อิมฮันนายิ้มขมขื่นให้กับคำถามของโกยอนจูพลางส่ายหน้าไปมา โกยอนจูพยักหน้าเล็กน้อยและดึงมือของอิมอิมฮันนามาจับไว้
“แต่ก็มาถึงอย่างปลอดภัยแล้วนี่นะ ทีแรกวันนี้ฉันมีนัด แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เข้าไปก่อนเถอะ”
“ค่ะ พี่ รบกวนด้วยนะคะ”
หลังจากได้รับคำเชิญจากโกยอนจู อิมอิมฮันนาที่ก้าวเข้ามาในแคลนเฮ้าส์ก็อุทานกับภาพตรงหน้า
“โอ้โฮ!”
“สวยไหม”
“ค่ะ สวยมากเลย อย่างกับสวนแบบยุโรป…”
“อย่ามัวแต่มองอยู่เลยรีบเข้ามาเถอะ ซูฮยอนกำลังรออยู่”
อิมฮันนาหน้าแดงเล็กน้อยราวกับได้สติ แต่ก็ยังคงมองไปรอบๆ ดูท่าจะถูกใจสวนอยู่ไม่น้อย
ทั้งคู่พูดคุยการพลางเดินผ่านสวนไป ยิ่งเข้าใกล้อาคารส่วนกลางมากเท่าไร ทั้งสองคนก็ยิ่งได้ยินเสียงรวมพลังที่แผ่วเบาและเมื่อเข้าไปในอาคารส่วนกลางที่กว้างใหญ่ก็มีบางอย่างมาหยุดตรงหน้าของคนทั้งคู่ การเคลื่อนไหวที่เหมือนกับแมวนั้นช่างยอดเยี่ยม
“เอ๊ะ พี่มาดามเหรอ”
“สวัสดียูจอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
คนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนคืออียูจอง หล่อนกำลังฝึกซ้อมอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่อากาศเย็นแต่ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นสูง ผ้าคาดผมสีเงินที่คาดไว้บนศีรษะช่างน่าหงุดหงิด หญิงสาวจึงถอดผ้าคาดศีรษะออกด้วยความรำคาญ เมื่อทำเช่นนั้นหยาดเหงื่อเป็นประกายเหล่านั้นก็หยดลงบนพื้นทิ้งรอยชื้นเอาไว้
อียูจองเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาบนแก้มด้วยดาบสั้นส่องประกายสีเงินวาวด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวพลางเอียงคอด้วยความสงสัย
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมพี่อิมฮันนา…”
“ยูจอง เมื่อเช้านี้ฉันบอกไว้ว่ายังไง”
“เอ๊ะ อ๋อ จริงด้วย! ตอนนี้พี่ซูฮยอนเข้าไปที่ลานต่อสู้ชั้นใต้ดิน!”
“ไม่ไหวเลย ให้ตายสิ เธอนี่มัน…ซูฮยอนแต่งตั้งให้เธอเป็นผู้ติดตามด้วยตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นแบบนี้จะลำบากไหมเนี่ย”
จู่ๆ อียูจองที่คิดทบทวนอยู่ราวๆ หนึ่งวินาทีก็กระโดดพรวดเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ หญิงสาวหัวเราะเจื่อนๆ พลางเกาหัวเมื่อโกยอนจูเดาะลิ้นและต่อว่า โกยอนจูถึงกับถอนหายใจเล็กน้อย
“ถึงจะบอกเธอไว้แล้ว แต่ก็กะแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันบอกเองก็ได้มั้ง”
“ขอโทษนะพี่สาว ฉันจะไปบอกให้เดี๋ยวนี้แหละ เพราะงั้นไปที่ห้องทำงานได้เลยค่ะ”
อียูจองเริ่มวิ่งตึงตังเข้าไปในอาคารส่วนกลางหลังจากพูดจบ ในระหว่างนั้นก็หยุดวิ่งแล้วหันกลับมาพร้อมตะโกนเสียงดัง
“พี่มาดาม ไม่ต้องเป็นห่วงนะ! ฉันจะบอกให้เอง!”
“อืม ขอบใจนะ แต่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ…”
อิมฮันนาพึมพำอย่างอึดอัดใจพลางมองอียูจองซึ่งวิ่งหายไปอีกครั้ง
“ยัยเด็กคนนี้ ถ้ามาถึงนี่ก็จบเรื่องแล้วละ กังวลอะไรอยู่งั้นเหรอ”
“ถึงจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังรู้สึกกังวลค่ะ ดูเหมือนจะเป็นคำขอที่มากเกินไปสักหน่อย…”
“ความกังวลของคนที่ผ่านความลำบากมาสินะ ยังไงก็เข้าไปก่อนเถอะ ถ้าไปรออยู่ที่ห้องทำงาน เดี๋ยวเขาก็คงจะขึ้นมาเร็วๆ นี้แหละ”
“พี่คะ เดี๋ยวสิคะ ฉันเดินเองก็ได้”
โกยอนจูดันไหล่ไปด้านข้างเล็กน้อยพลางกระซิบเสียงนุ่ม อิมฮันนาส่งเสียงด้วยความตกใจเมื่อถูกดึงแขนเสื้ออย่างแรง ทั้งสองคนค่อยๆ เดินเข้าไปในอาคารส่วนกลางอีกครั้ง
* * *
ห้องนั้นมืด หนาวเย็นและเงียบสงัด ในห้องเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกและโอบล้อมด้วยความเงียบ
ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนท่ามกลางความเงียบงันนั้น เป็นเสียงลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะขาดใจในเร็ววันนี้ดังมาจากบนเตียง และอีกเสียงคือเสียงลมหายใจที่ดังมาจากชายผู้กำลังพิงเตียงมองดูคนที่นอนอยู่บนนั้น
ชายผู้นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดแบบที่ใครเห็นก็ต้องบอกว่าหล่อเหลา จมูกโด่งเป็นสันกับสันกรามแบบที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก ท่าทีไม่พูดไม่จาแสดงภาพลักษณ์ที่ดูเย็นชาและคาริสม่าซึ่งไม่อาจเข้าถึง สายตาที่มองลงด้านล่างนั้นเย็นชาราวกับจะแช่แข็งเตียง แต่แฝงไปด้วยความเวทนาและความจริงจัง
แอ๊ด
“คิมยูฮยอน…”
ตอนนั้นเอง ประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออก เสียงดังบาดหูเล็กน้อยทำลายความเงียบ เจ้าของเสียงเรียกนั้นเดินเข้ามาด้านหลังของคิมยูฮยอนด้วยความลังเล แต่เขาไม่ได้หันไป ยังทำเพียงจ้องมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย
“ที่แท่นบูชาก็บอกว่าไม่มีหนทางอื่นแล้ว…มันสายเกินไป”
เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของคิมยูฮยอนเปลี่ยนไป เขาหันกลับไปมองหญิงสาวที่ก้าวมาอยู่ด้านหลังของตนเอง สีหน้าโดยรวมดูเหมือนเดิม ทว่าแววตาทวีความเยือกยะเย็นกว่าเดิมมาก
“ฮโยอึล…ถูกแบนชีโจมตีมานานเท่าไรแล้ว”
“สองสัปดาห์ ที่แท่นบูชาบอกว่าถ้าถึงสามสัปดาห์…”
ช่วงเวลาแห่งความเงียบผ่านไป คิมยูฮยอนจมลงสู่ห้วงความคิดอันถี่ถ้วนกับคำตอบของหญิงสาว เขาหลับตาลง แต่แล้วก็หันกลับมาพร้อมเอ่ยขึ้นคล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้
“ตอนนี้เงินของเผ่าเหลือเท่าไรแล้ว”
“ไม่ถึงหนึ่งหมื่นโกลด์หรอก”
“ถ้างั้นฉันคงต้องขายอุปกรณ์ของฉันแล้วสินะ”
“คิมยูฮยอน!”
เมื่อคิมยูฮยอนพูดขึ้นมานิ่งๆ หล่อนก็ตะโกนเสียงดัง แต่แล้วก็รีบปิดปากทันที เพราะสายตาเฉียบคมที่มองกลับมา
เขาหันกลับมามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ใบหน้านั้นไร้สีเลือดและซีดเซียวจนเขียวคล้ำ ดูจากร่างกายที่สั่นเทาเป็นครั้งคราว ดูท่าว่าอุณหภูมิร่างกายจะเย็นขึ้นกะทันหัน บางทีความเย็นในห้องก็อาจจะมาจากหญิงสาวบนเตียงก็เป็นได้
คิมยูฮยอนมองท่าทางหนาวสั่นของหล่อนด้วยความสงสาร เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้น
“เราจะเสียฮโยอึลไปแบบนี้ไม่ได้ ไปที่จัตุรัสแล้วก็แปะประกาศตามหาอีลิกเซอร์ ไม่ใช่แค่ในพรินซิก้า แต่ทั่วทั้งทวีปเหนือ จะราคาเท่าไรก็ต้องหามาให้ได้”
คิมยูฮยอนตัดบททันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เป็นเสียงที่แสดงถึงความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ว่าไม่อาจสูญเสียหญิงสาวที่นอนบนเตียงไปได้
* * *
สองเดือนที่แล้ว
เด็กหนุ่มซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ นั่งอยู่ที่ลานน้ำพุในจัตุรัส เขาหลับตาลงพร้อมฮัมเพลงเบาๆ ใบหน้าของเขาดูเหมือนเด็กหนุ่มหน้าตาดีตามหมู่บ้านต่างๆ
ทว่าสายน้ำสีเลือดที่พุ่งจากลานน้ำพุเป็นระยะๆ กับศพที่กองสุมกันกระจัดกระจายไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง หากมองจากฉากหลังนั้นแล้วคงไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังส่งยิ้มบางๆ นั้นเป็นคนดี
ตึ่ก ตึ่ก
เสียงฮัมเพลงของเด็กหนุ่มหยุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมอง จากนั้นก็ส่งยิ้มแล้วพูดขึ้น
“มาแล้วสินะพวกพเนจร”
“พเนจรงั้นเหรอ ก็ไม่ผิดนักหรอก แต่น้อยคนที่เรียกแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเรียกเราว่าพวกเร่ร่อนน่ะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้จะไร้ซึ่งโทนเสียงสูงต่ำ แต่ในเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกระหายชวนให้ขนลุกเกรียว ทว่าเด็กหนุ่มกลับหัวเราะคิกคักราวกับชอบใจ
“ขอโทษที เมื่อกี้ผมใช้เวทแปลภาษา แต่ดูเหมือนว่าจะใช้คำผิดไป”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก คนที่มาเพื่อขอโทษคือทางนี้ต่างหาก ที่รบกวนไปตั้งมากมาย”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ! ผมไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ดีแล้ว แต่ฉันเองก็คงแสดงออกได้เท่านี้ เพราะนี่ก็ดูเหมือนจะสุภาพมากแล้ว”
เมื่อพูดจบชายที่สวมผ้าคลุมเปื้อนเลือดเกรอะกรังก็ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาถือเคียวขนาดใหญ่เอาไว้ เท้าทั้งสองเฉียงขึ้นไม่แตะพื้น เลือดที่ไหลมาตามเคียวแหลมคมนั้นหยดลงบนพื้น เด็กหนุ่มมีสีหน้าสนอกสนใจเป็นครั้งแรก
“โอ้ การต้อนรับของพวกเพื่อนๆ ดูจะหยาบคายนิดหน่อยนะครับ”
“นายจะได้ขนลุกกับความหยาบคายอีกเป็นครั้งที่สอง”
“หือ ทำไมเหรอครับ”
“จู่ๆ ผู้ชายคนหนึ่งก็ล้มลงจากการถูกจู่โจม ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าเขา แต่หมอนั่นหัวเราะขึ้นมา แล้วก็หยิบมีดมาปาดคอตัวเอง”
เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มปรบมือพลางหัวเราะคิกคัก รู้สึกตลกกับคำพูดของชายผู้นั้นอย่างมาก จากนั้นเขาก็เช็ดน้ำตาพลางสงบลมหายใจ ไหล่ของเขายังคงสั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มพูดอย่างร่าเริง
“งั้นเหรอครับ โปรดเข้าใจด้วย เดิมทีก็เป็นคนแบบนั้นน่ะ”
“ฉันได้ยินข่าวลือมากมายในทวีปตะวันตก แต่ก็รู้สึกทุกครั้งที่มาว่าข่าวลือเหมือนจะน้อยลง บอกมาตามตรงสิ เจ้าบ้า ต่อให้เป็นดินแดนของผู้ร้ายมันก็ไม่น่าจะเป็นแบบนี้”
ชายผู้นั้นเปลี่ยนคำพูดแล้วเหลือบมองมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จากนั้นเด็กหนุ่มก็จุ่มมือลงไปในน้ำพุ เขาควานหาบางอย่างและยกมันขึ้นมา
ในมือขวาของเด็กหนุ่มถือศีรษะที่กำลังทำหน้าตาน่ากลัวของชายคนหนึ่งเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวบ่งบอกว่าตอนที่ตาย เขาคงตายอย่างทรมาน
“คนๆ นี้คือ แจ็คเกอรีน ชื่อเล่นของเขาคือผู้ทรยศ เขาเป็นเพื่อนที่ทรงพลังและมีพรรคพวกมากมายในทวีปตะวันตก”
“งั้นนายก็คือมือสังหารไซม่อนใช่ไหม”
“ก็เรียกกันแบบนั้นนะครับ ถึงจะไม่ใช่ชื่อที่น่าพอใจสักเท่าไร”
“ถ้างั้นฉันควรจะเรียกนายว่าไซม่อนสินะ”
เมื่อพูดจบก็เกิดความเงียบระหว่างทั้งสองคนขึ้นอึดใจหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อไซม่อนลูบศีรษะที่ถูกตัดพลางกำไว้แน่นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ไซม่อนค่อยๆ พูดขึ้น
“หลังจากที่เพื่อนคนนี้ตายไป ทวีปตะวันตกก็น่าเบื่อขึ้น…ข้อเสนอของพวกพเนจรน่าสนุกดี จากการตรวจสอบของเราก็เห็นด้วยในระดับหนึ่งกับคำพูดของพวกพเนจร”
“สนุกแน่นอน อาจจะน่าขำที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ในสถานการณ์ที่กำลังขอร้อง แต่พวกนายสนุกกับงานนี้ใช่ไหม”
“เวทแปลภาษาไม่สมบูรณ์แบบขนาดนั้น มีช่องว่างในการตีความ แต่อย่างไรก็ตามทวีปตะวันตกก็กลายเป็นสถานที่รวบรวมขยะที่ถูกขับไล่จากทวีปต่างๆ ไปแล้ว”
“ขยะงั้นเหรอ…”
ชายผู้นั้นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขมขื่น เขายอมรับเงียบๆ เพราะคำพูดของไซม่อนก็ไม่ผิดนัก สังหาร, ปล้น, ข่มขืน, สงคราม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ผู้เล่นในทวีปตะวันตกคุ้นเคยกับคำเหล่านี้ขึ้นมาก ไม่สิ ก้าวข้ามความคุ้นเคยไปแล้ว จะเรียกว่าฝังรากลึกลงไปในจิตใจแล้วได้หรือเปล่านะ
“แจ็คกี้ อ๋อ ชื่อเล่นน่ะ หลังจากที่แจ็คกี้ตาย พื้นที่ที่เขาเคยเติมเต็มก็ว่างเปล่ามาก ความสงบสุขไม่เหมาะกับเรา ผมต้องการสถานที่ที่สามารถหันปลายดาบเข้าหากันและยอมรับเรื่องเหล่านั้นได้ ก็นะ ทางนี้เองก็มีหลากหลายกลุ่มและแต่ละกลุ่มก็มีเรื่องราวที่ซับซ้อนของตัวเอง ผมจะพูดแค่นี้แล้วกัน เพราะถ้าพูดต่อเรื่องมันจะยาวและคุณคงจะไม่สนใจสักเท่าไรด้วย”
“พอใช้เวทแปลภาษาก็เลยมีส่วนที่ไม่เข้าใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ”
“ฮ่าๆ! ในส่วนนั้นผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ โปรดเข้าใจด้วย เอาล่ะ เราเลิกพูดเรื่องน่าเบื่อกันดีกว่า ย้อนกลับไปคุยเรื่องน่าสนใจกันดีไหมครับ”
“นั่นสิ นี่เป็นครั้งที่สามที่พบกับพวกนายอย่างเป็นทางการใช่ไหม”
ไซม่อนกลอกตาไปมาพลางกางนิ้วทีละนิ้ว จากนั้นก็พยักหน้า
“ถ้าแบบเป็นทางการก็คงแบบนั้นละครับ”
“ตอนที่เราพบกันครั้งที่สอง ผู้ใต้บังคับบัญชาของนายยื่นเงื่อนไขมาหนึ่งอย่าง ดังนั้นพวกเราจึงฆ่าแม่ทูนหัวแล้วทำตามสัญญาเพื่อที่จะได้พบกับนาย”
“ผมได้รับข้อมูลหลักฐานแน่นอนครับ ถ้างั้นคุณสงสัยไหมครับว่าทำไมเราต้องยื่นเงื่อนไขให้สังหารแม่ทูนหัว”
“ตามที่นายบอก เหตุผลมันจะเป็นการปูทางเพื่อไปสู่เรื่องต่อไป”
ไซม่อนเอียงคอไปมา เขาไม่เข้าใจคำว่าปูทาง ท่าทีสงสัยพลางเบิกตากว้างของเขาดูไร้เดียงสาเสียจนจะไม่คิดว่าเป็นมือสังหารที่มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี
“การสังหารแม่ทูนหัวก็เพื่อรับประกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่การรับประกันที่ยืนยันได้ แต่ก็เป็นการรับประกันที่มีความเป็นไปได้สูง”
“ฉันขอฟังรายละเอียดมากกว่านี้ได้ไหม”
“ผมจะบอกคุณแน่นอนครับแต่ว่า…”
“ว่าอะไรเหรอ”
ไซม่อนหยุดพูดไปเล็กน้อย เขายกยิ้มที่มุมปากจากนั้นก็พูดเสียงเรียบ
“คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ของแต่ละทวีปไหมครับ”
* * *