ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 6 สายฝนในยามเช้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

นึกถึงทุ่งหญ้า หุบเขาอัสดงในสวนโจว และพวกคัมภีร์ลัทธิเต๋ากับพวกของเก่าที่ตกหล่นอยู่ภายในทะเลสาบ เฉินฉางเซิงแสนจะประหลาดใจ และก็ดีใจอย่างมาก ในตอนที่ออกมาจากสวนโจว เขาไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พูดอีกอย่างคือ เขาไม่รู้เลยว่าตนออกจากสวนโจวมาได้อย่างไร พริบตาเดียวเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารที่ห่างออกไปนับหมื่นลี้ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าในมือของคนชุดดำมีกระดานเหล็กชิ้นนั้นอยู่ เขาไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสวนโจวในภายหลังเลย ล้วนเป็นพวกหัวเจี้ยฟูที่บรรยายให้เขาฟังระหว่างทางในภายหลัง

ถ้าหากสวนโจวยังไม่ได้พังพินาศไป ก็หมายความว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่ถูกโจวตู๋ฟูขโมยออกไปเหล่านั้นยังสามารถปรากฏสู่แสงตะวันได้อีกครั้ง

ใช่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในสวนโจว และก็เป็นสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุด ไม่ใช่สุสานแห่งนั้น มิใช่อาวุธที่คนในอดีตเหล่านั้นเหลือทิ้งไว้ และยิ่งไม่ใช่ไก่ย่างแพะย่างเงินทองและหนังสือที่เขาโยนทิ้งลงทะเลสาบไปในตอนที่ต่อสู้กับปีกคู่ของหนานเค่อ แต่แน่นอนว่ามันก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

ไม่ เฉินฉางเซิงนิ่งไป เขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาได้ และพบว่าสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในสวนโจวไม่ใช่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

อย่างน้อยสำหรับเขาก็ไม่ใช่

ถ้าหากแม่นางชูเจี้ยน…ไม่สามารถออกจากสวนโจวได้ เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าในตอนนี้จะยังอยู่ในสวนโจว ถ้าหากสวนโจวยังไม่ได้พังพินาศ ก็จะหมายความว่านางอาจจะยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม ในตอนนี้ก็ยังอยู่ในนั้น

เขารู้ว่าความเป็นไปได้เช่นนี้นั้นน้อยมาก แต่ในเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้เช่นนี้แล้ว ไหนเลยจะยังลังเลอะไรอีก ดวงจิตของเขามุ่งตรงไปยังป้ายศิลาลวงตาสีดำแผ่นนั้น

เสียงระเบิดพลันดังขึ้น สะท้อนอยู่ภายในห้วงแห่งจิตของเขา

ดวงจิตของเขาดวงนั้นกลับกลายเป็นหมอกควันนับไม่ถ้วน และก็หายสาบสูญไปจากตรงนี้

เขาพลันตื่นขึ้นมาภายในหอตำราของสำนักฝึกหลวง ห้วงแห่งจิตสั่นสะเทือน เจ็บปวดอย่างหาใดเปรียบ รู้สึกแย่จนอยากจะอาเจียนออกมา

ผ่านไปนานทีเดียว ความเจ็บปวดนั้นถึงได้ค่อยๆ ลดลง

เฉินฉางเซิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาได้แบ่งดวงจิตเข้าไปในฝักกระบี่อีกครั้ง ขอร้องให้หมื่นกระบี่หลีกทางให้ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านนั้นของมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่

แต่ว่า ที่แห่งนั้นไม่มีอะไรเลย

หมื่นกระบี่น้อมรับคำสั่งเปิดเส้นทาง เจตจำนงกระบี่ถูกถอนเก็บไป เช่นนั้นก็แน่นอนว่าจะไม่มีมหาสมุทรที่เกิดจากการรวมตัวกันของเจตจำนงกระบี่

ไม่มีมหาสมุทร ไหนเลยจะมีชายฝั่ง

ไม่มีชายฝั่ง แน่นอนว่าบนชายฝั่งก็จะไม่มีป้ายศิลาสีดำที่รอคอยการมาถึงของเขา

เฉินฉางเซิงลองคิดดู จึงละทิ้งการควบคุมกระบี่เหล่านั้น ดังนั้นเจตจำนงกระบี่ที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุดก็เข้ามาเติมเต็มช่องว่างกลางอากาศอีกครั้ง มหาสมุทรก็ปรากฏขึ้นมาใหม่

ดวงจิตของเขาแทรกผ่านมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่อย่างยากลำบากอีกครั้ง มาจนถึงชายฝั่ง มองเห็นป้ายศิลาสีดำ หลังจากนั้นก็ตกกระทบลง

ยังคงไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันใด ดวงจิตของเขาดวงนั้นก็ถูกระเบิดทำลายไป เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาและเดินออกไปจากหอตำรา

เขาในคืนนี้ได้สูญเสียพลังจิตไปมาก ไม่อาจที่จะฝืนลองอีกครั้ง

ต้องการจะสยบสวนโจวที่พบใหม่ ต้องหาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านั้นให้เจอ…ความบุ่มบ่ามอันรุนแรงทั้งหมดที่มาจากนาง ก็เป็นเรื่องที่แสนจะยากลำบาก

ต่อให้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่สามารถต้านทานต่อสิ่งล่อลวง และมีปัญญามากที่สุดในโลก ก็ยังต้องอดทนอย่างยากลำบาก

……

……

มีบางเรื่องที่เฉินฉางเซิงไม่อาจจะทนอีกต่อไปแล้ว นั่นก็คือ เขาไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว…ตั้งแต่ที่เข้าไปในสวนโจว จนถึงภายหลังที่เดินทางกลับแดนใต้นับหมื่นลี้ ไหนเลยจะมีเวลาให้เขาได้อาบน้ำ ดังนั้นหลังจากที่วันนี้เขากลับมาถึงสำนักฝึกหลวง เรื่องอะไรอื่นเขาล้วนไม่ได้ทำ พลันใช้น้ำร้อนสามถังใหญ่กับเวลาครึ่งชั่วยามในการอาบน้ำตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างละเอียดจนสะอาดไปรอบหนึ่ง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ได้อาบน้ำจนสะอาด

เมื่อกลับมายังอาคารเล็ก เขาก็ชำระร่างของตัวเองอีกสองรอบ หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีจุดใดสกปรกอีก ก็หยิบกระบี่มังกรครวญขึ้นมาเริ่มตัดแต่งทรงผม โกนหนวด และตัดเล็บมือเล็บเท้าของตัวเองให้เรียบร้อย เปลี่ยนชุดที่สะอาด เช่นนี้แล้วถึงได้รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย เขาเดินไปที่หน้าต่าง และมองไปทางคุกโจวกับสุสานเทียนซูอีกครั้ง ในใจกำลังร้องเรียกหาเจ๋อซิ่วกับถังซานสือลิ่ว และขึ้นเตียงไปนอน

ในยามนี้ได้เข้าสู่ช่วงกลางดึก

ในตอนเช้ายามห้า เขาก็ตื่นขึ้นมาอย่างตรงเวลา

ในห้องดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นบางอย่างจางๆ ไม่ใช่กลิ่นแป้ง และก็ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ แต่เมื่อได้กลิ่นแล้วก็รู้สึกสบายอย่างมาก

ที่ข้างหมอนมีเส้นผมอยู่เส้นหนึ่ง

คิดแล้ว ม่ออวี่น่าจะเคยเข้ามา

เฉินฉางเซิงค่อนข้างจะมึนงง ในใจคิดว่าเมื่อคืนนี้ตนหลับเป็นตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าม่ออวี่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ทุกคนคิดกัน

ต้องรู้ว่าเขาในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นสูงสุดของระดับทะลวงอเวจีแล้ว ต่อให้ม่ออวี่จะอยู่ในระดับรวบรวมดวงดาว ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลที่จะมานอนอยู่ข้างกายเขาหนึ่งคืนอย่างไร้สุ้มเสียง แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ได้เลย

แน่นอนว่าในใจของเขาในตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้นชิน รู้สึกว่าเหลวไหลอยู่บ้าง

ในราชสำนักต้าโจวม่ออวี่ถือเป็นสาวงามที่มีชื่อที่สุด

ในราชสำนักต้าโจวนางก็เป็นสตรีที่มีฐานะสูงศักดิ์เป็นอันดับสอง

อีกทั้งยังเป็นศัตรูของพวกเขา

เขาเพิ่งจะกลับจิงตู แม้แต่เวลาคืนเดียวนางก็ยังไม่ให้เขา ถึงกับแอบมานอนที่นี่ นี่กำลังจะทำอะไรกันแน่

อยู่ๆ นอกหน้าต่างก็มีฝนตก เสียงฝนที่ตกลงมา ไม่ได้นำพาความหนาวเย็นมามากนัก แต่ช่วงต้นฤดูร้อนก็ได้กลับไปสู่ฤดูใบไม้ผลิ

เฉินฉางเซิงมองออกไปนอกหน้าต่าง อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่มาดังมาจากทางประตูสำนักที่ไกลออกไป

ทั้งหมดล้วนค่อนข้างจะคุ้นเคย ราวกับเป็นสายฝนในยามเช้าของวันนั้น วันที่เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพาทหารม้าสวมเกราะของกองทัพเหนือของต้าโจวมา และชนทำลายประตูของสำนักฝึกหลวง

ท่ามกลางสายฝนในยามเช้าของวันนี้ ผู้ที่มาเยือนเป็นใครกัน

……

……

คนที่มายังเป็นคนของตระกูลเทียนไห่ ไม่ใช่เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย แต่ก็เป็นคนที่เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อรู้จัก

เซวียนหยวนผ้อมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็นผู้นั้น สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน ในตอนแรกแขนขวาของเขาก็ถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ทำลายไป ตามหลักแล้ว เขาควรจะเกลียดเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างมาก แต่ในภายหลัง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ถูกองค์หญิงลั่วลั่วจัดการจนกลายเป็นคนพิการ อาการบาดเจ็บยังหนักกว่าเขาเสียอีก และบาดแผลที่แขนขวาของเขาก็ถูกเฉินฉางเซิงรักษาจนหายดีแล้ว เด็กหนุ่มเผ่าหมีที่แสนซื่อก็เกิดความแค้นขึ้นไม่ได้มากเท่าไหร่ กลับกันคือเขามีความเห็นใจอยู่บ้าง

คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็คือเทียนไห่หยาเอ๋อร์ เด็กหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่เคยมีชื่อว่าดุร้ายน่าหวาดกลัวในจิงตู แน่นอน เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นอดีตไปแล้ว

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ในตอนนี้มีใบหน้าขาวซีด หน้าผากบวมอยู่บ้าง กล้ามเนื้อบนขาทั้งสองข้างเห็นได้ชัดว่าผอมแห้งอยู่บ้าง เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเป็นเช่นนี้ ถ้าหากไม่รู้ว่าเขาเคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรไปบ้าง คิดว่าจะต้องเหมือนกับเซวียนหยวนผ้อ ที่เกิดความสงสารและเห็นใจขึ้นมา

แต่เทียนไห่หยาเอ๋อร์เป็นคนที่ไม่ต้องการความเห็นใจ เขาไม่เคยเห็นใจผู้อื่น และก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาเห็นใจ ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นหรือตนเอง เขาก็ล้วนโหดเหี้ยม…ต่อให้พิการ เขาก็ไม่ยอมที่จะกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ

“เฉินฉางเซิง บรรพบุรุษเจ้าสิบแปดรุ่น***ทั้งตระกูล”

ในตอนที่เฉินฉางเซิงกลับมาถึงประตูสำนักฝึกหลวง ได้ยินคำพูดแรกที่เกี่ยวข้องกับตน ถึงแม้จนกระทั่งถึงวันนี้ ตัวเขาจะไม่รู้กระทั่งว่าใครเป็นบิดามารดาของตน และยิ่งไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของตนอยู่ที่ใด แต่เมื่อได้ยินเสียงที่แหลมเล็กของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ก็ไม่อาจจะไม่ปะทุความโกรธขึ้นจากสาเหตุนี้

ประตูของสำนักฝึกหลวงถูกเปิดออก ท่ามกลางสายฝนในยามเช้า เฉินฉางเซิงเดินไปที่ตรอกไป่ฮวา และเริ่มต้นเผชิญหน้ากับศัตรูของตน ก็เหมือนกับเมื่อปีก่อนนั้น