ตอนที่ 97-1 แมวน้อย พี่ที่เป็นเช่นนี้เจ้ายังกล้ารักอยู่หรือไม่

จำนนรักชายาตัวร้าย

ซึ่งตี้อู่เฮ่ออีเข้าใจไปว่ากลิ่นอายเช่นนี้เป็นกลิ่นอายเฉพาะตัวของแพทย์นั่นเอง

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาและนางสนทนากันส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับแพทย์และการรักษา ทำให้ตี้อู่เฮ่ออีรู้สึกราวกับได้พบสหายเก่าแก่ ความรู้สึกดั่งเช่นว่าแค้นเคืองที่ได้พบพาน ‘สหายที่รู้ใจ’ ช้าเกินไปเสียนี่นั่นเอง

 

 

โดยที่ตี้อู่เฮ่ออีกลับมิได้ล่วงรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วสาวน้อยตรงหน้านี้มีชาติกำเนิดที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเขาอย่างลึกซึ้ง

 

 

“เผ่าตานหรือ จะเริ่มอย่างไรดี…”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีไม่รู้จะบรรยายลักษณะสถานที่ที่ตนเติบโตมาได้อย่างไร บางทีในสายตาคนนอก เผ่าตานลึกลับยิ่งนัก ทว่าตัวเขากลับไม่คิดเช่นนั้น ในใจตี้อู่เฮ่ออี เผ่าตานเป็นเพียงชนเผ่าที่หลงใหลในวิชาแพทย์อีกทั้งมีวาสนาต่อการแพทย์และยาต่างๆ เท่านั้นเอง

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเติบโตขึ้นมาในเผ่าตาน จึงเห็นความวิริยะอุตสาหะและความหลงใหลในวิชาแพทย์ของเผ่าตานจนเคยชิน หากไม่มีเหตุการณ์แตกหักกันเมื่อสิบห้าปีก่อนละก็ เผ่าตานก็คงไม่ร่วงลงมาจนรั้งอันดับสุดท้ายจากบรรดาชนเผ่าทั้งแปดได้

 

 

“ความหมายเจ้าคือ เผ่าตานในตอนนี้แบ่งเป็นเผ่าตานฝ่ายซ้ายและเผ่าตานฝ่ายขวา ตี้อู่หงเยี่ยเป็นตันฝ่ายขวา ส่วนเจ้าเป็นชาวตันฝ่ายซ้ายอย่างนั้นหรือ”

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าตานไม่มากนัก

 

 

ซึ่งมันไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากสิ่งเลวร้ายที่ท่านลุงรองและท่าป้ารองพบเจอ รวมทั้งยาพิษและระเบิดที่เจ้อซย่าอวิ๋นใช้ในภายหลังนั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าตานทั้งสิ้น

 

 

ได้ฟังตี้อู่เฮ่ออีเล่าเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนพลันเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แท้จริงแล้วชนเผ่าตานก็ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด

 

 

จากการบอกเล่าของตี้อู่เฮ่ออี ทำให้อวี้เฟยเยียนเข้าใจที่มาที่ไปของเผ่าตานมากยิ่งขึ้น

 

 

เผ่าตานฝ่ายซ้าย ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องที่สืบสายเลือดสายตรง พวกเขารักสันติชื่นชอบศึกษาวิชาการแพทย์ ไม่สนใจในชื่อเสียงลาภยศผลประโยชน์ หากจะพูดด้วยภาษาทันสมัยก็คือ พวกนักเรียน พวกหนอนหนังสือนั่นเอง

 

 

ชนเผ่าตานฝ่ายขวาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มิได้สืบสายเลือดสายตรง พวกเขาฝักใฝ่ในชื่อเสียงอำนาจและเงินทอง หวังว่าจะได้ครอบครองอำนาจและผลประโยชน์จากวิชาแพทย์ที่มี แตกต่างจากเผ่าตานฝ่ายซ้ายที่มีจุดยืนเพื่อรักษาช่วยชีวิตคนอย่างสิ้นเชิง

 

 

สิบหกปีก่อน เทพธิดาแห่งเผ่าตานหายสาบสูญไป จึงมีผู้อาวุโสแห่งเผ่าตานที่มิได้สืบสายเลือดสายตรงหรือชาวตันฝ่ายขวาใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผล สมคบกับคนนอก บีบบังคับให้หัวหน้าเผ่าในตอนนั้นมอบอำนาจและบันทึกยาโบราณที่บรรพชนอุทิศทั้งชีวิตบันทึกเอาไว้ออกมา ซึ่งเหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความวุ่นวายภายในยาวนานแรมปี

 

 

สุดท้ายชนเผ่าตานแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย เหล่าเผ่าตานลูกหลานสายตรง ภายใต้การนำพาของหัวหน้าเผ่า ถอยร่นไปหลบซ่อนตัวในป่าลึก

 

 

“เผ่าตานที่เมืองอู๋โยวในตอนนี้ แท้ที่จริงแล้วคือเผ่าตานฝ่ายขวาสินะ”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีเกาหัวแกรกๆ ด้วยความเขินอาย

 

 

“ข้าออกจากชนเผ่ามาครานี้ บังเอิญพบ ‘ผงหอมหมื่นลี้’ แห่งเผ่าตานฝ่ายขวาจากร่างหนานกงจื่อหลิงเมื่อติดตามมา นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับตี้อู่หงเยี่ย เดิมทีข้าคิดที่จะสะกดรอยตามตี้อู่หงเยี่ยเพื่อค้นหารังพวกตันฝ่ายขวา แต่สุดท้าย…”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออียังมิทันกล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็เข้าใจในความหมายเขาทันที

 

 

สุดท้ายผลก็คือตี้อู่หงเยี่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนกำจัดทิ้งเรียบร้อย ความหวังที่ตี้อู่เฮ่ออีต้องการค้นหาเผ่าตานฝ่ายขวาเจอก็ดับมอดลงไปด้วย

 

 

“แต่ข้ามิได้มีเจตนาตำหนิท่านพี่ซย่าโหวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามข้ากลับรู้สึกว่าเขาเก่งกาจยิ่งนัก!”

 

 

เผ่าตานที่เป็นลูกหลานสายตรง ส่วนใหญ่เป็นหลงใหลในวิชาแพทย์ หลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตในการจดจ่อสืบค้นเกี่ยวกับการแพทย์และสมุนไพร จึงไม่เก่งกาจด้านวรยุทธ์สักเท่าไหร่นัก ตี้อู่เฮ่ออีก็เป็นตัวอย่างชั้นดี

 

 

 “หากข้ามีวรยุทธ์ที่สูงส่งเช่นท่านพี่ซย่าโหวก็คงจะดีจะได้ปกป้องคนในเผ่าได้ พวกเราเผ่าตานฝ่ายซ้ายก็คงมิต้องหลบซ่อนอยู่ในป่าลึกเช่นนี้”

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตี้อู่เฮ่ออีก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก

 

 

แม้ในเรื่องความรู้ทางการแพทย์ชาวเผ่าตานฝ่ายขวาอาจสู้ชาวเผ่าตานฝ่ายซ้ายไม่ได้

 

 

แต่ในเรื่องวรยุทธ์ ชาวตันฝ่ายขวาแข็งแกร่งกว่าชาวตันฝ่ายซ้ายมากนัก หลายปีมานี้ ชาวตันฝ่ายขวาอาศัยอยู่ที่เมืองอู๋โยวซื้อม้าสั่งสมกำลังทหาร รวบรวมยอดฝีมือที่วรยุทธ์สูงส่งเป็นพวกจำนวนมาก หากเมื่อถึงเวลาต้องปะทะกันจริง เหล่าแพทย์หนอนหนังสือชาวตันฝ่ายซ้ายไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของชาวตันฝ่ายขวาได้

 

 

“เฮ่ออี เทพธิดาเผ่า สำหรับชาวเผ่ามีความหมายอย่างไรกัน”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวถามในสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจของนางมาแสนนานออกมา

 

 

“เทพธิดา หรือแท้จริงแล้วคือธิดาเทพนั่นเอง ปกติเป็นหญิงสาวที่สืบสายเลือดจากเลือดบริสุทธิ์โดยตรงมารับหน้าที่ ซึ่งหน้าที่สำคัญที่สุดของเทพธิดานั่นก็คือเซ่นไหว้จักรพรรดิเทพโอสถ และเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างชนเผ่ากับจักรพรรดิเทพโอสถ”

 

 

“ทุกปีเมื่อถึงวันกำเนิดจักรพรรดิเทพโอสถ เผ่าตานจะต้องเซ่นไหว้โดยมีเทพธิดาเป็นผู้นำ การเซ่นไหว้นี้เกี่ยวกับคุณภาพยาของเผ่าตานทั้งหมดภายในปีนั้นว่าจะดีหรือร้ายเลยทีเดียว!”

 

 

คราวนี้ ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจความหมายของการดำรงอยู่เทพธิดาเสียที

 

 

ชนเผ่าในสมัยโบราณต่างก็มีสัญลักษณ์ชนเผ่าเป็นของตัวเอง ‘จักรพรรดิเทพโอสถ’ ก็คือสัญลักษณ์แห่งเผ่าตานนั่นเอง และงานเทพธิดานั้นก็คล้ายกับทูตหญิงที่เป็นสื่อกลางในการเซ่นไหว้จักรพรรดิเทพโอสถนั่นเอง

 

 

“หากการเซ่นไหว้มีปัญหา มันจะกระทบกับการแพทย์และยาทั้งหมดของเผ่าตานจริงหรือ”

 

 

อวี้เฟยเยียนสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก

 

 

“แน่นอนสิ! ไม่มีพรจากจักรพรรดิเทพโอสถประทานมา จะทำให้เรามิสามารถปรุงยาชั้นดีออกมาได้!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

เมื่อเห็นว่าในขณะที่ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวถึงจักรพรรดิเทพโอสถนั้นสีหน้าเขาเปี่ยมด้วยความเคารพสดุดีอย่างที่สุดมิได้ อวี้เฟยเยียนจึงรีบปิดปากให้สนิททันที

 

 

เหมือนกับว่าเป็นสาสน์ของลัทธิหนึ่งหรือเปล่านะ

 

 

เพียงแต่พูดให้น่าฟังหน่อยเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นศาสนาของพวกเขานั่นเอง!

 

 

“แล้วตอนนี้เผ่าตานฝ่ายซ้ายของพวกเจ้ามีเทพธิดาหรือไม่”

 

 

อวี้เฟยเยียนถามขึ้นอีก

 

 

“ไม่มี” ตี้อู่เฮ่ออีส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ท่าทางผิดหวัง

 

 

“เทพธิดานอกจากจะเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่สืบสายเลือดโดยตรงแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านยาและการแพทย์ สิบห้าปีมานี้ เผ่าตานฝ่ายซ้ายของเราไม่ปรากฏหญิงสาวที่มีวิชาแพทย์สูงส่งเหนือธรรมดาเลยสักคน จะหาใครที่เก่งกาจเท่าท่านอาน้อยของข้านั้น เกรงว่าจะยากที่จะพบเจออีก!”

 

 

‘ท่าอาน้อย’ ของตี้อู่เฮ่ออี ทำให้สมองของอวี้เฟยเยียนเริ่มทำงาน

 

 

ท่านอาน้อยที่เขาว่า คงมิใช่ ตี้อู่เยียนเอ๋อร์กระมัง!

 

 

พูดวนไปวนมาตั้งนาน ที่แท้ก็ญาติกันนี่เองหรือเนี่ย!

 

 

ในตอนที่อวี้เฟยเยียนคิดจะสืบข่าวคราวของตี้อู่เยียนเอ๋อร์ต่อนั่นเอง ร่างคนผู้หนึ่งก็ผลุบออกจากห้องข้างๆ แล้วพุ่งตัวทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า มุ่งหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว และเมื่อมองดูให้ดีอีกครั้ง ก็พบว่าคนผู้นั้นคือซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

“เขาเป็นอะไรไป”

 

 

มองตามเผ่นหลังซย่าโหวฉิงเทียน ตี้อู่เฮ่ออีก็ลูบคางตนแผ่วเบาอย่างใช้ความคิดแล้วกล่าวว่า

 

 

“คงไม่ใช่เพราะล้างกลิ่นนั่นไม่ออกแล้วคิดไม่ตกใช่หรือไม่!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีเพียงแค่กล่าวขึ้นลอยๆ แต่อวี้เฟยเยียนกลับคิดว่าการเดาของเขามีความเป็นไปได้มากทีเดียว

 

 

เงานั้นทะยานออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวกับตี้อู่เฮ่ออีเพียงว่า ‘ขออภัย’ แล้วผลุนผลันตามซย่าโหวฉิงเทียนไปทันที

 

 

จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนมาถึงแม่น้ำชางหลวน นางเห็นคนผู้หนึ่งจากระยะไกล เขายืนอยู่ริมแม่น้ำกำลังวักน้ำใส่ตนเองอย่างแรง

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียน!

 

 

คราวนี้อวี้เฟยเยียนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นางพุ่งเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที

 

 

ใครจะคาดคิด อวี้เฟยเยียนยังมิทันเข้าถึงตัว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถอยร่นไปอีกด้านแล้วตะโกนว่า

 

 

“แมวน้อย อย่าเข้ามา ตัวพี่มีกลิ่นเหม็น!”

 

 

ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่ได้กลิ่นหอมดอกไม้ของตี้อู่หงเยี่ยที่ตี้อูเฮ่ออีกล่าวมา แต่เมื่อนึกได้ว่าก่อนตายหญิงเฒ่าคนนั้นมาแตะที่ตัวเขา เขาก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที

 

 

เห็นสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็รู้ทันทีว่า โรครักความสะอาดของท่านอ๋องกำเริบอีกแล้ว

 

 

“มานี่ ให้ข้าดมสิว่ามีกลิ่นหรือไม่!”

 

 

อวี้เฟยเยียนใช้ความอ่อนโยนปลุกปลอบซย่าโหวฉิงเทียน ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับตอบปฏิเสธความหวังดีของอวี้เฟยเยียนด้วยประโยคเพียงประโยคเดียวคือ

 

 

“ไม่นะ…”

 

 

เขาจะไม่ยอมให้แมวน้อยรังเกียจเขาเด็ดขาด!

 

 

มีกลิ่นหญิงอื่นจากตัวเขา แมวน้อยจะต้องรังเกียจเป็นแน่!

 

 

“เสี่ยวฉิงฉิง เด็กดี กลิ่นนี้มันกลิ่นอะไรกัน!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวเอาไว้ กลิ่นหอมนี้จะนำมาซึ่งการตามล่าของเผ่าตาน ซึ่งอวี้เฟยเยียนเป็นกังวลในข้อนี้เป็นอย่างมาก

 

 

หากซย่าโหวฉิงเทียนมีกลิ่นหอมนั้นติดตัวจริงๆ ละก็ นางจะต้องหาวิธีกำจัดมันออกไปให้ได้!

 

 

เพราะถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะแข็งแกร่งเพียงไหน ก็คงจะต้านศัตรูที่มีทั้งอำนาจและจำนวนมกไม่อยู่เป็นแน่

 

 

อีกอย่างหนึ่ง ตี้อู่เฮ่ออียังบอกอีกว่า เผ่าตานฝ่ายขวามักจะเล่นสกปรก แล้วซย่าโหวฉิงเทียนที่เป็นคนที่แสนจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ไปรับมือต่อกรกับคนชั่วพวกนั้นได้เล่า!

 

 

แต่ทว่าไม่ว่าอวี้เฟยเยียนจะใช้ลูกเล่นอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ยอมหลงกลเสียที

 

 

เพราะจนแล้วจนรอดเขาก็ยังเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ตนมีกลิ่นเหม็นติดตัว จะต้องอยู่ให้ห่างจากอวี้เฟยเยียนจะได้ไม่ทำให้นางพลอยเหม็นไปด้วย

 

 

เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนดึงดันที่จะปลีกตัวออกห่างจากนางไปมากขึ้น ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เริ่มโมโห