เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นพลันเงยหน้าขึ้นมอง ตำราที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีรูปภาพอนาจารที่ตัวเองจินตนาการไว้เลย จึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

“นี่เป็นเล่มที่เก่าแก่ที่สุด ภาพคนในนี้มีเพียงแค่จูบกัน ไม่มีภาพอย่างอื่นเลย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสบายใจมากขึ้น

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงดังขึ้นมาอีก “แต่ว่าในนี้มีหลากหลายรูปแบบ วันนี้ข้าจะลองให้หมดเลย”

 

 

ครั้นแล้วการพักเที่ยงของทั้งสองคนก็เปลี่ยนรสชาติไป

 

 

อวี้ฝู่อี้เซวียนทำได้อย่างที่พูด นำการจูบรูปแบบต่างๆ ที่อยู่ในตำราออกมาทดลองจนหมด สุดท้ายก็ยับยั้งใจตัวเองไว้ ไม่ได้ทำอะไรต่อจากนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมือไม่ไหว ร่างกายอ่อนไร้เรี่ยวแรง ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ถึงขนาดคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วเขาไม่หยุดจริงๆ นางก็จะไม่ขัดขืนเขา

 

 

           แน่นอนว่าหากหวงฝู่อี้เซวียนได้ทราบว่านางมีความคิดเช่นนี้ น่ากลัวว่าเขาคงจะกลืนกินนางไปอย่างเช่นหมาป่าที่กำลังหิวกระหายเลยทีเดียว

 

 

           ทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมแนบแน่นกันตลอดทั้งยามบ่าย จนกระทั่งดวงตะวันบ่ายคล้อยลง คิดว่าเมิ่งฉีใกล้จะกลับมาแล้วหวงฝู่อี้เซวียนจึงลุกขึ้น แล้วเอาผ้าห่มผืนบางมาห่มคลุมตัวเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเอาใจใส่ สวมเสื้อผ้าให้กับตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าไปก่อนนะ คืนนี้ไม่มาแล้ว รอให้ด้านจวนราชเลขาหลินมีข่าวคราวที่ชัดเจน ข้าจะให้อี้เอ๋อร์มาส่งข่าวให้เจ้า”

 

 

           เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างเขินอาย

 

 

           ต่อหน้าของตน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยมีท่าทีเขินอายเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่อี้เซวียนรั้งใจไว้ไม่ไหว ก้มลงไปจูบนางอีกครั้งแล้วจึงเดินออกไปด้วยความพึงพอใจ

 

 

           เมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนเตียง มองดูแผ่นหลังของเขาที่เดินลับหายออกจากประตูเงียบๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกจิตใจห่อเ**่ยวขึ้นมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนออกไปแล้ว ภายในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวใด ชิงหลวนตะโกนหยั่งเชิงดังออกมาจากนอก “นายหญิง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ ผุดลุกขึ้นนั่ง “เข้ามาเถอะ!”

 

 

ชิงหลวนเดินเข้ามาในห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวสวมใส่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ปรากฏบนผิวกายอันเกลี้ยงเกลา กลับอ้าปากสูดลมหายใจเข้า “นายหญิง ท่าน ท่าน…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้รู้สึกตัว แก้มแดงปลั่ง รีบติดกระดุมอกเสื้อทันที กล่าวว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไป”

 

 

ชิงหลวนไม่ได้ตอบว่าอะไร รอจนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วจึงกระวีกระวาดเข้าไปช่วยนางพับผ้าห่มผืนบาง เห็นผ้าคลุมเตียงสีขาวไร้รอยตำหนิ จึงโล่งอก บ่นเบาๆ ว่า “นายหญิง ท่านกับซื่อจื่อยังไม่ได้มีการกำหนดการแต่งงานเลย ไม่อาจให้เขาปฏิบัติเช่นนี้ต่อท่านได้”

 

 

หากเป็นเจ้านายคนอื่นที่ได้ยินสาวใช้พูดเช่นนี้ จะต้องตำหนินางอย่างแน่นอน แต่กับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหมือนกัน รู้ว่าชิงหลวนทำเพื่อนางอย่างบริสุทธิ์ใจ อธิบายให้นางฟังว่า “จวนราชเลขาตกลงยกเลิกการหมั้นหมายแล้ว อี้เซวียนบอกว่าจะให้พระชายาเข้าวังไปขอพระราชเสาวนีย์การแต่งงานของพวกเราโดยเร็วที่สุด”

 

 

ชิงหลวนดีใจ “นั่นช่างดีเหลือเกินเจ้าค่ะ นายหญิงกับซื่อจื่อจะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นวันนี้ข้าถึงได้อนุญาตให้เขาทำอะไรเกินเลยไปบ้าง”

 

 

ชิงหลวนพยักหน้า “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่านายหญิงยับยั้งซื่อจื่อไว้บ้างดีกว่า ท่านดูสภาพของท่านตอนนี้ อีกหน่อยถ้าคุณชายรองเห็นเข้า ก็จะห้ามไม่ให้ซื่อจื่อเข้าจวนไปอีกนานเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยว “อืม” เบาๆ

 

 

เมิ่งฉีที่เหนื่อยมาตลอดทั้งวันได้กลับมาถึงบ้าน แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากที่กินอาหารเย็นอย่างรีบร้อน แล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

ผ่านไปสองวัน ทางด้านหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่มีข่าวคราวใดส่งมา เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่โรงหัตถกรรม องครักษ์จากร้านบะหมี่มันฝรั่งต่างก็มาที่นี่กันแล้ว เมิ่งฉีแบ่งงานให้พวกเขาไปดูแลโรงหัตถกรรมต่างกันไป

 

 

มีพวกเขามาช่วย ภาระอันหนักอึ้งของเมิ่งฉีก็ลดน้อยลง คนจึงไม่ได้เหน็ดเหนื่อยมาก

 

 

ผ่านไปหลายวัน เหล่าพลทหารที่บาดเจ็บและพิการต่างก็เข้าใจในกรรมวิธีการผลิตไส้กรอก ทำงานกันว่องไวมากขึ้น ของที่ทิ้งก็น้อยลงมาก แต่ก็ใช้เปลือกของไส้กรอกจนเกือบจะหมดแล้ว

 

 

ทั้งสองคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน ตัดสินใจว่าจะว่าจ้างผู้หญิงมาทำความสะอาดเปลือกของไส้กรอก โดยให้เงินค่าแรงเท่ากับพวกผู้ชายที่อยู่ในโรงหัตถกรรม

 

 

มีโรงหัตถกรรมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งโรง ตัวเมิ่งฉีเองก็ดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงปรึกษากันกับเขาว่าจะไปนำสัญญาซื้อขายทาสของเสี่ยวซือที่จวนใต้เท้าเปา ยกให้เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของโรงหัตถกรรม ต่อไปเรื่องภายนอกก็ให้เขาดูแลเช่นเดิม

 

 

ทั้งสองคนมีความประสงค์เช่นนี้มานานแล้ว เพียงแต่เปาอีฝานได้รับบาดเจ็บถึงได้ต้องล่าช้าไป ตอนนี้พอเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้นมาอีก เมิ่งฉีจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีเช่นกัน วันนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปถามดูเถอะ”

 

 

“รอให้เสี่ยวซือกลับมาก่อน จะได้ถามความเห็นจากเขา ข้าค่อยไป” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

ในระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เสี่ยวซือซื้ออาหารกลับมา เดินเข้าไปในโรงหัตถกรรมแล้วเรียกให้พวกผู้หญิงที่ทำอาหารมาเอาอาหารที่ต้องใช้ภายในโรงหัตถกรรม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกเขาเข้ามา

 

 

เสี่ยวซือเดินเข้ามา ถามอย่างสุภาพว่า “แม่นาง เรียกหาข้าด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “สัญญาทาสที่เจ้าลงนามกับจวนใต้เท้าเปานั้นคือสัญญาผูกขาดหรือว่าสัญญาชั่วคราว”

 

 

เสี่ยวซืออึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบตอบว่า “เรียนแม่นาง เป็นสัญญาผูกขาดขอรับ บิดามารดาตายไปตั้งแต่ข้าน้อยยังเป็นทารก ถูกลุงฝ่ายแม่ขายตัวให้เป็นทาส นับตั้งแต่จำความได้ข้าก็ติดตามใต้เท้าเปาแล้ว”

 

 

“เป็นเช่นนี้เอง โรงหัตถกรรมของข้าขาดผู้จัดการโดยรวมคนหนึ่ง คือช่วยพี่รองข้าจัดการดูแลโรงหัตถกรรมภายนอก ดูเจ้าเฉลียวฉลาด มีไหวพริบในการทำงาน ระยะนี้ก็แสดงฝีมือได้ดี ข้ารู้สึกพอใจมาก ข้าคิดว่าจะไปขอตัวเจ้ามาจากใต้เท้าเปา มาเป็นผู้จัดการที่นี่ ไม่ทราบว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่”

 

 

เสี่ยวซือไม่คาดคิดว่าเรื่องดีๆ เช่นนี้จะเกิดกับตัวเองได้ โง่งมไปชั่วขณะ ขนาดจะพูดยังพูดไม่ออก มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกตะลึง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “ทำไม เจ้าไม่ยอมหรือ”

 

 

เสี่ยวซือจึงรู้สึกตัวขึ้นมา โค้งตัวก้มลง น้ำเสียงตื้นตันใจ กล่าวซ้ำๆ ขึ้นว่า “ข้าน้อยยินยอมขอรับ ข้าน้อยยินยอม ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นางขอรับ”

 

 

“ดี ข้าจะไปจวนเปาเดี๋ยวนี้ ไปซื้อสัญญาทาสของเจ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าก็คือผู้จัดการใหญ่ของโรงหัตถกรรมนี้ จำไว้ ว่าต้องทำงานของเจ้าให้ดี ห้ามมีใจคิดเป็นอื่นเด็ดขาด”

 

 

เสี่ยวซือรีบร้อนตอบรับ “ข้าน้อยทราบแล้ว แม่นางโปรดวางใจ ชั่วชีวิตนี้ของข้าน้อยจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการหักหลังนายหญิงเด็ดขาดขอรับ”

 

 

“พี่รอง ข้าจะไปจวนเปาแล้ว ท่านไปแนะนำให้คนในโรงหัตถกรรมรู้เถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า บอกเสี่ยวซือว่า “เจ้าตามข้ามา”

 

 

เสี่ยวซือกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วก็ตามเมิ่งฉีไปยังโรงหัตถกรรม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินทางมาถึงจวนเปา คนเฝ้าประตูพานางเข้าไปไปในเรือนของซุนฮุ่ย แล้วตะโกนรายงานอยู่ภายในเรือนอย่างสุภาพว่า “ฮูหยินน้อย แม่นางเมิ่งมาขอรับ”

 

 

มั่วเอ๋อร์สาวเท้าวิ่งเข้ามาหาด้วยสองขาน้อยๆ ร้องเรียก “ท่านน้า” แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเขาขึ้น แล้วหมุนไปรอบๆ มั่วเอ๋อร์หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ 

 

 

ซุนฮุ่ยเดินออกมาจากห้องอย่างดีใจ “น้องโยวเอ๋อร์ ทำไมวันนี้เจ้าถึงว่างมานี่ได้ รีบเข้าไปนั่งข้างในห้องเร็วเข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางมั่วเอ๋อร์ลง จูงมือเล็กๆ ของเขาเดินเข้าไปในห้อง เดินมาถึงข้างเตียงของเปาอีฝาน

 

 

ไม่ได้เจอกันหลายวัน เปาอีฝานมีสีหน้าสดชื่นขึ้นมาก ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาด ดูมีชีวิตชีวา เวลานี้กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ครึ่งตัว เห็นนางเดินเข้ามาก็ยิ้มให้ทันที แล้วกล่าวว่า “หลายวันก่อนสะลึมสะลือมึนงง มองอะไรไม่ชัด วันนี้ได้เห็นชัดๆ แม่นางเมิ่งยิ่งมีสง่าราศีจับมากขึ้น มิน่าเล่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีถึงได้หลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ”

 

 

“สามารถพูดจาเชือดเฉือนเช่นนี้ได้ เห็นทีว่าจะไม่ตายแล้ว ข้ารู้สึกเสียดายแทนพี่ฮุ่ยจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะได้หาพี่เขยดีๆ ให้เขาใหม่” เมิ่งเชี่ยนโยวตอกกลับอย่างไม่เกรงใจ

 

 

เปาอีฝานโดนยอกย้อนจนอึ้ง รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของเขาแข็งกระด้างเล็กน้อย

 

 

เห็นท่าทางราวกับถูกบีบให้ยอมแพ้ของเขาแล้ว ซุนฮุ่ยก็หัวเราะคิกคักออกมา “ท่านน่ะ เห็นชัดว่าเป็นห่วงนางมาก แต่คำพูดที่พูดออกมานั้นกลับเป็นคำที่คนไม่ชอบ สมแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโอบไหล่ของซุนฮุ่ย แลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าทะเล้นใส่เปาอีฝาน “เห็นหรือยัง นี่คือพี่สาวแท้ๆ ของข้า ท่านสำคัญน้อยสุดเลย”

 

 

เปาอีฝานโคลงศีรษะ “เจ้านี่นะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่ยอมลงให้กับใคร”

 

 

“สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้ ข้าก็เป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิต เปลี่ยนไม่ได้แล้ว” พูดจบ ก็นั่งลงบนตั่งข้างเตียง บอกเป็นความหมายว่าให้เปาอีฝานยื่นมือมา จะได้ตรวจชีพจรให้เขา

 

 

เปาอีฝานยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือไปวางไว้บนจุดชีพจรของเขา

 

 

ซุนฮุ่ยสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา

 

 

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เพียงแค่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอไป อีกอย่างตอนนี้ท่านอย่าขยับเท้ามากนัก ดีที่สุดคือนอนพักอีกสักหลายวัน”

 

 

ซุนฮุ่ยได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้ามา ช่วงพยุงให้เขานอนลงอย่างระมัดระวัง “ข้าบอกเขาตลอด ว่าบาดแผลที่ขายังไม่หายดี ให้เขาระมัดระวังบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง จะขึ้นมานั่งให้ได้”

 

 

“ข้านอนอยู่สิบกว่าวันแล้ว นอนกระดูกกระเดี้ยวขึ้นสนิมแล้ว ถ้าไม่เคลื่อนไหวร่างกายบ้าง ประเดี๋ยวตอนบาดแผลที่ขาหายดี จะกลายเป็นคนพิการเอา”

 

 

“พิการก็ดี หากเป็นเช่นนั้นพี่ฮุ่ยจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเรื่องของท่านทุกวัน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

“เฮ้ยๆ” เปาอีฝานที่นอนอยู่ร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ “ข้าไปล่วงเกินเจ้าตรงไหน เจ้าอย่ามาแช่งข้าเช่นนี้นะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจพูดขึ้นว่า “ท่านไม่ได้ล่วงเกินข้าตรงไหนเลย ข้าแค่รู้สึกว่าท่านขัดลูกหูลูกตาเท่านั้น”

 

 

เปาอีฝานโดนตอกกลับจนอึ้งไปอีกครั้ง

 

 

ซุนฮุ่ยส่งเสียงหัวเราะออกมา

 

 

มั่วเอ๋อร์ก็ปิดปากตัวเองแอบหัวเราะ

 

 

ทุกคนพูดคุยหยอกล้อกันสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวบอกจุดประสงค์ของการมาให้เขาทราบ

 

 

ซุนฮุ่ยกล่าว “เรื่องนี้ไม่ยาก เจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปเอาสัญญาทาสของเสี่ยวซือออกมาให้เจ้า”

 

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ฮุ่ย”

 

 

ซุนฮุ่ยโบกมือ เดินเข้าไปในห้องใต้เท้าเปา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มมั่วเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนตักของตน ถามเปาอีฝานว่า “คิดจะทำอะไรหรือ”

 

 

“ดูว่าการฟื้นฟูขาของข้าว่าเป็นอย่างไร ถ้าหากดีขึ้นเป็นปกติเหมือนก่อน ข้าก็จะไปที่ค่ายทหาร ไปรับใช้ท่านแม่ทัพใหญ่ ถ้าหากไม่ไหว ข้าก็จะช่วยท่านแม่ข้าจัดการดูแลร้านค้าพวกนั้น” เปาอีฝานกล่าว

 

 

“การบาดเจ็บของท่านสาหัสมาก จะหายดีเป็นปกติไหมข้าก็ยังไม่มั่นใจ ท่านเตรียมตัวไว้เช่นนี้ก็ดี”

 

 

เปาอีฝานพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกฮุ่ยเอ๋อร์ นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

สักพักซุนฮุ่ยก็กลับมา นำสัญญาขายตัวเป็นทาสของเสี่ยวซือมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว “พอท่านแม่ข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการ ก็รีบเอาสัญญาการขายตัวเป็นทาสให้ข้าทันที ยังบอกอีกว่า ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็ให้บอกมาได้เลย”

 

 

เอาสัญญาขายตัวเป็นทาสใส่ไว้ในอกเสื้อ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ ถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการให้พวกท่านช่วยเหลือข้าจะไม่เกรงใจแน่นอน”

 

 

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้ากับข้ามิใช่คนนอก ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ามาเกรงใจกับข้า” ซุนฮุ่ยกล่าว

 

 

สัญญาขายตัวเป็นทาสมาอยู่ในมือแล้ว นั่งพูดคุยกันสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นกล่าวลา ซุนฮุ่ยรั้งนางให้อยู่กินมื้อเย็นที่บ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัดไปว่ายังมีธุระอยู่ที่โรงหัตถกรรมอีก จึงไม่ได้อยู่ด้วย

 

 

กลับมาที่โรงหัตถกรรม เสี่ยวซือไปส่งอาหารให้กับหมู่บ้านนอกเมืองแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอาสัญญาขายตัวเป็นทาสส่งให้เมิ่งฉีดู กล่าวว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ ก็ให้เขาช่วยท่านอยู่ในโรงหัตถกรรมเถอะ ส่วนเรื่องอาหารของหมู่บ้านนอกเมืองนั้น ให้เหวินเปียวส่งคนไปซื้อทุกวันเถอะ ผ่านมาหลายวันแล้ว ทางด้านตระกูลโฮ่วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ คิดว่าระยะนี้น่าจะไม่มีความคิดไม่ซื่อแล้วล่ะ อีกอย่างอากาศก็หนาวขึ้นแล้ว การบุกเบิกที่ดินร้างก็ทำได้อีกไม่กี่วันแล้ว”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า “ดี แบบนี้ข้าก็จะได้สบายขึ้นบ้าง หลายวันมานี้ข้าเหนื่อยแทบแย่จริงๆ”

 

 

“ข้ารู้ ตอนที่อยู่บ้านมีพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเหลือ จึงไม่เหนื่อยอะไร อยู่ที่นี่ดูแลประคับประคองคนเดียวนั้นเหนื่อยเกินไป ข้าก็ยุ่ง ช่วยท่านไม่ได้เลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ท่านก็เลือกคนที่พอจะใช้ได้จากคนงานเหล่านี้มาช่วยท่าน”

 

 

“ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าสนใจแล้ว จัดการกำหนดวันแต่งงานของพวกเจ้าก่อนดีกว่า ไม่เช่นนั้นหลังจากผ่านวันสิ้นปีไป ไม่แน่ว่าท่านพ่อท่านแม่จะไม่ยอมให้เจ้ามาอีก”

 

 

“จวนแล้ว ข้าขบคิดเรื่องนี้ได้หลายวันแล้ว รอให้อี้เซวียนยกเลิกการหมั้นหมาย อีกไม่นานก็จะกำหนดเรื่องการแต่งงานของพวกเรา”

 

 

ถึงแม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะบอกเมิ่งฉีไปแล้วว่าจวนราชเลขาตกลงที่จะยกเลิกการหมั้นหมายแล้วก็ตาม แต่ทางด้านจวนราชเลขานั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดมาหลายวันแล้ว เมิ่งฉีกลัวว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง รู้สึกร้อนใจ กล่าวว่า “วันนี้เจ้าส่งคนไปจวนอ๋องฉีถามอี้เซวียนดู ว่าทำไมทางด้านจวนราชเลขาถึงยังไม่ส่งข่าวมา”

 

 

“พี่รอง เรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ยิ่งกังวลก็ยิ่งโดนกลั่นแกล้ง เพื่อการแต่งงานของพวกเราแล้ว ขนาดท่านแม่ทัพใหญ่ยังถูกดึงเข้ามาเกี่ยวด้วย ถ้าหากยังไปเร่งรัดพวกเขาอีก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะมีเรื่องเดือดร้อนอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า พวกเรารอมาได้จนถึงขนาดนี้แล้ว จะไปสนใจเวลาที่เหลือทำไม”

 

 

เมิ่งฉีถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก

 

 

ผ่านไปอีกวันหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนส่งหวงฝู่อี้มาบอกกับนางว่า “จวนราชเลขากำหนดวันที่แน่นอนมาแล้ว หลังจากนี้อีกสามวันจะจัดพิธีการรับเป็นบุตรบุญธรรม พระชายาเหนียงเหนียงได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่ให้ข้ามาบอกพี่เมิ่งไว้ก่อน ถึงวันนั้นให้ท่านรออยู่ที่จวน เขาจะมารับท่านด้วยตัวเองขอรับ”

 

 

—————————-