ตอนที่ 243 เด็กน้อยนั่น ช่างโอ๋ง่ายจริงๆ / ตอนที่ 244 กลิ่นอายที่คุ้นเคย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตอนที่ 243 เด็กน้อยนั่น ช่างโอ๋ง่ายจริงๆ 

 

 

ว่าตามจริงนะ ใบหน้านั้น ไม่รู้ทำไมมองแล้วถึงได้รู้สึกว่าสบายตานัก 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยครุ่นคิดไปพลาง สายตาก็ทอดมองไปยังงูเขียวบนข้อมือของหยวนเฟย 

 

 

งูเขียวตัวน้อยถูกเขาจ้องมองเสียจนตัวแข็งค้าง มันส่ายหางน้อยๆ ก็มุดหัวลงไปในแขนเสื้อของหยวนเฟยอย่างเงียบๆ 

 

 

“หวังฉายของบ้านเรามิใคร่ชอบหน้าท่านสักเท่าไร” หยวนเฟยลูบแขนเสื้อ พลางมองไปทางเขาด้วยสายตาประเมิน 

 

 

หยวนเฟยพึ่งพูดจบ รถม้าก็กระเทือนอย่างแรง 

 

 

สายลมเย็นเฮือกหนึ่งพัดโหมมา งูเขียวตัวน้อยตระหนกจนตัวสั่นสะท้าน มันชะโงกหัวออกไปมองดูนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถึงกับต้องฉี่ราดออกมา 

 

 

ลึกเข้าไปในป่า ดวงตาสีแดงคู่นั้นถึงกับทำให้มันต้องแตกตื่นจนวิญญาณงูแทบจะหลุดลอย 

 

 

งูเขียวน้อยตัวสั่นระริก ไม่ทันพูดทันจาก็คลานออกมาจากอ้อมอกของหยวนเฟย พริบตาเดียวก็เลื้อยขึ้นไปบนข้อมือของตู๋กูเจวี๋ยในทันทีด้วยความนุ่มนวลพินอบพิเทาประหนึ่งสุนัขตัวหนึ่ง 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยตื่นตะลึงไป ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมา ยื่นปลายนิ้วไปลูบหัวมันเบาๆ แล้วหันไปกล่าวกับหยวนเฟยว่า “พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าเจ้าหวังฉายตัวน้อยออกจะชอบกระหม่อมมากๆ เลย” 

 

 

พูดแล้วก็ไม่ลืมที่จะลูบคางของเจ้างูเขียวน้อย พลางทำเสียงอ้อมแอ้มอีกสองสามคำ “เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า เจ้าตัวน้อย?” 

 

 

งูเขียว “……..” 

 

 

หากมิใช่เพราะว่างูยักษ์ที่อยู่ด้านนอกนั่นทั้งข่มขู่และกดดันมัน มันมีหรือจะมาเลื้อยพันอยู่บนคนปากมากเช่นนี้? 

 

 

ประหลาดจริงๆๆๆ นี่พวกเขามองไม่เห็นงูยักษ์ที่อยู่ด้านนอกกันบ้างหรือยังไง? 

 

 

งูเขียวน้อยได้แต่ชอกช้ำ งูเขียวน้อยอยากจะร้องไห้ งูเขียวน้อยไม่กล้าแม้แต่จะหันหัวกลับไป ได้แต่ต้องมาเลื้อยอยู่บนตัวเขาอย่างน่าสงสาร 

 

 

หยวนเฟยประหลาดใจเสียจนตาโตขึ้นมา 

 

 

ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าไม่ควรจะไปแหย่คนในตระกูลตู๋กู แต่เจ้าหวังฉายนี่ที่ผ่านมาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไยพอเจอกับคนตระกูลตู๋กูเป็นต้องหงอยราวกับมะเขือที่โดนหิมะไปเสีย 

 

 

หยวนเฟยได้แต่ตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่า ต่อไปมิว่าจะอย่างไรก็อย่าได้ไปผิดใจกับพวกเขาโดยง่าย 

 

 

ที่ด้านนอกหน้าต่าง ชือหลีเลื้อยอยู่บนลำต้นของต้นไม้ที่หยาบใหญ่ต้นหนึ่ง พลางสะบัดหางเบาๆ ขณะมองดูรถม้าที่อยู่ไกลออกไป มุมปากของนางก็ยกยิ้มขึ้นมา 

 

 

เจ้าเด็กน้อยผู้นั้น ช่างโอ๋ง่ายดีแท้ๆ แค่งูน้อยตัวหนึ่งมาออเซาะเข้าหน่อย ก็ดีใจจนถึงขนาดนั้น? 

 

 

ตอนนี้ก็ดีใจเช่นนี้ไปก่อนเถอะ พอถึงแคว้นเซอปี่ซือ ได้เจอะเจอสิ่งที่แปลกประหลาดมากมาย เขาจะเป็นอย่างไรนะ? 

 

 

น้อยนักที่นางจะได้เจอคนที่สนอกสนใจในสิ่งประหลาดเหนือธรรมชาติ 

 

 

อย่าได้เห็นว่าเจ้าเด็กนั่นยังอายุน้อย คนถึงกับเป็นขุนนางใหญ่โต ในหมู่มนุษย์ด้วยกัน เขาถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นผู้หนึ่ง 

 

 

…………………. 

 

 

ภายในรถม้า ตู๋กูเจวี๋ยกำลังหลงลำพองที่งูตัวหนึ่งมาหมอบราบคาบแก้วให้ เขาเบิกบานจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว 

 

 

จึงมิได้ทันสังเกตถึงความเคลื่อนไหวในป่าทึบเลยสักนิด หากมิใช่ว่าเจ้าติ๊งต๊องยังคงคอยกระพือปีกอยู่บนหลังคารถม้า เกรงว่าพวกเขาคงจะพากันลืมจุดมุ่งหมายของการเดินทางไปแล้ว 

 

 

ภายในรถอีกคันหนึ่ง ทันใดนั้นตู๋กูซิงหลันก็พลันลมหายใจสะดุดขึ้นมา นางเพ่งมองไปที่ด้านหลัง พอกวาดตามองไปอีกที ก็เห็นเป็นเพียงสีเขียวขจีทั้งแถบเท่านั้น 

 

 

นางหรี่ตาลงมองดู ทั้งยังคิดจะมองดูด้านนอกให้ละเอียดกว่าเดิม แต่กลับถูกจีเฉวียนจับแก้มเอาไว้ แล้วหันหน้าของนางกลับมา 

 

 

“อย่าได้ไปมองมากวุ่นวาย ที่ด้านนอกมีตัวประหลาดอะไรเยอะแยะไปหมด เราเกรงว่าเจ้าจะตกอกตกใจไป” ฝ่าบาทประทับนั่งตรงๆ ใช้พระองค์บังอยู่ด้านหน้าของนาง 

 

 

“เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกว่าเจ้าอาจจะตกอกตกใจขึ้นมาได้นะ?” วิญญาณทมิฬอดกลั้นมาตลอดทาง ยามนี้ถึงกับอดทนไม่ไหวอีกแล้ว หากมิใช่ว่าก่อนหน้านี้มันได้เห็นฝีมือการสังหารงูยักษ์ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ ภายในดาบเดียว รับรองเลยว่ามันไม่มีทางยอมสงบนิ่งมาตลอดทางเช่นนี้เป็นแน่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ตอบคำของเขา แก้มของนางถูกฝ่าบาทหยิก สายตาก็ถูกฝ่าบาทคอยจับจ้องอยู่ทุกฝีก้าว จนมิอาจจะเป็นอิสระได้เลย 

 

 

“เมื่อผ่านดินแดงหนานเจียงไป ด้านหน้าก็จะถึงดินแดนที่กว้างใหญ่กว่าอย่างแคว้นเซอปี่ซืออยู่แล้ว เจ้าต้องรับปากเราข้อหนึ่ง หลังจากที่เข้าไปแล้ว จะต้องทำตัวให้ติดกับเราเข้าไว้ ห้ามเคลื่อนไหวเองโดยพละการเด็ดขาด” 

 

 

—— 

 

 

คุยกันนิดนึง: 

 

 

ไรท์: บทที่นี้สั้นมากๆ จนไรท์เองก็ตกใจ สั้นสุดเท่าที่เคยแล้วมา แต่ตรวจต้นฉบับไปสามรอบ พี่ก็มาเท่านี้จริงๆ ไรท์ได้แจ้งเรื่องนี้กับทางธัญแล้วนะคะ เพื่อกันทุกฝ่ายเข้าใจผิดค่ะ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 244 กลิ่นอายที่คุ้นเคย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองคือยายอ้วนที่ถูกลักพาตัวมา 

 

 

นางพึ่งจะอ้าปากก็ถูกพระหัตถ์ของจีเฉวียนปิดลงมาบนริมฝีปากเสียก่อน “อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระ อยู่ข้างๆ เราตลอดเวลาก็พอแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างละเอียดลอออยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้นางไม่มีหยกสรรพชีวิตแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายลึกๆ ในถ้อยคำของเจ้าฮ่องเต้สุนัขสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเขาเก่งกาจอย่างแน่นอน 

 

 

เมื่อมีขาใหญ่ๆ ยื่นมาให้เกาะ หากไม่เกาะก็เท่ากับว่าเสียเปล่า 

 

 

นางผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง แล้วก็คลี่ยิ้มให้กับเขา 

 

 

เนื่องเพราะใบหน้ามีแต่เนื้ออวบๆ เป็นเหตุ พอยิ้มขึ้นมาก็กลายเป็นก้อนกลมนุ่มๆ เน้นๆ ราวกับซาลาเปาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ก่อนหน้านี้จีเฉวียนไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า ที่แท้แล้วนางน่ารักมากขนาดนี้ 

 

 

ก่อนหน้านี้มีแต่ท่านหญิงน้อยซุ่นเออร์ที่นานๆ ครั้งจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะหยิกแก้มขึ้นมา ตอนนี้พอข้างกายมีตู๋กูซิงหลันแล้ว เขาก็อยากจะหยิกสองแก้มของนางอยู่ตลอดเวลา 

 

 

พระองค์ได้แต่ทรงพยายามควบคุมความพลุ่งพล่านในพระทัยเอาไว้ พระหัตถ์ก็หยิกแก้มของนางเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยหดกลับมาช้าๆ 

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องอยู่ที่นาง ก่อนหน้านี้ยามที่พระองค์เคยขอนางแต่งงานไม่เคยรู้สึกเลยว่านางงดงามขนาดไหน 

 

 

ตอนนี้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสบายตา ในวังหลวง ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนแต่พากันครุ่นคิดถึงนาง จีเย่ว์จากไปแล้วคนหนึ่ง ก็มีซูเม่ยมาอีกคนหนึ่ง 

 

 

เขาถึงขนาดปลอมเป็นหญิงเข้ามาเป็นพระสนมในวังเพื่อนาง ก่อนหน้านี้จีเฉวียนนึกไม่ออกเลยว่าจะต้องมีจิตใจเช่นไรถึงจะสามารถทำได้จนถึงขั้นนี้ 

 

 

ตอนนี้เขาพอจะ……เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

พอเห็นท่านั่งที่หลุกหลิกอยู่ตลอดเวลาของนาง ในพระทัยของเขาก็พลันเกิดความรักใคร่เอื้อเอ็นดูประหนึ่งบิดาขึ้นมา “หนทางขรุขระมาก เจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บมาก่อน ทางที่ดีสมควรจะนั่งให้นิ่งๆ ดีๆ เสียหน่อย” 

 

 

ตรัสแล้ว ฮ่องเต้ก็ตบลงบนที่นั่งข้างพระองค์ “นั่งข้างๆ เรามั่นคงที่สุดแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” 

 

 

“หากว่าเจ้าไม่ย้ายไปละก็ ข้าว่าเขาจะต้องตีก้นเจ้าจนแตกลายเป็นแน่” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ด้านข้างราวกับแม่ไก่ตัวหนึ่ง 

 

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้มันคลุกคลีกับเจ้าติ๊งต๊องนานเข้า ไปๆ มาๆ ถึงได้เรียนรู้ท่าหมอบเช่นนี้ขึ้นมาบ้าง 

 

 

……………… 

 

 

ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ตู๋กูซิงหลันอึดอัดมาก ก่อนหน้านี้นางคุ้นเคยกับจีเฉวียนที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าและภูเขาน้ำแข็งพันปี ในการเดินทางครั้งนี้ถึงแม้ว่าเขายังคงวางท่าสูงส่งเสียดฟ้าเหมือนเดิม แต่กลับดูแลนางอย่างเอาใจใส่ 

 

 

กระหายปุ๊บก็มีน้ำให้ดื่ม และถึงกับเป็นน้ำค้างยามเช้าที่เก็บรวบรวมมาจากทะเลสาบหยู่จื่อของในวัง บรรทุกกันมาหลายโอ่งราวกับว่าไม่ต้องเสียเงินซื้อ 

 

 

หิวรึก็มีขาหมูให้กิน ราวกับเกรงว่านางจะอ้วนไม่พอ? 

 

 

นั่งจนเมื่อยแล้วก็ยังมีราชองครักษ์ลับที่เป็นสตรีมาคอยบีบนวด ทุบไหล่ 

 

 

หากว่าจำได้ไม่ผิดละก็ องครักษ์ลับของจีเฉวียนแต่ละคนล้วนคัดสรรจากคนนับพันนับหมื่น แต่ละคนนิสัยทรนงเย็นชา องครักษ์หญิงเหล่านั้นยิ่งถือว่าล้ำค่าหายาก แต่เขากลับนำมาเป็นคนรับใช้อย่างไม่เสียดาย 

 

 

พวกนางเดินทางมาเพื่อตามหาสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือนะ แต่ว่าตอนนี้ดูไปเหมือนจะเป็นการออกมาท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำมากกว่า แถมบริการทั้งหมดยังเป็นระดับห้าดาวเสียด้วย 

 

 

ตอนแรกตู๋กูซิงหลันยังไม่รู้สึกคุ้นเคยสักเท่าไหร่ พอตอนหลังการบริการนี้ถึงกับพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ว่าพอนางคิดจะเข้าห้องน้ำ องครักษ์ก็มีกระโถนมารองรับเลยทีเดียว 

 

 

ผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ชักจะคุ้นเคยขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นฝ่าบาทหรี่พระเนตรมองมา ในใจก็รู้สึกว่าเขากำลังวางแผนไม่ดีอะไรอยู่เป็นแน่ 

 

 

……………………. 

 

 

กลางฤดูร้อน อากาศยามค่ำในหนานเจียงอบอ้าวที่สุด ตกกลางคืนก็จะมีตัวประหลาดไม่น้อยที่พยายามจะเข้ามาซุ่มโจมตี 

 

 

แต่ตลอดทางมานี้ เมื่อมีเปลวเพลิงสีทองของติ๊งต๊องคอยป้องกัน การเดินทางของหลันจึงนับได้ว่าสะดวกราบรื่นอย่างมาก 

 

 

ในค่ำคืนหนึ่งที่มีดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ในที่สุดก็นับได้ว่าเดินทางมาจนถึงทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว 

 

 

ทะเลทรายนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหัน ราวกับตัดขาดเขตแดนกับป่าทึบของหนานเจียงอย่างสิ้นเชิง 

 

 

ราวกับว่ามีเส้นแบ่งปรากฏขึ้นมาเส้นหนึ่ง ฝั่งนี้คือโลกของมนุษย์ และฝั่งนั้นคือแดนนรกภูมิ 

 

 

ตอนที่อยู่กลางป่าทึบของหนานเจียง ตลอดทางมักจะมีเสียงซวบซาบของบางสิ่งเคลื่อนไหวติดตามรถม้าของพวกนางมาตลอดทาง แต่ว่าพอมาถึงทะเลทราย สิ่งเหล่านั้นก็มิได้ติดตามมาอีกแล้ว 

 

 

พวกมันคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัวบางสิ่ง จึงถอยกลับเข้าไปในป่าลึก ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแง้มม่านหน้าต่างรถมองกลับไป ในความมืดนั้นมีสิ่งประหลาดมากมายนับไม่ถ้วนที่ได้สะสมพลังเอาไว้จนสามารถสร้างรูปลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมา 

 

 

พอมองลอดผ่านใบไม้ ก็สามารถเห็นดวงตาสีแดงคู่หนึ่งที่เปล่งแสงแวววาวน่ากลัวอยู่ในความมืดมิด 

 

 

ตั้งแต่ที่มาถึงดินแดนหนานเจียงนั้น ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว 

 

 

ดอกไม้ใบหญ้า พืชพรรณพฤกษา นกปลาแมลงและสัตว์ร้ายทั้งหลายต่างก็สามารถจำแลงกายได้ แต่ละตัวมีตะบะอย่างต่ำๆ ก็ร้อยปี และส่วนมากคือมากกว่าพันปี นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายดาย แต่ว่าทำไมในดินแดนหนานเจียง จึงกลายเป็นแหล่งรวมพลของสิ่งประหลาดเหล่านี้? 

 

 

ก่อนหน้านี้มีเถาวัลย์ที่ขยุ้มเส้นผมของจีเฉวียนไป นั่นจะดูอย่างไรก็มิใช่พืชกินคนธรรมดา 

 

 

ยามที่มันไล่กวดติดตามมา อย่างน้อยๆ ก็คงต้องบอกว่ามีร้อยกว่าเส้น บนร่างของพวกมันจะมากจะน้อยต่างก็มีกลิ่นอายที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

กลิ่นอายนี้ เมื่อนางมาถึงเขตทะเลทรายก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นมา 

 

 

วิญญาณทมิฬที่ทำตัวเป็นแม่ไก่ฟักไข่มาตลอดทางก็ผุดลุดขึ้น มันกระโดดมาอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน พูดคุยกับนางผ่านทางกระแสจิตว่า “หลันหลัน เจ้าเองก็รู้สึกได้ใช่หรือไม่?” 

 

 

พอพูดออกมาแล้ว วิญญาณทมิฬก็พึมพำกับตนเองต่อไป “นี่มันคืออะไรกันแน่? ความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยเช่นนี้ …….ทำไมถึงได้คิดไม่ออกกันนะ?” 

 

 

“คิดไม่ออกก็อย่าได้ไปเสียเวลาคิดแล้ว” สีหน้าของตู๋กูซิงหลันหนักอึ้งกว่าเดิม สองมือของนางล้วงลงไปในแขนเสื้อ แต่ศีรษะกลับมองออกไปที่นอกหน้าต่างรถ 

 

 

หน้าต่างถูกปิดเอาไว้ เมื่อติดกระจกกั้นไว้บนหน้าต่าง คนที่อยู่ด้านในสามารถมองเห็นสภาพภายนอกได้ 

 

 

ถึงแม้จะเป็นกลางฤดูร้อน แต่ว่าทะเลทรายยามกลางคืนเหน็บหนาวอย่างที่สุด ทันทีที่รถม้ามาถึงทะเลทราย ก็เกิดเหตุน่าตระหนกขึ้น 

 

 

ม้าเหงื่อโลหิต [1] ทั้งสองตัวส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา มันกระทืบเท้าอย่างไม่ยอมหยุด ราวกับว่าบนพื้นมีบางสิ่งทำให้กีบเท้าร้อนลวกขึ้นมาอยู่ตลอด 

 

 

“ฝ่าบาท สถานการณ์ไม่ดีพะยะค่ะ” สารภีที่ขับรถม้าคืดหัวหน้าองครักษ์ลับหลงเซียว คนผู้นี้เป็นคนคนละประเภทกับตู๋กูเจวี๋ย หลงเซียวนั้นเป็นดั่งน้ำเต้าปิดจุก ตลอดทางที่ผ่านมานี้ เขาพูดจาไม่ถึงสิบประโยค 

 

 

เขาให้ความรู้สึกถึงการคงอยู่น้อยมากๆ น้อยมากจนเหมือนกับว่าเป็นเพียงแค่ร่างเงาเท่านั้น 

 

 

หลงเซียวกล่าวยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงม้าร่ำร้องด้วยความแตกตื่นกว่าเดิม ม้าสองตัวนี้เป็นสุดยอดม้าล้ำค่า เคยร่วมออกรบในสงครามกับจีเฉวียนมาแล้ว 

 

 

ในสถานการณ์ทั่วไปพวกมันไม่มีทางแตกตื่นง่ายๆ 

 

 

หลงเซียวกระชับบังเ**ยนจนตึง เพื่อควบคุมม้า ตู๋กูซิงหลันยื่นหน้าออกไปดู ก็เห็นว่าพื้นทรายใต้กีบเท้าของม้ามีความเคลื่นไหว ไม่รู้ว่ามีแมงป่องสีดำขนาดเท่าไข่ไก่ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ 

 

 

แมงป่องเหล่านั้นว่องไวอย่างยิ่ง พวกมันรวมกลุ่มกันป่ายปีนขึ้นมาตามขาม้า ทางหนึ่งปีนขึ้นมาทางหนึ่งก็ใช้หางปลายแหลมต่อยลงไปในร่างกายของม้า 

 

 

หลงเซียวพอเห็นสถาการณ์ที่เกิดขึ้นก็ชักดาบออกมาจากหว่างเอวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า สะบัดดาบออกไปราวกับร่ายรำ เงาดาบรวดเร็วปานโบยบิน เพียงพริบตาเดียวก็กรีดเอาแมงป่องสิบกว่าตัวตกลงไป 

 

 

แต่ว่าเจ้าพวกนี้ยิ่งทีกลับยิ่งมีมาก พวกมันไม่เหมือนกับแมงป่องธรรมดา เปลือกหนาๆ ภายนอกแข็งแกร่งประดุจเหล็ก ดาบที่กรีดผ่านเพียงทำให้เกิดรอยแผลเท่านั้น 

 

 

ยิ่งเขาออกกระบวนท่ารวดเร็ว แมงป่องดำพวกนี้ก็ยิ่งพากันคลุ้มคลั่งกว่าเดิม บุกเข้ามาจนมืดดำทะมึนไปหมด 

 

 

ฮ่องเต้ประทับอยู่ภายในรถม้า แต่สีพระพักตร์ยังคงสงบนิ่ง 

 

 

จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะหันมาปลอบประโลมตัวอ้วนน้อยอย่างตู๋กูซิงหลัน “ไม่ต้องกลัว มีเราอยู่” 

 

 

พอทอดพระเนตรเห็นว่าพวกแมงป่องดำยิ่งทียิ่งคืบคลานเข้ามาใกล้ เขาถึงได้ตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา “หยวนเฟย” 

 

 

ไม่ต้องให้เขาเรียก หยวนเฟยก็รู้ตัวอยู่ก่อนตั้งแต่ตอนที่งูเขียวน้อยเลื้อยกลับมาจากตู๋กูเจวี๋ยแล้ว ทันใดนั้นนางก็กระโดดออกมาจากรถม้าคันหลัง มองดูกองทัพแมงป่องดำด้วยสองตาเป็นประกาย 

 

 

“กะ กะ กะต๊าก!” เจ้าไก่ดำขนฟูยังปิติยินดียิ่งกว่านางเสียอีก 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 汗血宝马 

 

 

—— 

 

 

คุยกันนิดนึง: 

 

 

ไรท์ : กองทัพแมงป่องดำ! มา กระทะพร้อม น้ำมันพร้อมเลยจ้า 

 

 

ม้าเหงื่อโลหิต汗血宝马 : ม้าอัคคัลทีค (Akhaltekin) ถือเป็นสุดยอดอาชาระดับMVP แรร์ไอเท็มในตำนาน ม้าชนิดนี้เป็นอาชาคู่ใจของขุนศึกในนิยายจีน เช่น ม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้และกวนอูในสามก๊ก ม้าคู่ใจก๊วยเจ๋ง มันสามารถวิ่งได้เร็ว (เดินทางวันละพันลี้) ซื่อสัตย์ อดทนเป็นเลิศ โดยเฉพาะเมื่อต้องข้ามทะเลทราย ที่เหงื่อของมันเป็นสีแดง แต่เดี๋ยวก่อนแม้ว่าม้าพันธุ์นี้เป็นม้าสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่มันไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน มันสมบัติประจำชาติของประเทศเติร์กเมนิสถานต่างหากจ้า ขนาดกตอนที่ก๋วยเจ๋งได้ม้าตัวนี้มาก็เป็นเพราะว่าตอนนั้นเขาติดตามอาจารย์สามลึกเข้าไปในเขตแดนของพวกมองโล จึงได้พบมันท่ามกลางฝูงม้าป่าด้วยความบังเอิญ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าเหงื่อสีแดงนั่นเกิดจากรอยกัดของปรสิตที่ชอบอาศัยอยู่กับม้าชนิดนี้ ทำให้มีเลือดปนออกมากับเหงื่อ