคำสาบานต่อสวรรค์แล้วว่านางจะให้สิทธิ์เราในการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ!”

เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขา หลิงตู้ฉิงก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากทั้งสองคนไม่เต็มใจ เขาจึงไม่มีอะไรจะพูดอีก

ในทางกลับกัน เสี่ยวเยว่เฟิงซึ่งอยู่ด้านข้าง นางพูดอย่างเร่งรีบว่า “นายท่าน น้องสาวของข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปข้างใน สิทธิ์ของนางท่านสามารถเอาคืนไปได้เลย!”

เสี่ยวหลิงเฟิงเองก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเร่งรีบ “นายท่าน ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เท่านั้น ข้าคิดว่ายังไงความสามารถของข้าก็คงไม่ถึงแน่นอน ดังนั้นข้าขอสละสิทธิ์!”

หลิงตู้ฉิงโบกมือปฏิเสธและมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน จนซือโถวเหวินหยวนรู้สึกกังวล

โชคดีที่หลิงตู้ฉิงไม่ได้ขอให้เขามอบสิทธิ์คืน ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น

“ช่างเถอะ ให้พวกเขานำวัสดุล้ำค่าที่สุดออกมา ข้าจะตัดสินเองว่าจะให้ใคร!” หลิงตู้ฉิงพูดกับอู่จิ๋ว