เล่ม 15 ตอนที่ 4

Memorize

แคลนเฮาส์ เผ่าเมอร์เซนต์นารี่, ห้องประชุมเล็กชั้นสาม 

 

 

โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้าขนาดยาวถูกวางในแนวตั้ง ด้านซ้ายและขวาของโต๊ะมีผู้เล่นฝั่งละห้าคนนั่งเรียงกันเป็นระเบียบ 

 

 

ปกติแล้วจะมีที่ว่างหนึ่งที่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่งอยู่เสมอ แต่ตอนนี้มันถูกเติมเต็มด้วยสมาชิกใหม่ซึ่งเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน และการประชุมในวันนี้ก็เป็นการประชุมแรกที่สมาชิกเผ่าคนใหม่เข้าร่วม 

 

 

ผมรู้สึกพึงพอใจในขณะที่ฟังเสียงของอันฮยอนซึ่งกำลังรายงานด้วยความประหม่า 

 

 

“…ดังนั้นเมื่อวานนี้ผมจึงสามารถติดตั้งวงแหวนเวทควบคุมการเข้าออกโดยใช้คลื่นพลังเวทในคลังสินค้าได้เสร็จสมบูรณ์ครับ” 

 

 

“เมื่อวานนี้ฉันได้ตรวจสอบแล้ว สถานะของผู้ที่สามารถเข้าออกคลังสินค้าได้ในตอนนี้มีใครบ้าง” 

 

 

“ก็มีพี่…อ๊ะ ขอโทษครับ มีท่านแคลนลอร์ด ผู้เล่นโกยอนจูและผู้เล่นจองฮายอนครับ” 

 

 

“อืม เข้าใจแล้ว ทำได้ดีมาก ผู้เล่นชินซังยงก็ทำได้ดีมากเช่นกันครับ” 

 

 

อันฮยอนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันมามองผมอย่างประหลาดใจ ผู้เล่นชินซังยงที่ยิ้มอยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน ทั้งสองมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะเขินๆ ใส่กัน ผมมองพวกเขาพลางยิ้มบาง 

 

 

‘งานที่อันฮยอนจัดการก็ดำเนินไปได้เรียบร้อยดี’ 

 

 

ผมรู้อยู่แล้ว อันฮยอนขอความช่วยเหลือจากชินซังยง เพราะเขาไม่สามารถจัดการคนเดียวได้ แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา เพราะผมคิดว่าการขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องแย่อะไร และมันดีที่ได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างสมาชิกเผ่า ผมหันไปหาจองฮายอนเป็นคนต่อไป 

 

 

“คราวนี้มีเรื่องขอร้องอย่างหนึ่งมาที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ” 

 

 

ผมตีหน้าซื่อ จองฮายอนพูดขึ้นเมื่อได้รับสัญญาณจากผม 

 

 

“โอ้ เรื่องขอร้องงั้นเหรอ สงสัยจัง คำขอร้องจากเผ่าไหนเหรอครับ” 

 

 

“ไม่ใช่เผ่าหรอกค่ะ แต่เป็นคำขอร้องส่วนตัว และถึงจะบอกว่าเป็นการขอร้องแต่ก็มีบางอย่าง…” 

 

 

“คำขอร้องส่วนตัวเหรอ น่าแปลกใจจัง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ บอกมาเถอะ” 

 

 

“เรื่องนั้น…อืม…” 

 

 

สายตาที่คาดหวังของผมคงจะทำให้ลำบากใจ หางเสียงของจองฮายอนจึงสั่นแปลกๆ หล่อนมองลงมายังต้นขาของผม เมื่อผมก้มมองตามหล่อนก็เห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังหาวหวอดใหญ่ราวกับเบื่อการประชุม มันวางขาอย่างเรียบร้อยอยู่เหนือต้นขาของผมพลางแกว่งหางไปมาเบาๆ 

 

 

เมื่อมองลูกยูนิคอร์นที่หมู่นี้อวดดีเสียเหลือเกิน ผมก็ได้ยินเสียงพูดอย่างระมัดระวังของจองฮายอน 

 

 

“ถามมาว่าขอเลือดของยูนิคอร์นได้ไหมคะ จะให้ในราคาสูง…” 

 

 

กยูกยูน่ะเหรอ 

 

 

เฮือก! 

 

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นลูกยูนิคอร์นก็สะดุ้งเฮือกและโผล่ขึ้นมาเหนือโต๊ะ มันส่งเสียงร้องด้วยเสียงที่แสดงออกว่าไม่พอใจ จองฮายอนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่สบายใจ ผมลูบหลังของเจ้ายูนิคอร์นที่เงยหน้ามองผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาพลางตอบไปนิ่งๆ 

 

 

“บ้าไปแล้วสินะ” 

 

 

“จะให้ตอบกลับแบบนั้นไหมคะ” 

 

 

“ไม่ครับ ตอบกลับไปอย่างสุภาพดีกว่า บอกเขาว่าผมไม่สามารถยอมรับคำขอร้องได้ เพราะมันยังเป็นแค่ลูกยูนิคอร์น” 

 

 

“เข้าใจแล้วค่ะแคลนลอร์ด” 

 

 

เมื่อผมตอบไปอย่างชัดเจน ลูกยูนิคอร์นก็เริ่มถูแก้มเข้ากับหน้าท้องของผมด้วยความโล่งใจ ตอนนั้นเอง ในขณะที่เขาแหลมของมันทิ่มมาที่ท้อง เสียงเคาะประตูห้องประชุมเล็กก็ดังขึ้น มันจึงหันไปตามเสียงนั้นแทน 

 

 

ก๊อก ก๊อก 

 

 

“เข้ามาได้” 

 

 

และเมื่อโกยอนจูพูดอย่างนุ่มนวลประตูก็ค่อยๆ เปิดออก 

 

 

แอ๊ด 

 

 

คนที่เปิดประตูเข้ามาคือหญิงสาวในชุดเมดที่เปิดเผยเรือนร่างพอสมควร หล่อนคือผู้เล่นจากดอกไม้กลางคืนที่เข้ามาทำงานในแคลนเฮาส์ ผมคิดว่าใครที่สวมชุดนี้คงจะดูดีมาก แต่สิ่งที่ผมชอบใจมากที่สุดก็คือเข็มขัดหนังบนต้นขาเปล่าเปลือย 

 

 

“สะ สะ สะ สะ สวัสดีค่ะ ฉะ ฉันเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟค่ะ” 

 

 

“อืม ขอบใจนะ ถ้างั้นช่วยวางบนโต๊ะได้ไหม” 

 

 

โกยอนจูพยักหน้ารับด้วยเสียงที่อ่อนโยน พนักงานคนนั้นกลืนน้ำลายราวกับรู้ว่าหล่อนคือราชินีแห่งเงามืด 

 

 

“เฮ้อ…” 

 

 

ในตอนนั้นก็มีเสียงหอบหายใจด้วยความอึดอัดดังมาจากที่ไหนสักที่ 

 

 

‘เจ้าหมอนั่น’ 

 

 

พนักงานที่เสิร์ฟเครื่องดื่มเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก หล่อนตัวสั่นเหมือนลูกนกด้วยสีหน้าประหม่าราวกับกลัวอะไรบางอย่าง และอันฮยอนผู้มีรสนิยมชื่นชอบสาวชุดเมดก็กำลังมองพนักงาน เขาส่งเสียงไม่น่าฟังพลางพ่นลมหายใจออกจากจมูก 

 

 

กึกๆ! กึกๆ! 

 

 

มันไม่ใช่เสียงแปลกปลอมอะไร แต่เป็นเสียงถ้วยชากระทบกัน เพราะหล่อนตัวสั่นมากเกินไปในขณะที่เดินมาทางผม อียูจองจับจ้องด้วยแววตาที่เหมือนกับสัตว์ป่า ส่วนอันฮยอนแค่โต้แย้งด้วยสายตาที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม 

 

 

“ถะ ถ้าอย่างนั้น ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” 

 

 

ไม่นานนักหลังจากวางถ้วยชาให้ทุกคนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วพนักงานก็รีบออกไปทันที 

 

 

“การรายงานเกือบจะเสร็จแล้ว เราพักกันสักหน่อยดีไหม” 

 

 

สมาชิกเผ่าพยักหน้าอย่างยินดี ผมเกือบจะทำหน้าตาบิดเบี้ยวออกมาเมื่อยกถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดมกลิ่น อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากจะพูด แต่ถ้าเทียบกับชาที่โกยอนจูชงแล้วมันต่างราวฟ้ากับเหว แต่ถ้าแสดงสีหน้าออกไปอิมฮันนาก็คงจะสังเกตเห็น ผมจึงดื่มน้ำชาไปเงียบๆ 

 

 

“แหวะ! ไม่อร่อยเลย! นี่มันรสอะไรเนี่ย!” 

 

 

“ถุย! โอ๊ย ทำไมมันต่างกับชาที่พี่ยอนจูชงขนาดนี้!” 

 

 

“…” 

 

 

การแสดงสีหน้าของอันฮยอนและอียูจองยิ่งใหญ่มาก อิมฮันนาอมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็แฝงไปด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย 

 

 

ผมถอนหายใจสั้นๆ และตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันที มีหัวข้อสนทนาที่ดี เช่น การขอร้องให้จองฮายอนช่วยสอนแพคฮันกยอลเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ 

 

 

“ผู้เล่นจองฮายอน” 

 

 

“ซู้ด คะ?” 

 

 

“การสอนแพคฮันกยอลเป็นอย่างไรบ้างครับ” 

 

 

“อ๋อ คืบหน้าไปเร็วทีเดียวค่ะ เขาฉลาด มีความสามารถและมีความพยายามมากด้วย” 

 

 

จองฮายอนชื่นชมแพคฮันกยอลยกใหญ่ นามแท้ของเด็กคนนั้นคือผู้มากพรสวรรค์ ดูท่าว่าจะเป็นไปตามชื่ออย่างแน่นอน เมื่อเหลือบมองแพคฮันกยอลด้วยความชื่นชมก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับเขินอาย แน่นอนว่าผมเห็นอันซลทำสีหน้าบูดบึ้งด้วย 

 

 

ในขณะที่กำลังมองทั้งคู่แหย่กันอย่างน่ารักพลางแอบยิ้มในใจ จู่ๆ ผมก็ฉุกคิดเรื่องอิมฮันนาขึ้นมาได้ 

 

 

ผมคาดหวังว่าอิมฮันนาจะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศแบบนี้ได้เพราะต้องผ่านความยากลำบากทุกครั้งที่ผมรับสมาชิกใหม่เข้าร่วมเผ่า 

 

 

ผมเอียงถ้วยชาและจ้องมองหล่อนเงียบๆ อิมฮันนาเข้าร่วมเผ่าเมอร์เซนต์นารี่อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้และนี่เป็นการประชุมครั้งแรกในฐานะสมาชิกเผ่า ผมสงสัยว่าตอนนี้หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

‘ตอนประชุมก็นั่งเงียบ ดูเหมือนจะยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนสักเท่าไหร่…หือ’ 

 

 

ตอนนั้นเอง อิมฮันนาที่มีประสาทสัมผัสไวเพราะเป็นนักธนูก็เงยหน้าขึ้นสบตากับผม 

 

 

ซู้ด 

 

 

ซู้ด 

 

 

แววตาของอิมฮันนาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความปรารถนาแปลกๆ บางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ 

 

 

 

 

 

ผมนั่งอ่านบันทึกเงียบเชียบบนเก้าอี้ในห้องทำงาน บันทึกที่ถืออยู่ในมือขวาบอกไว้ว่า ทีมปัจจุบันของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ถูกจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว การซ่อมบำรุงพื้นฐานของแคลนเฮาส์ก็ใกล้จะเสร็จสิ้น สิ่งที่เหลือตอนนี้ก็คือการเพิ่มสมาชิกเผ่า 

 

 

เมอร์เซนต์นารี่มีนักเวทหลายคนอย่างที่โกยอนจูว่า แต่ถ้ามองในระยะยาวก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าถ้ามีนักสู้ระยะประชิดหรือนักบวชเพิ่มมาในตอนนี้ก็คงจะดี มีนักธนูเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้าย สุดท้ายแล้วจะรับคลาสอะไรเข้ามาก็ไม่สำคัญนักหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุด… 

 

 

ก๊อก ก๊อก 

 

 

ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดเสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้น 

 

 

“เชิญครับ” 

 

 

แอ๊ด 

 

 

คนที่เปิดประตูเข้ามาคืออียูจอง หล่อนเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่แปลกไปจากปกติ จากนั้นก็คงคำนับผมเก้าสิบองศาและพูดอย่างเรียบร้อย 

 

 

“เลดี้อียูจองมาพบท่านแคนลอร์ดค่ะ” 

 

 

“อืม มาพบผมด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ ผมไม่ได้เรียกหาสักหน่อย” 

 

 

“เลดี้มีเรื่องที่ต้องรายงานในฐานะผู้ติดตามของท่านลอร์ดจึงมาที่นี่ค่ะ” 

 

 

“เลิกล้อเล่นแล้วมาใกล้ๆ สิ” 

 

 

อียูจองกุมท้องพลางระเบิดหัวเราะออกมา แม้ว่าหล่อนจะเล่นเองก็ตามที 

 

 

ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเลือกให้อียูจองเป็นผู้ติดตามแคลนลอร์ด เจ้าตัวคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่มันมีอะไรยอดเยี่ยมสำหรับเผ่าที่มีจำนวนคนแค่สิบคนงั้นเหรอ มีเหตุผลเดียวที่ผมเลือกหล่อนมาเป็นผู้ติดตามก็เพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ส่งดาบเวทสคูเรพฟ์คืนให้ไปแล้ว 

 

 

‘รู้สึกไม่สบายใจเรื่องที่คาดผมอันบริสุทธิ์ยังไงก็ไม่รู้สิ’ 

 

 

ผมมองอียูจองที่ขยับมาอยู่ตรงหน้าผมพลางถามเบาๆ 

 

 

“วันหลังทำแบบนี้กับสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ด้วยดีไหม อันฮยอนน่าจะชอบเป็นพิเศษเลย อาจจะขอเธอคบก็ได้นะ” 

 

 

“ล้อเล่นใช่ไหมคะพี่ ถ้าให้คบกับอันฮยอน ฉันคบกับคิมฮันบยอลดีกว่า” 

 

 

หนึ่งในประโยชน์จากการเป็นผู้ติดตามคือ อียูจองมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก่อนแค่ได้ยินชื่อของคิมฮันบยอล สีหน้าของหล่อนก็จะแข็งกร้าวทันที แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากแล้ว แน่นอนว่าถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกัน ยังคงมีกำแพงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นระหว่างพวกเด็กๆ กับคิมฮันบยอลอยู่ 

 

 

“เอาล่ะ มีเรื่องจะรายงานใช่ไหม” 

 

 

“อืม พี่คะ พี่รู้เรื่องที่องค์กรตรวจสอบของเผ่าอีสตันเทลลอว์กลับมาเมื่อวานนี้แล้วใช่ไหม” 

 

 

“รู้แล้ว” 

 

 

“เมื่อกี้พนักงานที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ส่งข่าวมามั้ง ดูเหมือนเขาจะบอกว่าถ้าได้เจอพี่ที่แท่นบูชาก็คงจะดีนะ” 

 

 

‘แท่นบูชางั้นเหรอ’ 

 

 

จู่ๆ ความทรงจำที่พาแพคฮันกยอลไปที่แท่นบูชาเมื่อวันก่อนก็แวบเข้ามาในหัว 

 

 

ผมส่ายหน้าเบาๆ องค์กรตรวจสอบของเผ่าอีสตันเทลลอว์กลับมาเมื่อวานนี้ แล้วแท่นบูชาต้องการเจอผม เมื่อโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันก็มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น 

 

 

“วันนี้มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ฉันค่อยไปแล้วกัน” 

 

 

“ไม่ๆ” 

 

 

“…?” 

 

 

“พวกเขาบอกว่าจะมาเอง ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร พรุ่งนี้ช่วงสายๆ เขาอยากจะมาเยี่ยมที่แคลนเฮาส์ อืม…อะไรต่อนะ เออ ใช่แล้ว จะมาพร้อมแคลนลอร์ดของเผ่าอีสตันเทลลอว์” 

 

 

‘ว่าไงนะ’ 

 

 

น่าจะเป็นเรื่องของพวกเร่ร่อนที่ได้ยินมาคราวก่อนผมจึงพยักหน้ารับ แต่ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเนื้อหาสำคัญในท้ายประโยค สิ่งที่อียูจองพูดหมายความว่า ชาวเมืองผู้มีอำนาจจะมาเยี่ยมเราด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเป็นพวกนักบวชของแท่นบูชาซึ่งมีอำนาจมากที่สุด 

 

 

คนพวกนั้นไม่ค่อยมาเยี่ยมถึงแคลนเฮาส์เองหรอก นอกจากนี้แคนลอร์ดของเผ่าอีสตันเทลลอว์ ฮันโซยองบอกว่าจะมาด้วยจึงเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ 

 

 

“ทำยังไงดีคะ ให้พวกเขามาไหมคะ” 

 

 

“อืม ไปบอกจองฮายอน…ไม่สิ ฉันจะเรียกมาคุยเอง เธอไปตอบรับได้เลย” 

 

 

ในตอนที่ตอบไปแบบนั้น 

 

 

หัวใจที่เคยนิ่งสงบของผมก็เริ่มเต้นระรัวอีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล 

 

 

 

 

 

* * *