“อย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว แววตาแสดงความน่าสนใจไม่น้อย 

 

 

เขากวาดตาไปหานายทหารผู้นั้น ถามช้าๆ ว่า “อย่างนั้นเวลานี้พวกเขาอยู่ที่ใด” 

 

 

ทหารได้ฟังน้ำเสียงนี้ ตัวสั่นเทิ้มอย่างอดไม่ได้ เดิมทีเขาก็ตัวสั่นเข้ามารายงานอยู่แล้ว เวลานี้สั่นจนเหมือนใบไม้ต้องลมปลิดปลิวในฤดูใบไม้ร่วง ตอบติดๆ ขัดๆ ว่า “อยู่…อยู่ในเมือง” 

 

 

ในใจเขาคิดว่า นายอำเภอบ้านนี้มีปัญหาหรือเปล่า ไม่ดูเสียบ้างเตี้ยนเซี่ยเป็นคนอย่างไร แม้แต่ฝ่าบาทยังเคยถูกเตี้ยนเซี่ยเตะตกบัลลังก์ในทีเดียว นับประสาอะไรกับผู้ตรวจการทหารที่ราชสำนักส่งมา  

 

 

แค่ผู้ตรวจการทหารคนเดียวจะจัดการเตี้ยนเซี่ยเชียวหรือ 

 

 

แต่ว่าในเมื่อฝ่าบาทส่งผู้ตรวจการทหารท่านนี้มา สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่าผู้ตรวจการทหารท่านนี้มีความสามารถเกินกว่าผู้อื่น 

 

 

นายทหารเริ่มจินตนาการ ในใจเกิดความคิดไปต่างๆ นาๆ  

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเยี่ยเม่ย ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเจือรอยยิ้มอ่อน “แม่นางเยี่ยเม่ยจะไปดูคนไม่รู้จักที่ตายแสดงความน่ารังเกียจต่อสู้ดิ้นรน หรือว่าจะพักอยู่ที่นี่”  

 

 

ตามเหตุผลแล้วเยี่ยเม่ยไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่มาสองวัน นางสมควรพักผ่อนแล้วจริงๆ 

 

 

แต่เมื่อได้ยินว่านายอำเภอมาแล้ว ซ้ำยังมาทวงความยุติธรรมด้วย นางกลับอยากไปชมดูสีหน้าพวกเขาเสียหน่อย 

 

 

นางพยักหน้า ตอบเสียงเย็นชา “ข้าจะไปกับท่าน” 

 

 

 “เชิญ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลีกทางด้านหนึ่งให้ด้วยท่าทางเคารพ 

 

 

ทำให้อวี้เหว่ยและนายทหารผู้นั้นต่างก็หรี่ตาแอบมองเยี่ยเม่ย โดยเฉพาะอวี้เหว่ย…ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเตี้ยนเซี่ยเกรงใจใครแบบนี้มาก่อน  

 

 

เยี่ยเม่ยกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักน้อย เพียงรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าทำได้ดีมาก มีท่าทางตามแบบฉบับของสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม[1]เป็นอย่างมาก 

 

 

นางสองมือกอดอก ใบหน้าเย็นชา ก้าวฉับๆ ตรงไปด้านหน้า 

 

 

จากนั้นอวี้เหว่ยมองท่วงท่าสง่างามดุจแมวเปอร์เซียของเตี้ยนเซี่ยเดินติดตามอยู่เบื้องหลังเยี่ยเม่ย ฝีเท้าว่องไวคล้ายกับเดินไปด้วยความเบิกบานใจ 

 

 

ท่าทางเช่นนี้เหมือนบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงความรักลึกซึ้งไม่มีผิดเลยสักน้อย  

 

 

อวี้เหว่ยแอบลูบหน้าผาก รู้สึกว่าโลกนี้เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ทว่าความจริงจากเบื้องลึกในใจของเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยตกอยู่ในห้วงความรักลึกซึ้ง 

 

 

   … 

 

 

ห้องโถงใหญ่ในเมือง 

 

 

คนทั้งหมดนั่งอยู่ภายในห้องโถง สีหน้าทุกคนล้วนไร้ความผ่อนคลาย นายอำเภอและภรรยาสีหน้ายิ่งเศร้าสลดคุกเข่าอยู่กลางโถง 

 

 

พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวว่าบุตรชายของตนตายแล้ว ซ้ำตัวการยังอยู่ในเมือง พวกเขาอยากมุ่งมาทวงความเป็นธรรม แน่นอนพวกเขาย่อมไม่กล้า แต่ได้ฟังว่ามีผู้ตรวจการทหารมาจากเมืองหลวง ทำให้พวกเขาคล้ายเห็นความหวังริบหรี่ จึงรีบรุดมา  

 

 

ในบรรยากาศหนักอึ้งนี้ เยี่ยเม่ยก้าวเท้าเดินฉับเข้ามา 

 

 

ทุกคนต่างกระตุกมุมปากเล็กน้อย หันหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนติดตามอยู่ด้านหลังนาง สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เตี้ยนเซี่ยถึงกับติดตามอยู่ด้านหลังสตรี  

 

 

หลังจากเยี่ยเม่ยเข้าห้อง ก็กวาดตาสำรวจ 

 

 

ที่นั่งประธานยังคงว่างอยู่ ด้านข้างนั้นมีเจ้าเมืองหลิน อีกด้านหนึ่งเป็นบุรุษอายุสี่สิบกว่าไว้หนวด สวมชุดขุนนางนั่งอยู่ ช่วงเอวยังสะพายกระบี่พระราชทาน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ตรวจการทหารไม่ผิดแน่  

 

 

เจ้าเมืองหลินเป็นเจ้าเมืองที่รู้จักสถานการณ์ เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา ไม่พูดอะไรก็ยกก้นยืนขึ้น ส่งสายตาหาข้ารับใช้ด้านหลัง ข้ารับใช้ไม่พูดอะไรรีบไปยกเก้าอี้มา 

 

 

ตัวเจ้าเมืองหลินยืนด้านข้าง ท่าทางต้อนรับอย่างยินดี 

 

 

อย่าว่าแต่องค์ชายสี่แสดงออกว่าชอบสตรีผู้นี้เลย ลำพังคิดถึงเรื่องที่ท่านหญิงฉางเล่อถูกนางตีขา คนนับพันยังจับนางไม่ได้และไม่อาจทำให้นางบาดเจ็บ เทพหายนะองค์นี้เขาไม่คิดหาเรื่อง 

 

 

เยี่ยเม่ยเห็นว่าเขารู้จักสถานการณ์เช่นนี้ จึงพยักหน้ารับ 

 

 

สายตามองที่นั่งว่างสองที่ ถึงนางรู้สึกว่าตัวเองเพียบพร้อมมาก สมควรนั่งที่ประธานก็ไม่ผิด แต่ว่าอย่างไรราชสำนักเป่ยเฉินนี้ก็เป็นอาณาเขตของผู้อื่น หากไม่ไว้หน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่ดี 

 

 

ดังนั้นนางจึงเดินเงียบๆ ไปนั่งลงยังที่นั่งของเจ้าเมืองหลินเมื่อครู่ คนจำนวนไม่น้อยในห้องโถงเห็นภาพนี้ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา อย่างไรเสียเตี้ยนเซี่ยยังเดินตามหลังนางเข้ามา 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นนางไม่นั่งลงที่ประธานกลับไม่พูดมากความ ตรงไปนั่งในที่ประธาน เอนกายพิงพนัก เชิดหน้าขึ้นด้วยความสง่างาม มองคนทั้งหมด 

 

 

คนทั้งหมดลุกขึ้น คุกเข่าทำเคารพอย่างพร้อมเพรียง “องค์ชายสี่” 

 

 

แม้กระทั่งผู้ตรวจการทหารยังคุกเข่าลงด้วย สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยุดลงที่ผู้ตรวจการทหาร นายอำเภอความรู้สึกไวเห็นภาพตอนที่ผู้ตรวจการทหารตัวสั่นไปเล็กน้อยเพราะตระหนักถึงสายตาปีศาจหยุดอยู่ที่เขา  

 

 

ในยามนั้นนายอำเภอเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น… 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ปรับท่านั่งพิงของตนด้วยความสง่างาม มองที่ผู้ตรวจการ ถามช้าๆ “ท่านนี้เหมือนจะเป็น…เสนาบดีกรมทหารในเวลานี้ ใต้เท้าหลี่?” 

 

 

อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก เตือนอยู่ด้านข้าง “เตี้ยนเซี่ย เสนาบดีกรมทหารไม่ผิด แต่เขาคือใต้เท้าเฉิน” 

 

 

ใต้เท้าเฉินเสนาบดีกรมทหารในยามนี้เริ่มรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เอ่ยเสียงสั่น “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยคือเสนาบดีกรมทหาร แซ่เฉิน” 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รู้สึกว่าคำพูดของเขามีความหมายล้ำลึก  

 

 

เป็นจริงดั่งคาด… 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง สายตาอ่อนโยนมองที่ใต้เท้าเฉิน แววตาร้ายฉายแววไม่ใส่ใจ ถามเสียงอบอุ่นว่า “ใต้เท้าแซ่เฉินหรือแซ่หลี่สำคัญหรือ มีความสามารถถึงมีคุณสมบัติกำหนดชื่อแซ่ของตน วันนี้หากข้าจะให้เจ้าแซ่หลี่ เจ้ากล้าไม่ฟังหรือ”  

 

 

ยามนี้สีหน้าของใต้เท้าเฉินคล้ายจะร้องไห้ออกมา ตระกูลเฉินของเขาสืบทอดมาสามชั่วคน จวบจนมาถึงรุ่นเขารับตำแหน่งขุนนางสูงส่งเป็นเกียรติยศแก่บรรพบุรุษ เวลานี้ถูกบีบให้เปลี่ยนแซ่แล้ว… 

 

 

แต่เมื่อคิดถึงการกระทำต่างๆ ตลอดหลายปีในเมืองหลวงของปีศาจเบื้องหน้าตน  

 

 

เขาตอบด้วยสีหน้าเศร้าสลด “เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมจะปฏิบัติการตามความต้องการเตี้ยนเซี่ย” 

 

 

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เวลานั้นนายอำเภอรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง คล้ายกับมีน้ำเย็นเฉียบราดใส่ตัวเขา  

 

 

เวลานี้เยี่ยเม่ยกลับใช้สายตาแปลกใจมองใต้เท้าเฉิน นางเข้าใจว่าภายใต้ยามปกติ คนต้องไม่สนใจชีวิตตนเพื่อปกป้องแซ่ที่บรรพบุรุษสืบทอดมา ใต้เท้าเฉินผู้นี้… 

 

 

ใต้เท้าเฉินเห็นสายตาเยี่ยเม่ย ในใจเขาคล้ายแตกสลาย เขาไม่สนใจชีวิตก็ได้ แต่องค์ชายสี่ผู้นี้คือปีศาจร้าย ไม่พอใจอาจเอาชีวิตตระกูลเขาเก้าชั่วโคตร เขาได้แต่ทนความอัปยศเพื่อคนทั้งครอบครัว… 

 

 

ยามนี้เขารู้สึกเคียดแค้นฮ่องเต้นัก ถึงกับส่งเขามาเป็นผู้ตรวจการทหารขององค์ชายสี่ เขายังสงสัยว่าตนเองแอบสวมหมวกเขียว[2]ให้ฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อไหร่ พระองค์ถึงได้เคียดแค้นเขาเช่นนี้ 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าอย่างพอใจ แววตาไม่ใส่ใจมองนายอำเภอที่คุกเข่าอยู่อีกครั้ง ถามเสียงเนิบว่า “ได้ยินว่าเจ้ารู้ว่าใต้เท้าเฉินของพวกเรา…ไม่สิ ตอนนี้คือใต้เท้าหลี่ เดินทางมาถึงเมือง เจ้าก็รีบมาที่นี่เพื่อทวงความยุติธรรมอย่างอดรนทนไม่ไหว? เจ้าต้องการความเป็นธรรมอะไร เจ้าบอกข้ามาได้ เยี่ยนเป็นคนมีความยุติธรรมเมตตามาตลอด รับรองจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าแน่” 

 

 

 

 

 

[1] สามเชื่อฟังสี่คุณธรรม เป็นหลักปฏิบัติของสตรียุคโบราณ สามเชื่อฟังคือ เชื่อฟังบิดา สามีและบุตรชาย สี่คุณธรรมคือ ประพฤติตัวดีงาม วาจาดีงาม หน้าตาและกิริยางดงาม เก่งงานบ้านงานเรือน 

 

 

[2] สวมหมวกเขียว หมายถึง สวมเขา