เยี่ยเม่ยมองเขา สายตาหยุดที่มือเขา 

 

 

ถามเสียงเย็นชาว่า “นี่คือความชอบอย่างเปิดเผยหรือแอบชอบ…” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว หัวเราะเบาๆ อธิบายให้นางฟังด้วยน้ำเสียงไพเราะ “แอบชอบ เป็นความรักที่ขลาดเขลาที่สุดในใต้หล้า ก็เป็นแค่ความรู้สึกต่ำต้อยที่มนุษย์ฝังลึกไว้ เพราะกลัวถูกปฏิเสธ ดังนั้นถึงเงียบไม่เอ่ยออกมา” 

 

 

เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว มองบุรุษเบื้องหน้า เขาคงไม่คิดว่าตัวนางแอบชอบเขากระมัง 

 

 

นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านจะพูดอะไร”  

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีแววขบขัน “ข้าจะบอกว่า หากเจ้าชอบข้าก็พูดออกมา ไฉนต้องลำบากแอบชอบด้วย” 

 

 

เยี่ยเม่ยหัวเราะเย้ย “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้แอบชอบท่าน” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ท่าทางเหมือนคาดเดาได้แต่แรก ค่อยๆ กล่าวว่า “ก็ดี ข้าแอบชอบเจ้า” 

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง 

 

 

ส่วนเขาเอ่ยจบแล้วก็นิ่งไป จากนั้นเสริมต่อ “ตอนนี้สมควรนับเป็นชอบอย่างเปิดเผยแล้ว” 

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้วได้สติ สีหน้าเย็นชาดั่งเดิมนิ่งไปแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น นางมองตาเขา “ท่านชอบทรมานคน คงจะชอบเหยียบย่ำความจริงใจของผู้อื่นด้วย ทว่าข้าขอเตือนท่านไว้ คนที่เหยียบย่ำความจริงใจของผู้อื่น ต้องมีสักวันหนึ่งที่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำ” 

 

 

นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคลี่ยิ้ม 

 

 

เขาเอ่ยเนิบๆ “เยี่ยนเป็นคนดี แต่ไรมาไม่เคยเหยียบย่ำความจริงใจของคน เยี่ยนมักใช้วิธีของตัวเองเพื่อบอกถึงการกระทำอันโหดร้ายของพวกเขาเท่านั้น ทว่าหากระหว่างเจ้ากับข้า ต้องมีสักคนที่ถูกเหยียบย่ำความจริงใจถึงจะร่วมเดินทางไปด้วยกันได้ อย่างนั้นก็ยินดีให้แม่นางเยี่ยเม่ยเยียบย่ำความจริงใจของเยี่ยนได้” 

 

 

การสารภาพรักเช่นนี้ หากเกิดขึ้นกับสตรีทั่วไปแล้ว เกรงว่าจะดีใจ จากนั้นค่อยเริ่มแปลกใจว่า เมื่อตนเองรู้จักเขาได้ไม่นาน แล้วบุรุษผู้นี้ชอบนางที่ตรงไหนกัน 

 

 

ทว่าเยี่ยเม่ยไม่เหมือนกัน 

 

 

นางเห็นว่าตนเองยอดเยี่ยมขนาดนี้ มีผู้ชายถูกใจก็เป็นสมเหตุสมผล แต่นางก็ไม่ได้มั่นใจเกินเหตุ อย่างไรไม่มีพื้นฐานจากความรัก รู้จักกันไม่ได้นาน เขาไม่แน่ว่าจะจริงใจกับตนเอง 

 

 

นางปรายตามองเขา เสียงเย็นกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่มีแรงถกเรื่องนี้กับท่าน เพราะอย่างน้อยจนถึงตอนนี้ข้าไม่รู้สึกอะไรกับท่าน” 

 

 

คำปฏิเสธตรงไปตรงมากลับทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ไม่กลัดกลุ้ม เอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “ข้ารอได้” 

 

 

สิ้นเสียง เขาชักมือกลับเป็นท่วงท่าสง่างามดุจแมวเปอร์เซีย ไม่ชวนให้คนรู้สึกทำตัวไม่ถูกสักน้อย กลับน่ามองดั่งภาพวาดเหมือนเดิม 

 

 

  การยกมือหนึ่งข้าง ก้าวเท้าหนึ่งก้าวเช่นนี้ก็หล่อเหลาเกินบุรุษใดจะเปรียบได้ นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามในโลกหล้าอย่างแท้จริง 

 

 

นี่ทำให้เยี่ยเม่ยที่ปฏิเสธเขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้ว่าหากวันใดตนหวั่นไหวกับเขาแล้ว เห็นเขาเป็นหนึ่งในภรรยาตัวเลือกของนางก็ไม่เลว 

 

 

ถูกแล้ว ภรรยาของนาง 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองความแปลกประหลาดบางอย่างจากนัยน์ตาลุ่มลึกของนาง ถามอย่างสบายอารมณ์ “จากสายตาแม่นางเยี่ยเม่ย ข้าเห็นแววตาดั่งบุรุษชื่นชมสตรี ในด้านความรักแม่นางเยี่ยเม่ยเห็นตัวเองเป็นบุรุษอย่างนั้นหรือ” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงนิ่งตอบ “ไม่ผิด หากวันใดข้าชอบท่านแล้ว ข้าจะพิจารณาให้ท่านเป็นภรรยา อย่างไรบุรุษในโลกหล้าต่างก็มีใบหน้าเหมือนภรรยาตัวน้อยรอให้ทารุณ ซ้ำยังชอบให้ทารุณ ต้องการสตรีคอยอบรมสั่งสอน”  

 

 

องค์ชายสี่ยิ้มยกมุมปาก ไม่ใส่ใจคำพูดของนาง 

 

 

เขายิ้มสบายๆ เอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “สำหรับพระชายาองค์ชายสี่ในอนาคต เยี่ยนรอได้ หากแม่นางเยี่ยเม่ยอยากให้เยี่ยนเป็นภรรยาตัวน้อย ก็ไม่ขัด หวังเพียงแค่สามีจะรักถนอมเยี่ยนให้ดี ไม่ทอดทิ้ง รักเดียวใจเดียว” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า ชื่นชมด้วยเสียงเย็นชา “แนวคิดนับว่าถูกต้อง” 

 

 

นางเอ่ยประโยคนี้ออกไป นัยน์ตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉายแววยินดีและน่าสนใจ 

 

 

ในเวลานี้อวี้เหว่ยก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา 

 

 

เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ขมวดคิ้วเอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย คนราชสำนักมาแล้ว” 

 

 

องค์ชายสี่มองเขาถอนสายตากลับ มองอวี้เหว่ย ค่อยๆ เค้นคำพูดออกมาคำหนึ่ง “อ้อ?” 

 

 

สีหน้าอวี้เหว่ยแงนสงสัย ซ้ำยังเจือความเยาะเย้ย มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ผู้ตรวจการทหารมา ยังมี…เรื่องของท่านหญิงฉางเล่อ ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวให้ราชสำนักรวดเร็วขนาดนี้ ฮองเฮากริ้วมาก บอกว่าจะต้องจับตัวต้นเหตุมาให้ได้ จับแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมาดำเนินคดี ทั้งยังส่งคนมาจับหลายพันคน ได้ยินว่าตอนนี้อยู่ในระหว่างเดินทางแล้ว” 

 

 

เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วอย่างเย็นชา… 

 

 

… 

 

 

ในต้ามั่ว  

 

 

ไม่ไกลจากกระโจม ราชาต้ามั่วสาวเท้ากว้างเดินเข้ามา 

 

 

หัวหน้าทหารผู้หนึ่งรีบติดตามด้านหลังราชาต้ามั่ว รายงานสถานการณ์รบ ราชาต้ามั่วมีอายุสี่ห้าสิบปี ใบหน้ามีความน่าเกรงขามดั่งผู้เป็นราชา สองมือไพล่หลัง เดินเข้ากระโจมมา 

 

 

ราชาต้ามั่วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็น “ดังนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกรบไม่ฆ่าเหล่าทหารต้ามั่ว นอกจากสังหารเยียลี่ว์ซั่นผู้เดียว และทำร้ายโย่วอี้อ๋องบาดเจ็บ”  

 

 

หัวหน้าทหารพยักหน้า “ไม่ผิด เรื่องเป็นเช่นนี้จริงๆ ” 

 

 

           หัวหน้าทหารผู้นั้นเอ่ยจบ สีหน้าโมโหโทโส “ท่านข่าน ข้าคิดว่าการกระทำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนครั้งนี้เป็นการดูหมิ่นต้ามั่วของเรา พวกเราต้องไม่ปล่อยพวกเขา” 

 

 

ระหว่างที่เอ่ยอยู่นั้นก็เดินไปถึงหน้าประตูกระโจมโย่วอี้อ๋อง 

 

 

ราชาต้ามั่วยื่นมือเปิดประตูกระโจม เดินเข้าด้านใน หวันเหยียนหงยามนี้นอนอยู่บนเตียง ดวงตาสองข้างปิดสนิท ท่านหมอกำลังช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน 

 

 

เมื่อเห็นราชาต้ามั่วเดินเข้ามา  

 

 

คนทั้งหมดรีบทำคุกเข่าแสดงความเคารพ “ท่านข่าน” 

 

 

ราชาต้ามั่วยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องมากพิธี มองหวันเหยียนหงบนเตียง เอ่ยปากถาม “โย่วอ๋องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 

 

 

หมอที่คุกเข่าอยู่ตอบ “เอ็นมือเอ็นเท้าของโย่วอี้อ๋องขาดหมด ภายหน้าอย่าว่าแต่ถือดาบเลย ต่อให้ยืนยังยืนไม่ได้ ตอนนี้ข้าน้อยพยายามช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่เกรงว่าช่วยกลับมาได้ ก็…ก็เป็นเพียงคนพิการผู้หนึ่งเท่านั้น” 

 

 

ราชาต้ามั่วสีหน้าหนักใจมองหวันเหยียนหง พยักหน้า “ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ต้องช่วยคนกลับมาก่อนค่อยว่ากัน โย่วอี้อ๋องอยู่ที่ต้ามั่วมานาน มีความชอบเป็นอย่างมาก ต้องรักษาชีวิตเขาไว้” 

 

 

ท่านหมอรีบตอบทันที “ขอรับ ข้าน้อยจะพยายามสุดความสามารถ” 

 

 

ราชาต้ามั่วจ้องหวันเหยียนหงอยู่ครู่หนึ่ง ถอนใจ หมุนตัวจากไป 

 

 

เพิ่งเดินเพิ่งเดินมาถึงประตู พลันมีสตรีเหมือนดอกสาลี่ต้องน้ำตาผู้หนึ่งก้าวเท้ากว้างเข้ามาอย่างซวนเซ คุกเข่าเบื้องหน้าราชาต้ามั่ว นั่นคือลู่หวานหว่าน นางร้องไห้เอ่ยปาก “ท่านข่าน ท่านข่าน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับแม่ทัพเยียลี่ว์ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับอนุด้วย” 

 

 

ราชาต้ามั่วหันกลับไปมองหัวหน้าทหารที่ติดตามอยู่ด้านหลังตน ถามว่า “นางคือใคร” 

 

 

หัวหน้าทหารผู้นั้นมองลู่หวานหว่าน เอ่ยปากตอบ “อนุที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น นางเป็นคนภาคกลาง หลังจากแต่งมายังต้ามั่วก็นับว่าจงรักภักดี ได้รับความโปรดปรานจากแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่นอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้ให้กำเนิดบุตรชายให้แม่ทัพเยียลี่ว์ซั่นผู้หนึ่ง…” 

 

 

ราชาต้ามั่วพยักหน้า มองลู่หวานหว่าน “เจ้าเงยหน้าขึ้นมา” 

 

 

ลู่หวานหว่านเงยหน้า ใบหน้างดงามอยู่แต่เดิม เนื่องจากยามนี้เป็นเหมือนดอกสาลี่ต้องน้ำตา ยิ่งทวีความเศร้าระทมมากขึ้น ทำให้ราชาต้ามั่วตะลึงไปไม่น้อย 

 

 

ลู่หวานหว่านเองก็เข้าใจข้อดีของตน ท่าทางยามร้องไห้ของนาง งดงามที่สุด เมื่อก่อนมักร้องไห้มองแม่ทัพ ถึงทำให้แม่ทัพไม่ใส่ใจภรรยาและอนุคนอื่น โปรดปรานนางเท่านั้น 

 

 

เมื่อเห็นราชาต้ามั่วสติหลุด นางรีบร้องเรียกอย่างออดอ้อน “ท่านข่าน”