บทที่ 432 แต่ฉันขออะไรอย่างหนึ่ง

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เมื่อเขาเอ่ยปากพูดเช่นนี้ เอวาก็รู้ว่าเขาอยากพูดอะไร เธอเงยหน้าดื่มน้ำ“ฉันได้ยินอาคิระเล่าแล้ว คุณมีคนที่ชอบแล้ว”

“ใช่”ฉันทัชยอมรับตรง ๆ และราบเรียบ

นิสัยของเอวาคือไม่ทะนงตนและไม่ขี้โวยวาย ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจของเธอ ร้อนรนใจไม่ได้“คุณชอบเธอมากเลยเหรอ?”

“ผมไม่เคยรู้สึกดี รู้สึกพิเศษกับคนอื่นนอกจากเธอมาก่อนเลย……”เขาบอก

เอวาเอานิ้วดีดแก้วน้ำเล่น เธอชอบเขามาแต่เด็ก ถึงแม้เธอไม่เคยแสดงออก แต่เขาก็รับรู้ความคิดของเธอ

นิ่งสักพัก เธอเงยหน้ามอง“ดังนั้น เลยอยากหย่า?”

สีหน้าฉันทัชอ่อนโยน น้ำเสียงอ่อนนุ่ม“ผมไม่อยากเสียเธอไป เอวา ในหนึ่งชีวิตของผม มีไม่กี่ครั้งที่หัวใจจะหวั่นไหวกับใครสักครั้ง ผมเคยสูญเสียไปแล้วหนึ่งครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

“งั้นขอฉันคิดดูก่อนค่ะ”สุ้มเสียงเอวาแผ่วเบาและเนิบช้า มีพฤติกรรมก้าวร้าวน้อยครั้งมาก

“ได้”ฉันทัชไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากเธอตอนนี้ เธอต้องการเวลาคิด เขาก็จะให้ เวลาเอวาทำอะไรมักรู้จักแยกแยะเสมอ

เอวาบอกว่าเธอจะพักผ่อนแล้ว จากนั้นก็เก็บสัมภาระ ก่อนจะไปห้องนอนด้านข้าง พวกเขาแต่งงานมาสองปี แต่ไม่เคยนอนห้องเดียวกันเลย ล้วนทำตามเงื่อนไขทุกอย่าง

เอวาบอกว่าจะไตร่ตรอง เธอก็ตั้งใจคิดเรื่องนี้อย่างขึงขังจริงจังจริง ๆ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็มักจะตั้งใจเสมอ

และเป้าหมายที่ฉันทัชกลับเฮทเคครั้งนี้ก็เพื่อคลี่คลายปัญหานี้ ดังนั้นต้องจัดการให้ได้ ยืดเวลาไม่ได้เด็ดขาด ……

อาคิระก็พักบ้านของฉันทัชด้วย ถึงแม้จะมีบ้านในเฮทเคเป็นของตัวเอง แต่ไม่อยากเดินทางไปมา จึงพักที่นี่เสียเลย

เขายืนอยู่ที่ห้องรับแขก เห็นเอวาเดินออกจากห้องนอนของฉันทัช เขาก็ก้าวเท้าตามเข้าห้องน้องสาวฝาแฝด

“พี่ตามเข้ามาทำไม?”เอวามองอาคิระที่อยู่ด้านหลัง

“เขาคุยอะไรกับน้อง?”

เอวาส่ายหัว“ไม่ได้คุยอะไร บอกว่าพรุ่งนี้ฉันกับเขาจะไปมอบของขวัญให้คุณปู่”

อาคิระไม่เชื่อ จากนั้นก็เห็นเอวาขยี้ตาด้วยความง่วง จากนั้นก็ยื่นมือเคาะประตูห้อง“คุณหนูเอวา ออกไปได้หรือยัง?”

เห็นเธอง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว อาคิระก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ยกเท้าเดินออกไป

ห้องนอนของเอวาเปิดไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืน คล้ายกับไม่ได้นอนเลย

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เอวาเคาะประตูห้องของฉันทัช ผ่านไปสักพักประตูห้องก็เปิด

ฉันทัชพึ่งตื่น ตอนนี้มือใหญ่ที่เผยกระดูกนิ้วชัดเจนกำลังใส่กระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาว มือขวากำลังใส่นาฬิกาข้อมือ ทว่าระหว่างคิ้วเผยความอ่อนโยนออกมา “ตื่นแล้วเหรอ?”

“ฉันเข้าไปได้ไหม?”เอวาพูดเสียงแช่มช้ามาก

ร่างสูงเอียงกาย ฉันทัชสื่อให้เธอรู้ว่าเข้ามาได้ จากนั้นปิดประตู ก่อนจะเทน้ำอุ่นให้เธอ

หลังดื่มน้ำแก้วนั้นเสร็จ ริมฝีปากของเอวาก็ชุ่มฉ่ำ เธอเอ่ยปากพูดว่า“ฉันคิดเรื่องที่คุณบอกเมื่อคืนเสร็จแล้ว”

“ใช่เหรอ?”ฉันทัชยิ้มเจือจาง ส่งยาให้เธอหนึ่งขวด ซึ่งไม่ได้ถามผลการตัดสินใจ

“ฉันเห็นด้วยกับการหย่าค่ะ”เอวากล่าว ความขมฝาดถาโถมเข้าสู่กลางใจ คล้ายกับปากก็มีแต่รสขมไปหมด

เรื่องที่เกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินในอดีต มันเป็นเรื่องที่เหนือการคาดหมาย ยิ่งไม่มีคนรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนั้น ดังนั้นไม่ควรให้霍家แบกรับความรับผิดชอบทั้งหมด

เธอรักเขา ทว่าเขากลับไม่รักเธอ ถ้าสุขภาพเธอดี เช่นนั้นเธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด

โรคหัวใจเหมือนลูกระเบิดที่ไม่ได้ตั้งเวลา ไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไหร่ เขาอายุสามสิบสี่ปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูกสักคน เธอเป็นตัวถ่วงไม่ได้อีกต่อไป

หากพูดแย่หน่อยก็คือ ร่างกายครึ่งส่วนของเธอฝังเข้าไปในดินแล้ว คนอย่างเธอ จะเพ้อฝันอะไรอีก?

อีกอย่าง เธอก็ได้ครอบครองเขาหนึ่งปีกว่าแล้ว ดังนั้นคนเราไม่ควรโลภ แต่รู้จักพอดี

ยังดี สองปีนี้ เขาเอาใจใส่เธอมาก ไม่ว่าสิ่งที่เธอจะนึกออกหรือนึกไม่ออก เขาล้วนนึกออกแล้วทำเพื่อเธอเสมอ

“คุณอยากไปตอนไหนค่อยบอกผมนะ”

เอวาพยักหน้า ขานรับว่าค่ะ ตอนที่จะเดินออกจากห้องก็หยุดฝีเท้า“แต่ฉันมีข้อเรียกร้องหนึ่งอย่าง”

ฉันทัชหันไปมองเธอ เสียงนุ่มเอ่ยว่า“ขอเรียกร้องอะไร?”

……

วิถีชีวิตเรียบง่าย ไร้มรสุมใดๆ ยู่ยี่ย้ายเข้าบ้านใหม่ทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

ยู่ยี่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีแบบแผนมาก บางครั้งวันอาทิตย์เธอก็จะไปเข้าฟิตเนส

เพียงแต่บางครั้งก็รู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก

เขาเหมือนหายใจกลางอากาศเลย ไม่มีร่องรอยใดๆทิ้งไว้ บางครั้งเธอมักจะพิศมองนอกหน้าต้องโดยบังเอิญ

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่คอนโด รสเบนซ์สีเงินจะจอดอยู่ด้านล่าง……

ตอนนี้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน มีเพียงหัสดินที่ตามดื้อตามรังควานเธอทุกวัน

เมื่อก่อนเธอคิดว่ารู้จักหัสดินจนหมดเปลือกแล้ว ไม่มีใครรู้จักเขามากว่าเธออีก

ทว่าตอนนี้กลับพบว่า เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว เธอไม่รู้จักหัสดินเลย ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย

หัสดินไม่ฟังคำพูดเธอเลย คิดเองเออเองตลอด

ใช่อยู่ ตอนนี้เขาเป็นประธานบริษัทภูษาธรกรุ๊ป จะยอมฟังคนอื่นได้อย่างไร?

บางครั้งเขาจะเสนอให้ไปกินเลี้ยงด้วยกัน ผู้จัดการก็ให้ความร่วมมือเหลือเกิน บอกว่าพนักงานทุกคนต้องไปหมด เธอก็ไม่ยกเว้น

วันนี้ ยู่ยี่กำลังซักเสื้อผ้าอยู่ เครื่องซักผ้ากำลังทำงานอยู่ก็ได้ยินเสียงสายเรียกเข้ากะทันหัน ซึ่งเป็นสายจากนาโนบอกว่าเชอร์รีนเข้าโรงพยาบาล

ได้ยินดังนั้นก็ไม่สนใจเรื่องซักผ้าอีก เธอเช็ดน้ำในมือให้แห้ง จากนั้นก็โบกรถไปโรงพยาบาล

เชอร์รีนเข้าห้องผ่าคลอดแล้ว ซึ่งด้านนอกมีคนไม่น้อยเลย มีออกัส ซาราง เลอแปง ดนัย นาโนและหัสดิน

เหมือนออกัสจะรีบมา จึงใส่รองเท้าแตะ ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยความกังวลใจ แล้วยืนจ้องมองห้องคลอด

ซารางอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นยู่ยี่มาก็ทักทายอย่างมีมารยาทหนึ่งคำ คุณน้า

เธอตบก้นซาราง แล้วรับซารางมาอุ้ม

จะว่าไป นี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของออกัส ตอนคลอดซาราง เขาไม่ได้อยู่ ณ ขณะนี้เขาเหมือนจะตื่นเต้นเล็กน้อย

ผู้ชายตอนเป็นพ่อใหม่ๆจะมีอาการแบบนี้แหละ

ทุกคนยืนรออยู่หน้าห้องผ่าคลอด มีเพียงออกัสที่เดินวนไปเวียนมา จากนั้นเขาก็หมุนกายถามยู่ยี่ “ตอนคลอดลูกเจ็บไหม?”

ยู่ยี่ชะงัก จากนั้นก็ส่ายหัว“ฉันยังไม่เคยคลอดเลยค่ะ”

นาโนรู้สึกเหลืออด“คลอดลูกแล้วจะไม่เจ็บได้ไง?ไม่เคยเจอกับตัวเองก็น่าจะรู้บ้างนะ คุณไม่เคยดูวิธีคลอดบุตรในโทรทัศน์เหรอ ในนั้นคนท้องเจ็บจนร้องไห้จะเป็นจะตายเลยนะ ชาตินี้ฉันจะไม่คลอดลูกเด็ดขาด”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าออกัสก็เปลี่ยนไป เริ่มตึงเครียดขึ้นมา

ยู่ยี่ถีบเท้านาโนหนึ่งครั้ง เพื่อนคนนี้นี่จริง ๆเลย กลัวโลกจะวุ่นวายไม่พอใช่ไหม