ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 8.1 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 8 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

“อ้าว พี่หญิงหลิง ท่านมาทันเวลาพอดี เรานี่สมเป็นพี่สาวน้องสาวหัวใจเดียวกันจริงๆ ฮ่าๆๆ”

“ใครอยากจะเป็นพี่สาวน้องสาวกับเจ้ากัน คนวิตถาร…”

“ฮ่าๆๆ อย่าเขินไปหน่อยเลยน่า”

ภายในอาคารหลัก หวังลู่ระเบิดหัวเราะขณะพยายามหลุดพ้นจากอาคมที่สะกดร่างเขาเอาไว้อย่างหนัก ในที่สุดความรู้สึกของเขาก็ค่อยๆ กลับมา

ทว่าอาคมสามอย่างเมื่อครู่นี้ถือว่าร้ายแรงไม่เบา เมื่อไม่มีกระบี่แห่งเขาคุนในมือ เขาจึงไม่อาจใช้วิชากระบี่สะบั้นไร้ลักษณ์เพื่อล้างอาคมได้ สามอาคมเมื่อครู่เทียบเท่ากับการถูกฝังร่างอยู่ใต้หิมะถล่มก็ไม่ปาน! แต่ต้องขอบคุณกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์และโล่ระฆังทองไร้ลักษณ์ที่แข็งแกร่งของเขา เขาจึงไม่ถูกอาคมนั่นบีบจนตาย! นี่หากทูตสี่ดาวขั้นฝึกปราณระดับสูงคนนั้นเป็นคนร่ายอาคม ไม่แน่ว่านางอาจตกใจจนตายไปแล้วก็ได้!

การจะต่อกรกับผู้ที่มีขั้นตบะสูงกว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อขั้นตบะนั้นแตกต่างกันมาก อาจกล่าวได้ว่าช่องว่างของความต่างนั้นกว้างเท่าโลกเลยก็ได้ พลังของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานปรากฏให้เห็นอย่างเต็มที่ไปแล้ว

หวังลู่ถอนหายใจ “ตบะขั้นสร้างฐาน ทำไมถึงได้ทรงพลังนัก”

“ระยำ! เจ้าน่ะสิสวะ หมอนี่น่ะแค่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานดาดๆ หากเขาเป็นศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานจากสำนักกระบี่วิญญาณล่ะก็ อาคมสามอย่างนั่นต้องฟาดหน้าเจ้าลงไปนอนกับพื้นแล้ว” ขณะมัดผู้บำเพ็ญเซียนเฒ่าที่หมดสติอยู่ เถ้าแก่เนี้ยก็พูดจาว่าร้ายชายผู้นี้อย่างอุกอาจไปด้วย

“หึ นี่หากข้ามาไม่ทันเวลา เจ้าคงถูกตาแก่ลามกนี่ปู้ยี่ปู้ยำไปไหนต่อไหนแล้ว! ไหนเจ้าพูดนักพูดหนาว่าในฐานะศิษย์ผู้สืบทอด เจ้าสามารถเอาชนะคนที่มีขั้นตบะสูงกว่าได้ยังไงเล่า น่าขำสิ้นดี!”

อีกฟากหนึ่งของห้อง หวังลู่ใช้วิชากระดูกจักรพรรดิไร้ลักษณ์จัดระเบียบกระดูกทั้งหมดในร่างให้อยู่เป็นที่เป็นทางตามเดิม ปากก็โต้ตอบคำพูดไม่รื่นหูของเถ้าแก่เนี้ยอย่างฉุนเฉียว “ก็ข้าไม่มีอาวุธในมือเสียหน่อย ครั้งนี้ข้ากระโจนมาจนถึงขั้นนี้ก็เพื่อเปิดช่องให้ท่านโจมตี เหตุใดท่านถึงจับผิดข้ากันเล่า หากท่านเป็นข้า ถามหน่อยท่านจะจัดการกับเจ้าหมอนี่โดยลำพังได้หรือ ก่อนที่ท่านจะได้เข้าใกล้เขา คงถูกค่ายกลของเขาจัดการไปนานแล้ว! เอาเถอะ ท่านไม่ต้องกลัวว่าเขาจะแก้แค้นท่านหรอกนะ เพราะท่านน่ะอกไม้กระดาน! เขาไม่อยากจะชายตาแลด้วยซ้ำ!”

“ระยำ! หากเจ้าพูดว่าอกไม้กระดานอีกคำเดียว เจ้ากับข้าขาดกัน!”

“พอที ท่านจะมัวต่อล้อต่อเถียงข้าอยู่ทำไม ไปตามจับทูตสี่ดาวนั่นก่อนที่นางจะหนีไปเร็วเข้า”

เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างฉุนเฉียว “ข้าต้องให้เจ้ามาสั่งงั้นหรือ ตอนข้าเข้ามา ข้าก็จัดการนางไปเรียบร้อยแล้ว… โชคดีที่ข้าว่องไวพอ ไม่อย่างนั้นก็คงมาช่วยเจ้าไม่ทัน”

“เฮ้ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษคนเดียวสิ ถ้าไม่มีข้าดึงความสนใจตาแก่ลามกนี่ไว้ ท่านจะแอบเข้ามาได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ที่เป็นแบบนี้เพราะเราสองคนร่วมมือกันต่างหาก ความดีความชอบก็ต้องแบ่งกันครึ่งครึ่งระหว่างท่านกับข้า เข้าใจไหม”

เถ้าแก่เนี้ยตัดบท “ตามใจเถอะ…ใครจะอยากได้ความดีความชอบไร้ประโยชน์พรรค์นี้กัน ถามหน่อยเจ้าจะภูมิใจไปทำไม หมอนี่มันก็แค่สวะขั้นสร้างฐานเท่านั้นเอง!”

แน่นอนว่าหวังลู่ภาคภูมิใจ ไม่ใช่ภูมิใจที่เขาร่วมมือกับเถ้าแก่เนี้ยเอาชนะคนที่มีขั้นตบะสูงกว่าตัวเองได้ แต่ภูมิใจที่…

ได้ผู้อาวุโสหกดาวเป็นตัวประกันเช่นนี้ ก็ไม่ต้องหาฐานที่ตั้งของสำนักเจ็ดดาราให้เหนื่อยแรงแล้ว! ในฐานะผู้อาวุโสของสำนัก สถานะของชายแก่ผู้นี้ต้องสูงไม่น้อย หากพาตัวชายแก่นี่กลับหมู่บ้าน ภารกิจนี้ก็ถือว่าลุล่วงแล้ว

แม้หวังลู่จะไม่คิดว่าการพาตัวผู้อาวุโสกลับไปจะแก้ปัญหาที่หยั่งลึกของหมู่บ้านตระกูลหวังได้ แต่…

“เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่”

ขณะที่หวังลู่กำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง ตาแก่ลามกก็ได้สติ เห็นได้ชัดว่าร่างกายของผู้ฝึกเซียนขั้นสร้างฐานนั้นแข็งแกร่งกว่าร่างกายของผู้ฝึกเซียนขั้นฝึกปราณหลายเท่านัก

เป็นเพราะหมัดของเถ้าแก่เนี้ยเกือบจะทำลายวิหารหยกของเขา และจิตใจของเขายังคงบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ดังนั้นแม้สติของเขาจะฟื้นคืนมา แต่ก็ไม่สามารถเดินพลังอิทธิฤทธิ์ได้แม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ต่างจากถูกทำให้พิการเลย ความจริงเถ้าแก่เนี้ยเพียงมัดเขาไว้ง่ายๆ เท่านั้น หากเป็นเมื่อก่อน แค่เพียงดีดนิ้วเขาก็จะหลุดจากการถูกมัดอย่างง่ายดาย แต่ทว่าตอนนี้เขากลับไม่อาจเป็นอิสระจากมันได้

ทว่าเหตุการณ์นี้กลับแฝงเรื่องดีให้กับเขา หมัดของเถ้าแก่เนี้ยนอกจากจะทำให้ดวงจิตและพลังอิทธิฤทธิ์ในวิหารหยกของเขาแตกซ่าน มันก็ยังดับไฟราคะของเขาลงด้วย… แม้ราคาที่ต้องจ่ายคือการที่ทักษะถูกย้อนกลับไปหลายปี แต่ก็ถือว่าดีกว่ามากหากต้องมาตายเพราะลมปราณแตกซ่าน

“หะ เหตุใดพวกเจ้าจึงลอบเข้ามาโจมตีข้า ข้าไปทำอะไรให้หมางใจงั้นหรือ”

เถ้าแก่เนี้ยขมวดคิ้ว “น่ารังเกียจ ต้องมาฟังตาแก่ลามกนี่พูดข้าแขยงหูนักเชียว… ข้าจะไปรอข้างนอก พวกวิตถารสองคนก็คุยกันไปเองแล้วกัน”

“ระยำเถอะ! ข้าเป็นหนุ่มหน้ามนจากตระกูลที่น่านับถือ ไม่ใช่พวกวิตถารเสียหน่อย!”

“คนที่สวมกระโปรงเพื่อล่อลวงตาแก่ลามกอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้นหรอกย่ะ”

“ชิ ไม้กระดานหงำเหงือกวัยสามสิบอย่างท่านก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวหาคนอื่นเช่นกัน”

“…ช่างเถอะ ข้าขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยทำปากยื่นแล้วเดินตรงออกจากห้องไป ทิ้งให้หวังลู่และชายชราอยู่ในห้องกันตามลำพัง

หวังลู่เอนตัวไปด้านหน้า “เจ้าจำข้าได้ไหม”

การมองเห็นของตาแก่ลามกยังคงพร่าอยู่เพราะหมัดของเถ้าแก่เนี้ย ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็อุทานออกมา “หวังลู่!?”

“โอ้ ดูท่าว่าเจ้าจะรู้จักข้า เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร”

“…ข้ายอมแพ้”

ตาแก่ลามกผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มีประสบการณ์โชกโชน ณ ขณะนี้ เขามีความคิดมากมายอยู่ในหัว และตัดสินเลือกข้อที่ฉลาดที่สุด

ไม่ว่าเขาจะแพ้ได้อย่างไร จากการปรากฏตัวของหญิงสาวอย่างฉับพลันหรือว่าข้ออื่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไปไกลเกินกว่าที่เขาจะจัดการอะไรได้แล้ว ความเข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามเองก็มากกว่าที่เขาคาดคิดไว้… พูดตามตรง เขาเองก็ออกจะเชื่อคำคาดเดาของผู้อาวุโสอีกคนในการประชุมกันที่ฐานที่ตั้งเมื่อคราวก่อนไม่น้อย

เป็นไปได้หรือไม่ที่หวังลู่จะเป็นศิษย์ของหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ และสาเหตุที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขั้นกำเนิดใหม่ลงจากภูเขาเพื่อแก้แค้นให้กับศิษย์ของตน อาจเป็นเพราะนี่เป็นการเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์รูปแบบหนึ่งก็ได้ ตอนที่เขายังเป็นศิษย์ของหนึ่งในสำนักพันธมิตรหมื่นเซียนนั้น เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนน อีกทั้งตอนนี้เขายังรู้สึกยินดีมากที่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้น… หากเขาไปรบกวนผู้เชี่ยวชาญขั้นกำเนิดใหม่เข้าล่ะก็ มีหวังเขาต้องพบจุดจบที่อนาถอย่างแน่นอน!

เมื่อเห็นว่าตาแก่ลามกยอมจำนนอย่างว่าง่าย หวังลู่ก็ผงะไป “หึ เจ้านี่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จริงนะ! ดี งั้นสารภาพความผิดที่สำนักเจ็ดดาราทำต่อหมู่บ้านตระกูลหวังมาย่อๆ ซิ”

ตาแก่ลามกถอนใจและยอมเปิดเผยความลับทั้งหมดเท่าที่เขารู้แต่โดยดี

ตาแก่ลามกผู้นี้มีนามว่าเหออวิ๋น เมื่อครั้งยังหนุ่มเคยเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน แต่เพราะทำผิดกฎความรุนแรงของสำนักและความก้าวหน้าของการบำเพ็ญตบะเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทำให้เขาถูกขับออกจากสำนัก หลังจากที่พเนจรอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นหลายปี เขาก็บังเอิญได้เข้าร่วมสำนักเจ็ดดารา และเริ่มทำธุรกิจมืดที่น่าชังนี้

ทว่าการที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวพันในหมู่บ้านตระกูลหวังก็เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในอาณาจักรเก้าแคว้น หากไปยั่วยุหวังลู่ บุคคลประเภทที่ชอบฝ่าอาณัติสวรรค์เข้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าอะไร ส่วนที่เหลือนั้นหวังลู่ก็ได้รู้ไปหมดแล้ว

“เจ้าจะให้ข้าไปที่หมู่บ้านตระกูลหวังเพื่ออธิบายความจริงให้ชาวบ้านฟัง?”

ตาแก่ลามกเผยสีหน้าครุ่นคิดขณะนอนอยู่ที่พื้น “ข้าว่าเรื่องนี้คงไม่มีประโยชน์”

หวังลู่ซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ถามกลับทันควัน “ไม่มีประโยชน์ตรงไหนกัน”

ตาแก่ลามกละล่ำละลักอธิบาย “คือ…เท่าที่ข้ารู้ สำนักเจ็ดดาราก็หลอกลวงชาวบ้านมาตั้งหลายปี… หากเจ้าอยากให้พวกเขาคืนสติล่ะก็ นอกจากจะถูกตีจนปางตายจริงๆ ข้าว่าก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว หากความละโมบของคนเรานั้นทะลวงมาจนถึงด้านบนแล้ว ก็ยากที่จะกดมันลงไปดังเดิมได้ แม้ข้าจะไปอธิบายให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็อาจคิดว่าเจ้าติดสินบนข้าให้มาพูดก็ได้”

หวังลู่พ่นลม “อืม แล้วอย่างไรต่อ”

ตาแก่ลามกอยากจะพูดใจจะขาดว่า ‘เลิกล้มความคิดเลื่อนลอยของเจ้าเสียเถอะ…อย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นถึงศิษย์ของห้าสำนักวิเศษ เหตุใดจึงต้องใส่ใจชาวบ้านหลังเขาโง่เง่าแค่หยิบมือเดียวด้วยเล่า สำนักกระบี่วิญญาณของเจ้าสั่งสอนให้เจ้าตัดขาดจากโลกปุถุชนมิใช่หรือ อีกอย่าง หากเจ้าใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์กับคนในโลกมนุษย์เหลือเกิน เจ้าก็แค่พาพ่อแม่กับคนสำคัญที่เจ้ารักคนอื่นๆ กลับไปที่สำนักก็พอ คิดจะแก้ปัญหาของชาวบ้านงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก!’

แต่ตอนนั้น ตาแก่ลามกผู้นี้ทำได้เพียงนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเท่านั้น

หวังลู่เองก็ไม่ได้คาดหวังให้ตาแก่ตอบคำถามเขา หากแม้เขาเองยังคิดหาคำตอบให้กับปัญหานี้ไม่ได้ แล้วตาแก่ลามกนี่จะหาคำตอบให้เขาได้อย่างไร ตอนนี้ ปัญหาเรื่องพวกฉ้อฉลและพวกโง่เง่านี่ไม่สลักสำคัญอีกแล้ว! แม้ว่าตอนนี้เขาสามารถทำลายสำนักเจ็ดดาราลงได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด

สำนักเจ็ดดาราเปิดหนทางสู่โลกแห่งเซียนให้พวกโง่เง่าในหมู่บ้านตระกูลหวังได้รับรู้ พวกชาวบ้านไม่อาจยอมรับ…ว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน พวกเขาจึงแสวงหาหนทางแห่งเซียนอย่างสุดจิตสุดใจ ดังนั้นแม้เขาจะกำจัดสำนักเจ็ดดาราไปแล้ว แต่ตราบเท่าที่พวกชาวบ้านยังไม่ได้เป็นเซียน ต่อไปก็ย่อมต้องเกิดสำนักแปดดารา สำนักเก้าดารา… โธ่เอ๊ย พอคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เขาก็อยากจะแบกกระบี่ไปฆ่าพวกชาวบ้านเสียให้สิ้นซาก นี่แหละจึงจะถือเป็นการจบปัญหาอย่างแท้จริง!

แม้ในใจเขาจะรู้สึกเศร้า ทว่าภายนอกเขาดูผ่อนคลายไม่น้อย เขาฉุดตาแก่ลามกให้ลุกขึ้น “เจ้าบอกว่าในอดีต เจ้าเองก็เป็นคนดีและต้นกำเนิดก็ไม่ได้ย่ำแย่ แล้วเหตุใดจึงลดตัวเองลงมาเข้าร่วมกับสำนักเจ็ดดาราแล้วกลายเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้าสำนักได้เล่า”

ตาแก่ลามกทบทวนความทรงจำและยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “เจ้าสำนักของเราก็ไม่ได้ชอบที่เป็นแบบนี้หรอก เพราะเขาเองก็มาจากพันธมิตรหมื่นเซียนเช่นกัน… ความจริงแล้วครึ่งหนึ่งของผู้อาวุโสก็รู้สึกเช่นนี้ แม้เราจะเป็นเพียงสำนักสวะในสายตาพวกเจ้า แต่ท่ามกลางสำนักสวะด้วยกัน สำนักเจ็ดดาราก็ถือว่าเป็นสำนักหนึ่งที่มีความก้าวหน้า”

“อ้าว ทั้งที่พวกเจ้าเองก็มีรากฐานไม่เลว ทำไมจึงไม่ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างถูกต้อง ทำไมไม่ปล่อยชาวบ้านหลังเขาพวกนั้นไปเสียเล่า”

ตาแก่ลามกกล่าวว่า “ผลประโยชน์มันบดบังการตัดสินใจของเรา… การบำเพ็ญเซียนของพวกระดับสูงในสำนักเจ็ดดาราย่อมต้องพบเจอกับแรงต้าน นั่นคือยากที่พวกเขาจะฝึกให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ ความท้อแท้ใจของพวกเขาจึงนำมาสู่ความปรารถนาที่เพิ่มพูนขึ้น ดอกผลที่ได้จากการหลอกลวงชาวบ้านหลายปีมานี้มหาศาลนัก ทำให้พวกเขาไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ แถมสองสามปีมานี้ มีอุปกรณ์คุณภาพดีๆ ที่เอาไว้ใช้หลอกลวงผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมักได้ผลดีเยี่ยม ในยุครุ่งเรืองของสำนักเจ็ดดารา เมื่อเราแผ่อิทธิพลลงไปตามเมืองหลวงต่างๆ ในจำนวนผู้คนนับหมื่นที่อาศัยอยู่ที่นั่น ย่อมมีถึงหกเจ็ดส่วนที่กลายมาเป็นผู้ติดตามของสำนักเรา! ในยุคนั้น ต่อให้ต้องสั่งสอนศิษย์ชั้นเลวก็ไม่ถือว่าแย่ เพราะพวกเขาร่ำรวยเงินทอง เมื่อเทียบกับสำนักที่ไร้ความสามารถและอับวาสนา ที่เชื่อว่าหากฝึกหนักพอก็สามารถท่องอยู่บนเส้นทางแห่งเซียนได้ สำนักเราถือว่าดีกว่าหลายขุม!”

เมื่อได้ยินดังนี้ หวังลู่ก็เกิดความสนใจขึ้น “ร่ำรวย? พวกเขาจะร่ำรวยได้อย่างไร ทรัพย์สมบัติของปุถุชนเมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ถือว่ามากมายมิใช่หรือ”

…………………………………………………