บทที่ 393.1 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเดินขึ้นหอซิ่วโหลวซึ่งเป็นห้องหอของสตรี

เขาบอกให้จูเหลี่ยนและเผยเฉียนรออยู่ข้างนอก ส่วนเขาพาแค่สือโหรวเดินเข้าไปข้างใน

ก่อนจะเข้าไป เฉินผิงอันเคาะประตูบอกสาเหตุที่มาเยือนก่อน บอกว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วต้องการให้พวกเขามาดูห้องของคุณหนูหลิ่วว่ามีปีศาจจิ้งจอกซ่อนตัวอยู่หรือไม่

ครู่หนึ่งต่อมา หลิ่วชิงชิงที่แต่งตัวประทินโฉมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเปิดประตู

เฉินผิงอันรู้จักสาวใช้คนนี้ นางคือบุตรสาวของพ่อบ้านผู้เฒ่า เป็นเด็กสาวที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยนคนหนึ่ง ทว่าความสนใจส่วนใหญ่ของเขายังคงอยู่ที่ตัวของหลิ่วชิงชิงที่เล่าลือกันว่าถูกปีศาจจิ้งจอกล่อลวงจิตใจมากกว่า

ครั้งแรกที่เห็นหลิ่วชิงชิง เฉินผิงอันรู้สึกว่าข่าวลืออาจจะเกิดจากการฟังความข้างเดียวมากเกินไป หว่างคิ้วของคนแสดงออกให้เห็นถึงสภาพจิตใจ หากคิดจะแสร้งทำเป็นหม่นหมองไร้ประกายนั้นง่ายมาก แต่หากคิดจะแสร้งทำเป็นมีชีวิตชีวากลับยากยิ่ง

เฉินผิงอันทั้งโล่งใจทั้งเกิดความกังวลอย่างใหม่ ด้วยภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้อาจจะคลี่คลายได้ง่ายกว่าที่คิดไว้ เพียงแต่ว่าใจคนเหมือนกระจก แตกง่าย แต่กลับซ่อมแซมแก้ไขได้ยาก

ทว่านั่นก็เป็นโชคชะตาจากผลกรรมของเด็กสาวผู้นี้เอง เฉินผิงอันช่วยคนได้ แต่ไม่อาจซ่อมแซมสภาพจิตใจของสตรีที่พบกันเพียงผิวเผินได้ และเขาก็ไม่มีทางจะทำ

แม้ว่าหลิ่วชิงชิงจะเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่พันธนาการในครอบครัวมีไม่มาก จึงเคยเห็นบุรุษรูปงามมากความสามารถของแคว้นชิงหลวนมามากมาย ด้านในหอเรือนยังมีกรงหลวนที่เอาไว้เลี้ยงภูติประหลาดอีกหนึ่งใบ แต่สำหรับเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนบนภูเขาที่แท้จริง นางกลับยังรู้สึกสนใจใคร่รู้อยู่มาก ดังนั้นเมื่อนางเห็นคนหนุ่มที่ไม่ถือว่าหล่อเหลาสักเท่าไหร่ แต่กลับมีลักษณะท่าทางที่อบอุ่นอ่อนโยน ปมในใจก็ลดน้อยลงไปมาก ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นห้องหอของสตรี การที่คนนอกเหยียบย่างเข้ามาทำให้หลิ่วชิงชิงอดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างที่รู้จักแต่การเข่นฆ่า หรือเป็นพวกเซียนซือที่มีจิตใจคิดคด นางจะทำอย่างไร?

เฉินผิงอันกุมหมัดขออภัย “พวกเราทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามหลักมารยาท แต่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและเทพแห่งผืนดินของสวนสิงโตเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของคุณหนูหลิ่ว หวังว่าคุณหนูหลิ่วจะให้อภัย ข้าแซ่เฉิน ผู้ติดตามแซ่สือ”

หลิ่วชิงชิงถึงได้มองเห็นผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียนซือหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ เขามีสายตาเย็นชาเฉยเมย นางเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เฉินเซียนซือและผู้อาวุโสสือมาเพื่อช่วยเหลือข้า ไม่จำเป็นต้องยึดติดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เชิญพวกท่านค้นได้ตามสบาย”

สาวใช้จ้าวหยารู้สึกขับข้องใจเล็กน้อย คุณหนูก็จริงๆ เลย คนกลุ่มนี้ผลีผลามมาเยี่ยมเยือน ความคิดแรกของคุณหนูกลับกลายเป็นว่าในห้องหอมีบุรุษคนอื่นเข้ามา หากเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้นรู้จะไม่ชอบใจหรือไม่

สำหรับเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่จำแลงร่างมาจากปีศาจจิ้งจอกตนนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดแน่นอนว่าจ้าวหยาต้องหวาดเกรงเขาเป็นอย่างมาก ครั้งแรกที่เจอกัน นางตกใจกลัวถึงกับรีบหยิบกรรไกรขึ้นมาเตรียมจะสู้ตายกับอันธพาลที่บุกเข้ามาในห้องหอผู้นั้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคุณหนูห้ามปรามเอาไว้ และเมื่อผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา จ้าวหยาพยายามเกลี้ยกล่อมคุณหนูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล นางจึงได้แต่มองดูคุณหนูทรุดโทรมผ่ายผอมลงไปทุกวัน จำต้องข่มกลั้นความเศร้าและความเจ็บแค้นในใจ พยายามปรนนิบัติคุณหนูให้กินอาหารที่ดีที่สุด

เฉินผิงอันหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟขึ้นมาหนึ่งแผ่น ยันต์พลันติดไฟลุกไหม้ เพียงแต่ว่าสะเก็ดไฟไม่ขยายใหญ่

เห็นได้ชัดว่าปีศาจจิ้งจอกเคยมาเยือนที่นี่จริง เฉินผิงอันคีบยันต์พลางเดินไปทั่วทุกมุมในหอเรือนอย่างช้าๆ พบว่าไฟบนกระดาษยันต์ลุกไหม้เร็วเป็นพิเศษตรงสองตำแหน่งอย่างโต๊ะตั้งคันฉ่องที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีแกะสลักรูปนกกับบุปผาและตรงเตียงนอน

เฉินผิงอันมีสีหน้าเฉยเมยอยู่ตลอดเวลา

หลิ่วชิงชิงและจ้าวหยาต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตน มองไม่ออกว่าความเร็วความช้าในการเผาไหม้ของยันต์มีความหมายว่าอะไร และความต่างที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ด้วยสายตาของพวกนางก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองเห็น

ส่วนสือโหรวกลับแค่นเสียงหัวเราะหยันอยู่ในใจ แอบนินทาเด็กสาวหลิ่วชิงชิงที่มองดูเหมือนเรียบร้อยอ่อนหวานผู้นั้นว่าเป็นคุณหนูที่เกิดจากตระกูลผู้ดีแล้วอย่างไร ก็ยังหนีไม่พ้นสันดานหญิงหัวขโมยชายโสเภณี (เป็นคำด่าว่าที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจของคนที่วิปริตบิดเบี้ยว) อยู่ดีไม่ใช่หรือ

เฉินผิงอันพลันนึกถึงปัญหายุ่งยากข้อหนึ่งขึ้นมาได้ ตนมองสือโหรวเป็นผีสาวโครงกระดูกที่ถูกกำราบมาตลอดเวลา ต่อให้จิตวิญญาณของนางถูกย้ายเข้ามาในคราบร่างเซียนแล้ว เฉินผิงอันก็ยังเคยชินที่จะมองนางเป็นสตรี หากปีศาจตนนั้นใช้วิธีการลึกลับบางอย่างที่เกี่ยวพันกับการกักขังดวงวิญญาณ ฟูมฟักเมล็ดพันธ์สิ่งชั่วร้ายขึ้นมาในช่องโพรงลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นในช่องโพรงหัวใจของฮูหยินเจ้าปราสาทอินทรีบินที่มีทารกผีก่อกำเนิด เฉินผิงอันไม่เชี่ยวชาญการทำลายอาคมประเภทนี้ เดิมทีสือโหรวก็เป็นผี อีกทั้งยังอยู่ในขั้นตอนของการหล่อหลอมคราบร่างเซียนเหริน บวกกับที่ชุยตงซานถ่ายทอดวิชาให้อย่างลับๆ สือโหรวจึงคุ้นเคยกับเส้นทางที่เสี่ยงอันตรายนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งลางสังหรณ์ยังเฉียบไวมากยิ่งกว่า

ทว่าทุกวันนี้สือโหรวเดินอยู่ในโลกคนเป็นด้วยเนื้อหนังมังสาของ ‘ตู้เม่า’ นี่จึงเป็นปัญหาเล็กน้อย

หากหลิ่วชิงชิงดึงดันไม่ยอมให้สือโหรวแตะต้องร่างกาย ให้ตายก็ไม่ยอมให้สือโหรวช่วยตรวจสอบชีพจร ร่ำร้องโวยวายว่าจะฆ่าตัวตาย แบบนั้นจะยิ่งยุ่งยาก

เฉินผิงอันคีบยันต์เดินมาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวหยา ยันต์ไม่มีความผิดปกติใดๆ ยังคงเผาไหม้อย่างเชื่องช้าอยู่เหมือนเดิม จ้าวหยารู้สึกว่ามหัศจรรย์ยิ่ง หลังจากสอบถามและได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันแล้ว นางยังยื่นมือไปใกล้แผ่นยันต์สีเหลือง พบว่าไม่มีความรู้สึกร้อนลวกใดๆ เฉินผิงอันที่คลี่ยิ้มบางๆ จึงมาหยุดอยู่ที่ข้างกายหลิ่วชิงชิง ยันต์เกือบครึ่งแผ่นซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากพลันสาดประกายไฟลูกใหญ่เท่าฝ่ามือแล้วเผาไหม้ตัวเองจนหมดสิ้นในเสี้ยววินาที

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คุณหนูหลิ่ว เด็กหนุ่มคนนั้นเคยมอบของแทนใจให้เจ้าหรือไม่? คุณหนูหลิ่วพกไว้ติดตัวโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า?”

คำพูดประโยคนี้พูดอย่างคลุมเครือ อีกทั้งยังไม่ทำร้ายใจคนฟัง

หลิ่วชิงชิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

จ้าวหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนู นี่มันเวลาอะไรแล้ว”

เห็นสายตาน่าสงสารที่เต็มไปด้วยแวววิงวอนจากจ้าวหยา หลิ่วชิงชิงก็ทำเพียงแค่หันตัวกลับไป สุดท้ายหยิบถุงหอมที่ปักเป็นรูปยวนยางคู่หนึ่งด้วยเส้นด้ายหลากสีซึ่งห้อยอยู่ในสาบเสื้อตรงหน้าอกออกมา

เฉินผิงอันสอบถาม “ส่งมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”

หลิ่วชิงชิงส่ายหน้า ไม่ยอมตอบรับ

จ้าวหยาร้อนใจแทบตายอยู่แล้ว

สายตาของเฉินผิงอันใสกระจ่าง “คุณหนูหลิ่วยึดมั่นในรัก ข้าที่เป็นคนนอกมิกล้าวิจารณ์ แต่หากต้องทำให้คนทั้งตระกูลตกอยู่ในอันตรายเพราะสาเหตุนี้ ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก คุณหนูหลิ่วมอบใจให้คนผิด เจ้ามอบความจริงใจให้ไป แต่อีกฝ่ายกลับมีเจตนาอย่างอื่น ถึงท้ายที่สุดคุณหนูหลิ่วจะทำเช่นไร? ต่อให้ไม่พูดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดนี้ แล้วก็ไม่พูดถึงความรักความจริงใจตราบมหาสมุทรแห้งเหือด ตราบก้อนหินเน่าเปื่อยที่คุณหนูหลิ่วกับเด็กหนุ่มต่างถิ่นผู้นั้นมีต่อกัน พวกเรามาพูดถึงแค่เรื่องตรงกลางบางอย่าง ถุงหอมใบเดียว ข้าดูแล้วก็ไม่ได้ทำให้ความรักระหว่างคุณหนูหลิ่วกับเด็กหนุ่มคนนั้นลดน้อยลง กลับกันยังทำให้คุณหนูหลิ่วไม่รู้สึกผิดต่อคนทั้งตระกูลหลิ่วและสวนสิงโตด้วย”

ระหว่างที่เฉินผิงอันเอ่ยประโยคนี้ อันที่จริงเขาไพล่นึกไปถึงคู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ที่ติดตามเขาเดินทางไกลไปยังต้าสุยในครั้งแรก

แล้วก็เพราะคำว่ารัก เด็กสาวจูลู่ถึงได้ยอมเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟเพื่อหลี่เป่าเจินคุณชายรองตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่สนไม่ใยดีสิ่งใด ไม่ว่าอะไรก็ล้วนละทิ้งได้หมด อีกทั้งถามใจตัวเองแล้วยังไร้ซึ่งความละอาย

หลิ่วชิงชิงดวงตาแดงก่ำ ยื่นถุงหอมที่รักใบนั้นส่งมาด้วยมือสั่นๆ

ความละอายใจที่มีต่อชายคนรักยิ่งเข้มข้น เมื่อมอบถุงหอมออกไปก็คล้ายหัวใจถูกควักกระชากตามไปด้วย สองมือว่างเปล่า หัวใจก็ยิ่งว่างโหวง จึงหันหน้าไปทิ้งน้ำตาทางอื่น

เฉินผิงอันรับถุงหอมมาพินิจมองอย่างละเอียด เส้นด้ายห้าสี เส้นด้ายสีดำหนึ่งในนั้นเป็นวัสดุเดียวกับขนจิ้งจอกที่ร่วงหล่นในลานบ้านก่อนหน้านี้ อีกสี่ชนิดที่เหลือยังไม่รู้ที่มาชั่วคราว

เปิดถุงหอมออก ด้านในมีเพียงวัตถุเล็กๆ จำนวนหนึ่ง เฉินผิงอันกลัวว่าสายตาตัวเองจะตื้นเขิน มองความลึกลับที่อยู่ด้านในไม่ออกจึงหันไปมองสือโหรว ฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าเช่นกัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ถุงหอมเป็นเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่สว่างไสวในยามค่ำคืน ทำให้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นมาหาคุณหนูผู้นี้ได้โดยสะดวก ของด้านในน่าจะไม่มีที่มาที่สำคัญอะไร”

เฉินผิงอันยื่นถุงหอมให้สือโหรว “เจ้าถือเอาไว้ก่อน”

นอกจากนี้เฉินผิงอันยังหยิบเอาเชือกพันธนาการปีศาจที่หล่อหลอมขึ้นตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวออกมา เชือกเส้นนี้มีต้นกำเนิดมาจากหนวดสีทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง ท่ามกลางสมบัติอาคมที่แปลกประหลาดนับร้อยนับพันอย่าง ระดับขั้นของมันถือว่าสูงอย่างถึงที่สุด สือโหรวรับถุงหอมมาแล้วก็เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งถือเชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออกว่ามันไม่ธรรมดา ความไม่พอใจในใจจึงลดน้อยลง ถุงหอมอยู่ในมือของนางก็ไม่ต่างจากการชักดึงหายนะมาสู่ตัว เพียงแต่ว่าพอมีเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้เพิ่มเข้ามาก็ถือว่านอกจากเฉินผิงอันจะใช้งานนางอย่าง ‘คุ้มค่าที่สุด’ แล้ว ยังพอจะมีการชดเชยให้นางบ้าง

เฉินผิงอันพูดกับหลิ่วชิงชิง “คุณหนูหลิ่วโปรดให้พวกเราช่วยจับชีพจร วิชาคาถาบนภูเขาหลายอย่างล้วนเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด ใช้แค่วิชามองลมปราณไม่อาจมองสายสนกลในใดๆ ออก”

ทีแรกก็บุกเข้ามาในห้องหอ จากนั้นก็ให้นางมอบถุงหอมไปให้ ตอนนี้ยังจะสัมผัสโดนเนื้อตัวของนางอีก

ในใจหลิ่วชิงชิงทั้งเศร้าสร้อยและทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา หันมามองเฉินผิงอันด้วยสายตาเดือดดาล พูดเสียงสะอื้น “พวกเจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก! หลังจากจับชีพจรแล้ว ยังจะต้องให้ข้าถอดอาภรณ์ด้วยหรือไม่ พวกเจ้าถึงจะยอมเลิกรา?”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยอารมณ์นิ่งสงบ “ย่อมไม่ทำเช่นนั้น”

หลิ่วชิงชิงอับอายจนพานเป็นความโกรธ นางบิดเอวกลับ ฟุบตัวลงบนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สั่นสะท้าน พูดเสียงขาดๆ หายๆ “ข้าต้องการพบพ่อข้า…หากเขาอยู่ที่นี่…ต้องไม่ยอมให้พวกเจ้ามาหมิ่นเกียรติข้าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้แน่นอน”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดกับสือโหรวว่า “ข้าจะช่วยพิทักษ์เจ้าเอง เจ้าเผยกายด้วยโฉมหน้าดั้งเดิม แล้วค่อยช่วยจับชีพจรให้นาง”

แม้ว่าสือโหรวจะมีอคติมากมายต่อเฉินผิงอัน แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่นางไม่กังขาในตัวเขา นั่นคือขอแค่เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันพูดออกมาจากปาก เขาจะต้องทำได้จริงอย่างแน่นอน

ดังนั้นสาวใช้จ้าวหยาจึงเห็นเพียงว่ามีสาวงามสวมอาภรณ์สีสันสดใสชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ลอยพลิ้วออกมาจากร่างของผู้เฒ่า ทั้งเหมือนจริงและเหมือนไม่จริง ทำให้นางที่มองดูอยู่ตื่นตะลึงยิ่ง

จ้าวหยารีบตะโกนเรียก “คุณหนูๆ ท่านหันมาดูเร็วเจ้าค่ะ”

ก่อนที่หลิ่วชิงชิงจะหันหน้ากลับมา นางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าก่อน แล้วจึงได้เห็นสตรีแปลกหน้าที่รูปโฉมงดงามยิ่งกว่านางยืนอยู่

ส่วนผู้เฒ่าคนก่อนหน้านี้ก็ยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับว่ากำลังงีบหลับอย่างไรอย่างนั้น

สือโหรวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยื่นมือออกมา”

หลิ่วชิงชิงยกมือขึ้นอย่างเหม่อลอย

สือโหรวจับข้อมือที่ขาวราวกับรากบัวของหลิ่วชิงชิง

ในขณะที่สือโหรวตรวจสอบลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหลิ่วชิงชิง เฉินผิงอันที่ยังคงมองประเมินห้องนี้อย่างละเอียดก็พลันสังเกตเห็นว่าสาวใช้กำลังส่งสายตามาให้ตน เมื่อมองตามสายตาที่บอกเป็นนัยของจ้าวหยาไป เฉินผิงอันก็มองเห็นกล่องเล็กงามประณีตกล่องหนึ่งที่ยังไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ดูเหมือนว่าจะเป็นกล่องบรรจุผงประทินโฉมของสตรี เฉินผิงอันขยับเท้าเดินไปใกล้อย่างเงียบเชียบ พอเปิดออกดูก็เห็นว่าด้านในบรรจุยาเม็ดที่ส่งกลิ่นคาวจางๆ ไว้หลายเม็ด เฉินผิงอันจึงหันหน้าไปถามหลิ่วชิงชิง แสร้งทำเป็นว่าพบเข้าโดยบังเอิญ “ขอถามคุณหนูหลิ่ว ยาข้างในนี้เป็นยาบำรุงของสวนสิงโตเอง หรือเป็นยาที่เซียนซือจากภายนอกมอบให้?”

จ้าวหยารู้สึกว่าคุณชายสะพายกระบี่ท่านนี้มีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดเผื่อคนอื่นเสมอ

หากเปลี่ยนมาเป็นพวกเซียนซือคนก่อนๆ หน้านี้ แต่ละคนเย่อหยิ่งหัวสูง ไม่เพียงแต่วางท่าเหมือนอยากจะแปะสองคำว่า ‘เทพเซียน’ ไว้บนหน้าผากตัวเอง ยังชอบพูดคำว่าปีศาจจิ้งจอกชั่วช้าคำแล้วคำเล่าต่อหน้าคุณหนู เมื่อคุณหนูของตนได้ยินจะไม่รู้สึกบาดหูและพานเสียใจได้อย่างไร

หลิ่วชิงชิงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “เป็นยาสงบใจที่เขามอบให้ข้า บอกว่าสามารถบำรุงร่างกาย ทำให้จิตใจสงบ”

อันที่จริงสือโหรวได้กลิ่นคาวแสบจมูกนั่นมานานแล้ว พอชำเลืองตามองไปเห็นจึงแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “ยาสงบใจงั้นรึ รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่ายาสงบใจที่แท้จริง? นี่คือหนึ่งในยานอกรีตที่เอาไว้เลี้ยงภูตผีและพวกหุ่นเชิด เมื่อกินเข้าไปแล้ว คนที่มีชีวิตหรือวิญญาณของภูตผีจะค่อยๆ จับตัวแข็งกลายเป็นรูปลักษณ์ที่ถูกกำหนดไว้ สามจิตเจ็ดวิญญาณที่เดิมทีล่องลอยไม่อยู่นิ่ง มีอิสระเสรีก็จะกลายมาเป็นเหมือนดินบนภูเขาที่ถูกนำมาทำเครื่องกระเบื้อง สุดท้ายถูกคนค่อยๆ ปั้นให้เป็นวัตถุกึ่งสำเร็จรูปที่นำมาบำรุงความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย”

สือโหรวคลี่ยิ้มเย้ยหยัน “แน่นอนว่าคนรักของคุณหนูหลิ่วอาจจะบอกว่านี่คือวิชาลับชั้นสูงอย่างหนึ่งของตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใช้ชดเชยความไม่เพียงพอก่อนกำเนิด หรือฐานกระดูกที่ไม่ครบถ้วนของเด็กรุ่นหลังในตระกูล ช่วยให้มนุษย์ที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว คำพูดประเภทนี้ไม่ได้เป็นเท็จทั้งหมด เพียงแต่ว่าตระกูลบนภูเขาที่ตัดใจทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่ตระกูลเล็กที่ไม่มีหน้าไม่มีตา ก็ต้องเป็นตระกูลที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จนน่าเป็นกังวล จำเป็นต้องให้มีผู้ฝึกตนที่สามารถเดินทางลัดเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะๆ เพราะถึงอย่างไรการใช้ยาสงบใจที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ยาหัวขาด’ นี้ก็มีภัยแฝงร้ายแรงอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถูกฟ้าดินรังเกียจ หากเป็นคนก็ตายไปแล้วครึ่งตัว หากเป็นผีก็เป็นผีที่มีแค่ครึ่งชีวิต จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง สิ่งที่อำมหิตที่สุดก็คือหลังจากกลายเป็นภาชนะชั้นเยี่ยมที่สามารถบรรจุปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาได้แล้วดันถูกคนทุบทำลายไหเงิน เอาทรัพย์สินที่อยู่ในไหเงินไปจนเกลี้ยง ส่วนข้อที่ว่าไหที่แหลกละเอียดจะมีจุดจบเช่นไร เฮอๆ หากจิตวิญญาณไม่แหลกสลายจนไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีกก็ตายไปแล้วยังเหลือจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งที่ยังไม่ดับสลาย สุดท้ายย่อมต้องกลายไปเป็นผีร้ายผูกอาฆาตพยาบาท”

—–