บทที่ 1206 ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ลูกธนูดาวตก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1206 ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ลูกธนูดาวตก โดย Ink Stone_Fantasy

แต่ในสายตาคนนอกกลับไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาเห็นแค่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโยนเชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นออกไป แล้วตอนหลังก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เห็นเพียงทัพใหญ่หลายหมื่นคนโดนเหมียวอี้สังหารจนกรีดร้องขวัญกระเจิงอย่างต่อเนื่อง หลังจากบาดเจ็บล้มตายก็ไม่มีใครหนีพ้น กองทัพหลายหมื่นคนถูกซัดจนแพ้ย่อยยับ

สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงที่สุดก็คือ หลังจากทัพแตกแล้ว ก็ไม่มีกำลังพลคนไหนหนีเข้ามาในกลุ่มคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ แต่กลับหนีไปยังจุดลึกในดาราจักร ราวกับว่าต่อให้มีคนมากกว่านี้แต่ก็ไม่มีทางสกัดขวางการไล่สังหารของหนิวโหย่วเต๋อได้ แบบนี้ต้องตระหนกตกใจมากขนาดไหน?

และฉากที่เหมียวอี้เพิ่งสังหารฝ่าศึกเลือดออกมาก็น่าตกตะลึงเช่นนี้ พวกเขามองดูศพที่ลอยอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

ขนาดตกอยู่ท่ามกลางแนวรบ ไม่น่าเชื่อว่าขนาดเชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นก็ยังมัดเขาไว้ไม่ได้!

ไม่น่าเชื่อว่าวงล้อมโจมตีของทัพใหญ่หลายหมื่นคนจะถูกเขาคนเดียวทำศึกเลือดจนแตกพ่ายยับเยิน!

ทัพใหญ่ห้าหมื่นล้อมโจมตี แต่ก็ยังโดนเขาคนเดียวสังหารตายไปสองพันกว่าคนแล้ว!

ก่อนหน้านี้โค่วเหวินชิงยังทอดถอนใจด้วยความเป็นห่วงและทนมองไม่ได้ ตอนนี้นางได้แต่ตกตะลึงพูดไม่ออก จ้องมองคนที่เหมือนปีนออกมาจากกองเลือดอย่างเหม่อค้าง ในใจนึกเสียดายไม่หยุด เหวินหลานมีลูกน้องคนสนิทที่ห้าวหาญขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าตระกูลโค่วจะพลาดไปเพราะผลได้ผลเสียชั่วคราว ถ้าไม่ใช่เพราะโค่วเหวินหลานอยากจะตอบแทนน้ำใจ เกรงว่า…ถ้าทุ่มทรัพยากรฝึกเลี้ยงทหารกล้าแบบนี้ แล้วให้เวลาสักระยะเพื่อรอให้วรยุทธ์สูงขึ้นมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร น่าเสียดายจริงๆ!

ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงค้างอย่างแท้จริง ช่วงสุดท้ายของการทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ นางก็ได้รู้ถึงความห้าวหาญของเหมียวอี้แล้ว แต่ไม่เคยเห็นเหมียวอี้เหี้ยมหาญขนาดนี้มาก่อน อาศัยกำลังรบของตัวเองคนเดียวสู้กับทัพใหญ่หลายหมื่นคนและตีจนแพ้ยับเยิน!

ในจนางเรียกได้ว่าทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่หยุด นักพรตห้าหมื่นกว่าคนที่วรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันโดนหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวทำศึกเลือดจนแพ้ย่อยยับ!

คนหนึ่งคนตีทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทองจำนวนห้าหมื่นคนจนแตกยับหมายความว่าอะไรล่ะ? อย่างน้อยถ้าเอาค่าจ้างของทัพใหญ่ห้าหมื่นไปแลกก็ไม่ขาดทุนอยู่ดี!

ปี้เยว่ฮูหยินไม่รู้ว่าถ้าท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางได้รู้เรื่องนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร คาดว่าถ้าได้รู้แล้วก็คงจะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อมาร่วมการทดสอบครั้งนี้แน่นอน ต่อให้ลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมือง แต่ก็คุ้มค่าที่จะทุ่มทรัพยากรเลี้ยงต่อไป มีพื้นฐานแบบนี้ ต่อให้เป็นหนึ่งหมื่นปีก็ยังคุ้มค่าที่จะรอคอย จะทนแรงกดดันขัดใจกับคนบางพวกก็ไม่เป็นอะไร  ทหารนับพันนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพคนเดียวนั้นหายาก!

“ปี้เยว่ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลุกน้องคนสนิทของเจ้าไม่ใช่เหรอ?” ข้างๆ มีแม่ทัพภาคคนหนึ่งหันกลับมาถ่ายทอดเสียงถาม ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์อิจฉาเล็กน้อยด้วย

“…” ปี้เยว่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี บอกไม่ถูกว่าบนใบหน้าแสดงความรู้สึกอะไร

เดิมทีเขาเป็นลูกน้องคนสนิทของนางจริงๆ นางเองก็นึกไม่ถึงว่าลูกน้องคนสนิทของตัวเองจะห้าวหาญถึงขั้นนี้ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับลูกน้องคนสนิทก่อนจะถึงการทดสอบ นางก็ไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่เข้าใจเลยสักนิด คาดว่าตัวเองคงทำให้เหมียวอี้ผิดหวังไปแล้ว

พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็มานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ในใจเริ่มบ่นโทษท่านโหวเทียนหยวน ในปีนั้นผู้ชายคนนั้นบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนมีฝีมือ ทั้งยังสั่งไม่ให้ตนเมินเฉยไม่ดูแลด้วย ปรากฏว่าพอเจอกับจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเลือกก็เปรียบเปรียบผลประโยชน์ทันที เขาบอกนางว่า ‘คนมีฝีมือที่ไม่มีโอกาสเติบโต ก็เท่ากับเป็นคนไม่มีฝีมือ’ ก็แน่ล่ะ ขนาเจ้ายังไม่ให้โอกาสคนมีฝีมือได้เติบโตเลย แล้วอีกฝ่ายจะเติบโตได้อย่างไรล่ะ? เอาแต่พิจารณาผลประโยชน์ พิจารณาไปพิจารณามาจนมองคนผิด ทำเอาข้าเสียลูกน้องคนโปรดที่สามารถพบเจอแต่ได้มิอาจไขว้คว้าไปหนึ่งคน!

เถิงเฟยเอามือปั่นขยี้เคราครู่หนึ่งขณะจ้องเหมียว จากนั้นก็ลูบเคราต่อไปพลางส่ายหน้าเบาๆ “เดิมทีก็ผ่านการทดสอบมาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งยังอาศัยศักยภาพที่แท้จริงช่วงชิงอันดับหนึ่งมา ไม่ต้องสงสัยในความสามารถแล้ว แต่กลับยังต้องถูกโยนลงมาในนรกอีกครั้ง อาจจะน่าเสียดายไปหน่อยนะ…การทดสอบครั้งนี้ไม่ค่อยยุติธรรม!”

คำพูดสื่อความหมายชัดเจนมาก เกิดรักในความสามารถขึ้นมาแล้ว กังวลว่าเหมียวอี้จะตายอยู่ในนรก

“ไม่มีอะไรยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ถ้าวันนี้เขาผ่านด่านนี้ไปได้ สิ่งที่เข้าจะได้รับกลับมา คิดว่าจะมีแค่คนมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เขางั้นเหรอ? ต้องมีการจ่ายถึงจะมีผลตอบแทน จอมพลเถิง เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ

เถิงเฟยได้ยินแล้วทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ วันนี้ต่างหากที่เป็นการ ‘รบครั้งเดียวเลื่องชื่อ’ ของหนิวโหย่วเต๋ออย่างแท้จริง อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเพื่อตีทัพใหญ่ห้าหมื่นจนแตกพ่าย ผลการรบที่ฆ่าตายไปสองพันคน ขอเพียงแค่รอดชีวิตกลับไปได้ ไม่สนว่าตอนสุดท้ายจะมีคะแนนการทดสอบจะเป็นอย่างไร สำหรับเบื้องล่าง เขาได้ใจคนเต็มที่ ลูกน้องไม่กล้าไม่เชื่อฟัง สำหรับเบื้องบน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีคนมาเสนอตัวรับประกันอนาคตให้เขาเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสามารถได้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกน้องได้ จอมพลเถิงก็จะต้องเน้นเลี้ยงดูฝึกฝนเป็นพิเศษแน่นอน

“ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ การทดสอบครั้งนี้ก็ย่อมทำให้เขาสมปรารถนาแล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือเปล่า” เถิงเฟยกล่าว

“ดังนั้นถึงได้เรียกว่าการทดสอบไงล่ะ”

“กรร…” เฮยทั่นที่เลียกรงเล็บเสร็จพลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ทำลายความเงียบสงบที่อยู่รอบข้างแล้ว

หันหน้ามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็ฯว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก เหมียวอี้ถึงได้เริ่มเก็บกวาดสนามรบ

จุดไหนที่เฮยทั่นแบกเขาไป ทั้งศพทั้งของก็ถูกเหมียวอี้เก็บไปพร้อมกันหมด

เนี่ยกงยังตายไม่สนิท กำลังลืมตาครึ่งหนึ่งหนึ่ง ยังไม่ขาดใจตาย แต่กลับขยับเขยื้อนไม่ได้ ได้แต่มองดูเหมียวอี้ใช้ทวนแทงเข้ามา

ตราบใดที่ยังไม่ตายสนิท เหมียวอี้ก็จะใช้ทวนแทงเสริมเพื่อให้ตาย ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เขาไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน เก็บกวาดของกำนัลจากการรบที่เป็นของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ทุกคนได้แต่มองดูเหมียวอี้เก็บกวาดสิ่งของอยู่อย่างนั้น

ฉากและเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าจะพูดถึงคนที่ตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นจางฮั่นฟางและผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแปดคนของของจวนแม่ทัพภาคตงหัว เรียกได้ว่าทั้งตกตะลึงทั้งหวาดกลัวเมื่อนึกย้อนไป พอนึกถึงภาพที่ตัวเองดูหมิ่นผู้บัญชาการใหญ่หนิวตอนนั้น แล้วมองดูผู้บัญชาการใหญ่หนิวในตอนนี้อีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกหนาวหลังคอ อีกฝ่ายกลัวพวกเขาเสียที่ไหนกัน แค่ยังไม่แผลงฤทธิ์ก็เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะยังรอดชีวิตอยู่อย่างนี้เหรอ!

ซูลี่ที่ตามก้นพวกเขาอยู่ก็ยิ่งหน้าซีด ทั้งมือเท้าทั้งหนังศีรษะชาวาบ วันนี้ถึงได้รู้ว่าอำนาจบารมีของผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่ปกคลุมตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นคนที่ซูลี่จะไปสบประมาทได้เหรอ…

จ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนจ้องมองการกระทำของเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าควรจะก้าวขึ้นไปท้าสู้หรือไม่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้พูดจาโอหังต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว แต่ศักยภาพของหนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลยจริงๆ นางไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้

เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อยู่แถวหน้าของกลุ่มคนเช่นเดียวกัน เขากำลังจ้องเหมียวอี้ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดอย่างตะลึงค้าง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะห้าวหาญโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้ พอนึกถึงสัญญาศึกตัดสินที่ตัวเองลงนามกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ มุมปากก็กระตุกนิดหน่อย

ยังไมต้องพูดถึงเรื่องนั้น โชคดีที่ตนลงนามสัญญาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างตน ก็เกรงว่าคงจะไม่ถึงคราวให้จาเหรินจวิ้นลงสนามหรอก ตนคงจะกระโดดออกไปลุยก่อนแล้ว พอลองนึกถึงผลลัพธ์นั้น เขาก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน ได้แต่เหล่ตามองต่งอิ้งเกาที่พูดจาโอหังไว้ก่อนหน้านี้

“ทักษะของหนิวโหย่วเต๋อร้ายกาจกว่าในปีนั้นไม่ใช่น้อยๆ!” ฝานอวี้เฟยพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็เหล่ตามองต่งอิ้งเกาเช่นกัน แต่กลับพูดหยอกล้อว่า “ต่งอิ้งเกา เจ้าบอกว่าเจ้าจะเด็ดหัวเขามาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ทำไมไม่พูดอะไรสักคำล่ะ กลัวแล้วล่ะสิ?”

“ช้างหน้าขำ! ข้าน่ะเหรอกลัวเขา? ขาก็แค่ให้เขาช่วยเก็บของให้ข้าเท่านั้นเอง” ต่งอิ้งเกาพูดดูถูก

ไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น มือก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ชักช้า พลิกมือถอด ‘ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์’ ที่สะพายอยู่บนบ่าลงมา ตัวธนูขยายใหญ่หนึ่งเท่าในชั่วพริบตาเดียว พอกางนิ้วทั้งห้า ลูกธนูดาวตกอันแหลมคมที่เต็มไปด้วยลายเมฆก็ปรากฏขึ้นมาสามดอก คีบอยู่ระหว่างนิ้วพร้อมกัน ลูกธนูสามดอกขึ้นสายพร้อมกัน

ชิวพริบตาที่ดึงสายธนู บนธนูโค้งที่งามประณีตจะมีแสงสีทองสายหนึ่งกระเพื่อมราวกับเป็นระลอกคลื่น เมื่อดึงสายธนูเต็มที่ ลำแสงนั้นก็ออกจากสองฝั่งไปรวมอยู่ที่สายธนูทันที

ต่งอิ้งเกาที่กางแขนดึงสายธนูเบี่ยงทิศทางเล็กน้อย คมธนูเล็งไปยังเหมียวอี้ที่กำลังเก็บกวาดของกำนัลจากการรบ ผลปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้ก็เงยหน้าช้าๆ มองมาที่เขาเช่นกัน

เหมียวอี้ยังไม่อวดดีถึงขั้นมองข้ามทุกสิ่งอย่าง ตอนที่เก็บของบนสนามรบก็ยังคอยระแวดระวังรอบข้างอยู่ตลอด ต่งอิ้งเกาที่ยืนอยู่แถวหน้าคุยโวโอ้อวดขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองไม่เห็น

ต่งอิ้งเกาไม่แยแส มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อยอย่างเยือกเย็น จะเห็นได้ว่ามีความมั่นใจในตัวเองขนาดไหน

ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่ทางซ้ายและขวา นิ้วทั้งห้าของต่งอิ้งเกาพลันปล่อยสายธนู ลำแสงบนสายธนูที่ตึงแน่นเชื่อมโยงไปถึงลูกธนูดาวตกสามดอกในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงดังสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมไปรอบด้าน ลูกธนูสามดอกพลันยิงออกจากสาย พังทลายกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสามสายรูปตัวอักษร ‘品’ และหายไปอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของลูกธนูทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาพบว่าตรงส่วนหน้าของลำแสงสามสายมีจุดสีดำสามจุดกำลังหมุนวน ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่าจุดสีดำตอนที่เขาลงมือ มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว แต่ก็ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร

ภายใต้สถานการณ์คับขัน เหมียวอี้รีบกระโดดขึ้นจากหลังเฮยทั่น ต้องการจะหลบหลีก

แต่ใครจะคิดว่าลำแสงสามสายนั้นจะเลี้ยวยิงเข้ามาเป็นเส้นโค้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถไล่ติดตามยิงได้ นี่คือสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้มาก

“บัดซบ!” เหมียวอี้ตะโกนเสียงดัง โบกทวนตีอย่างบ้าคลั่ง บนหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวนอยู่เหมือนกัน

แต่สิ่งที่ทำให้เขารับมือลำบากก็คือ ทวนเกล็ดย้อนฟันโดนลำแสงสองสายนั้นไปแล้วแท้ๆ แต่กลับวาดผ่านลำแสงไป ไม่มีวัตถุจริงใดๆ กีดขวาง รู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ราวกับช้อนเงาพระจันทร์จากในน้ำ

ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงสามสายก็มาถึงด้านหน้าของหน้าอกเขา แล้วปรากฏเป็นร่างจริงอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกธนูของจริงสามดอกที่มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวลอยหมุนวน ฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาอย่างเหี้ยมโหด

แกร๊งๆๆ! มีเสียงสะเทือนดังขึ้นสามครั้งแทบจะพร้อมกัน ลูกธนูสามดอกยิงโดนหน้าอกและท้องของเหมียวอี้

อั้ก! เหมียวอี้เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกระอักเลือดสดคำหนึ่ง สะเทือนจกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง สูญเสียแรงโน้มถ่วงและกำลังลอยกลิ้งอยู่กลางอากาศไม่หยุด

ส่วนลูกธนูดาวตกสามดอกที่ยิงโดนเหมียวอี้ก็พลิกกลางอากาศ ยิงย้อนกลับไปอีก ความเร็วสู้ตอนที่ยิงออกมาไม่ได้ พอต่งอิ้งเกากางนิ้วทั้งห้า ลูกธนูดาวตกสามดอกก็ถูกคว้ากลับมาอยู่ในมือเขา

พอบุ้ยปากไปทางเหมียวอี้ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าอย่างไร้แรงโน้มถ่วง ต่งอิ้งเกาก็ใช้สายตาเหยียดหยามมองฝานอวี้เฟยที่ค่อนข้างตกใจ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “สาวงามผมแหว่ง เป็นยังไงล่ะ? ข้าเด็ดหัวหนิวโหย่วเต๋อได้ง่ายๆ เหมือนหยิบของในกระเป๋าเท่านั้น!”

ฝานอวี้เฟยมองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือของเขาอย่างอึ้งๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าธนูนี้จะมีอานุภาพมากขนาดนี้ พอยิงธนูครั้งเดียวก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อที่เมื่อครู่นี้ยังองอาจห้าวหาญล้มคว่ำแล้ว

“ดี!” ทันใดนั้น เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปรบมือพร้อมตะโกนชมเสียงดัง

“ดี!” กำลังพลของกระบวนทัพเดียวกันตะโกนตามทันที

“ดี!” บางกระบวนทัพที่ขัดแย้งกับเหมียวอี้ก็ตะโกนชมเช่นกัน เมื่อครู่นี้ถูกพลังอำนาจของเหมียวอี้ข่มจนหายใจไม่ทั่วท้อง นึกไม่ถึงว่าพอโดนลูกธนูที่อยู่ฝั่งนี้ก็ล้มคว่ำแล้ว ทำให้ขวัญกำลังใจในการรบของทุกคนเพิ่มขึ้นทันที

“ของไม่เลวเลยนี่ วันหลังข้าขอยืมเล่นมั่งสิ”

ท่ามกลางเสียงตะโกนชม จู่ๆ ก็มีเสียงที่ไม่เข้าพวกดังขึ้นหนึ่งประโยค เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่จ้องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตาเป็นมันกล่าวขึ้นมา

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ต่งอิ้งเกาก็ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ในใจบ่นด่าอย่างบ้าคลั่ง นิสัยอย่างเจ้าน่ะ ของที่ให้ยืมไปแล้วยังมีหวังจะได้กลับคืนมาอีกเหรอ?

ฝานอวี้เฟยกลั้นขำ คิดในใจว่าพี่ชายแท้ๆ ของผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วไม่ใช่คนดีอะไรนัก มีชื่อเสียงเรื่องไร้เหตุผล พอต่งอิ้งเกาโดนพัวพันอยู่แบบนี้ เดี๋ยวเจ้าตัวคงได้เป็นทุกข์แน่

“อ๋าว…” เสียงคำรามอันเดือดดาลช่วยแก้ไขความลำบากใจของต่งอิ้งเกาแล้ว

ทุกคนหันไปมอง เห็นสัตว์พาหนะที่สวมเกราะรบของของหนิวโหย่วเต๋อคำรามหนึ่งครั้ง ราวกับเป็นบ้าประสาทเสียไปแล้ว มันพุ่งเข้ามาอบ่างบ้าบิ่น ตรงไปหาต่งอิ้งเกา

ต่งอิ้งเกาทำสีหน้าเหยียดหยาม ลูกธนูดาวตกสามดอกดึงเหนี่ยวอยู่บนสายธนู ปั้ง! เสียงระเบิดดังท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่สาดซัด

แกร๊งๆๆ! เฮยทั่นโดนลูกธนูสามดอกภายในชั่วพริบตาเดียว ร่างกายที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็สะเทือนจนกระเด็นออกไปได้เหมือนกัน

“ดี!” กลุ่มคนตะโกนชมอีกครั้ง

แต่ความทนทานของเฮยทั่นนั้นไม่ธรรมดา ร่างกายม้วนกลิ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เลี้ยวกระโจนเข้ามาอีก

ต่งอิ้งเกาตกตะลึงนิดหน่อย เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะถึกทนขนาดนี้ เขากวักมือเรียกลูกธนูดาวตกสามดอกกลับมาแล้วง้างสายธนูอีกครั้งทันที

แกร๊งๆ! เฮยทั่นถูกทำให้สะเทือนจนกระเด็นอีกครั้ง

ทว่าพอเฮยทั่นยืนอย่างมั่นคงได้ มันก็โผเข้ามาอีก สู้สุดชีวิตแบบไม่ตายเลิกจริงๆ!

“ข้าก็อยากจะเห็นว่าเดรัจฉานอย่างเจ้าจะทนลูกธนูของข้าได้สักกี่ครั้ง!” ต่งอิ้งเกาแสยะยิ้ม ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่ายิงจนเฮยทั่นล้มคว่ำ ราวกับกำลังเล่นกับเด็กสามขวบ

…………………………