ตอนที่ 449 กุ้ยเฟยผู้อยู่ไม่สุข

วาสนาบันดาลรัก

เจาเฟิงตี้สวรรคตแล้ว องค์ชายหกที่มีตำแหน่งเป็นรัชทายาทย่อมได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์เป็นธรรมดา เมื่อเขาไว้ทุกข์ได้ยี่สิบเจ็ดวันก็ขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่นามว่าเฉินชิ่งตี้

 

 

ไม่ว่าสีหน้าของจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะโศกเศร้าเพียงใด แต่ในใจไม่ต่างอันใดกับบุปผาผลิบาน แต่น่าเสียดายที่เรื่องน่ายินดีนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสายหนึ่ง

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยที่กลายเป็นหวงโฮ่วไปแล้ว นางมีอาการคลอดยาก สุดท้ายคลอดองค์หญิงน้อยที่มักเจ็บปวดออดๆ แอดๆ แต่ยังไม่ครบหนึ่งเดือนเด็กน้อยก็จากไปเสียแล้ว

 

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ เดิมก็ไม่มีอันใดมั่นคงนักอยู่แล้ว หากในวังมีพระโอรสที่เกิดจากหวงโฮ่วกำเนิดขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง แต่กลับคลอดองค์หญิงน้อยที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่หนึ่งเดือนด้วยซ้ำ เฉินชิ่งตี้จึงหน้าดำคร่ำเครียดยิ่งกว่าเดิม

 

 

ลี่อ๋องที่ยังไม่ตายก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งที่ชิงเป่ย บรรดาชนเผ่าต่างๆ ตามพื้นที่ชายแดนจึงเริ่มวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

เฉินชิ่งตี้ยุ่งกับราชกิจอย่างยิ่ง ใจของเขามุ่งไปที่ท้องพระโรงเสมอ นานแล้วที่มิได้เหยียบย่างไปในวังหลัง เป็นเช่นนี้ไปกระทั่งถึงวันตรุษ เขาเปลี่ยนรัชศกใหม่ เปิดการสอบ ทั้งยังทำการอภัยโทษให้กับนักโทษทั้งหลาย และมีราชโองการให้หลัวเทียนเฉิงและเซียวอู๋ซังนำทัพไปรบกำจัดข้าศึกทั่วสารทิศ เขาเริ่มซื้อใจบรรดาซื่อจื่อทั้งหลาย และจัดการกับขุนนางเก่าแก่ที่ไม่รู้จักอยู่เฉย

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ขุนนางเก่าแก่จึงเริ่มเข้าใจอันใดเสียที จักรพรรดิพระองค์ใหม่มิใช่คนไร้ความสามารถอย่างที่พวกเขาคิด พวกเขาจึงเริ่มอ่อนข้อลงบ้างทุกอย่างจึงผ่านไปอย่างราบรื่น

 

 

เมื่อทุกอย่างราบรื่น กระทำสิ่งใดย่อมสำเร็จลุล่วง เวลาจึงมีเหลือเฟือ

 

 

จักรพรรดิหรือเมื่อมีเวลาว่างก็ย่อมต้องไปเดินเล่นที่วังหลังของตนสักหน่อย

 

 

ตั้งแต่จ้าวเฟยชุ่ยสูญเสียบุตรสาวไป นางก็มีท่าทีหมดอาลัยตายอยาก ครั้นเห็นเฉินชิ่งตี้ นางมิได้คิดว่าเขาได้กลายเป็นจักรพรรดิไปแล้ว จึงทำหน้ามึนตึงไล่คนออกไป เฉินชิ่งตี้ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเปลี่ยนไปหาจิ้งกุ้ยเฟยแทน

 

 

ถูกต้อง เจินจิ้งในยามนี้ได้กลายเป็นกุ้ยเฟยไปแล้ว

 

 

สำหรับบุรุษแล้ว หากใจเขามีเจ้า แม้แต่การเอาแต่ใจก็ยังเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา แต่หากใจเขาไม่มีเจ้า เมื่อมีเวลาว่างก็คงไปแม้แต่จะสนใจเจ้า

 

 

มารดาของจ้าวเฟ่ยชุ่ยทราบเรื่องนี้เข้าจึงขอมาเข้าเฝ้าในวัง เมื่อมาถึงนางก็ด่าว่าบุตรสาวยกใหญ่อย่างลืมไปว่านางได้กลายเป็นหวงโฮ่วแล้ว “เจ้าเป็นคนโง่หรือ หา บุตรสาวผู้โง่เขลาของข้า เขาเป็นจักรพรรดิไปแล้ว เจ้ายังจะเอาแต่ใจเช่นเดิมอีกหรือ”

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยไม่ยอมเช่นกัน “ลูกก็เป็นเช่นนี้มาตลอด แต่ก่อนท่านไม่ก็มิเคยว่าอันใด”

 

 

มารดานางโมโหจนต้องกลอกตา “แต่ก่อน แต่ก่อนใครจะคิดว่าเขาจะได้มาเป็นจักรพรรดิเล่า”

 

 

เดิมคิดว่าบุตรสาวเป็นคนเอาแต่ใจ ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม การแต่งให้กับองค์ชายที่ทำการใดไม่สำเร็จนั้น ทั้งมีเกียรติและนางก็มิต้องทนทุกข์ ผู้ใดจะคิดว่ามันจะกลับตาลปัตรเช่นนี้เล่า

 

 

ตอนนี้มีคนจำนวนไม่น้อยต่างพูดคุยกันลับหลังถึงจวนมู่เอินโหวว่าแม้จะมิได้เพียบพร้อมสักเท่าใด ต้นตระกูลก็มิออกจะธรรมดาสักหน่อย แต่กลับมีความคิดทั้งสายตาเฉียบแหลมไม่เบา

 

 

ก่อนหน้านี้เป็นเพียงพระชายาขององค์ชายหก ตอนนี้กลับเป็นหวงโฮ่วเสียแล้ว สายตาแหลมคมจริงๆ

 

 

แต่หากนางอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ถูกปลดจากตำแหน่งหวงโฮ่ว คาดว่าบรรพบุรุษคงโกรธเกรี้ยวจนต้องปีนออกมาจากหลุมฝังหลุมแน่

 

 

ไม่ง่ายเลยที่จะจับคู่สุ่มๆ แล้วได้ดีเช่นนี้ หากเจ้ารักษามันไว้ไม่ได้ ข้าจะจัดการเอง

 

 

มารดานางโมโหจนแทบจะเอ่ยวาจาเหล่านี้กับบุตรสาวเสียแล้ว แต่ก็รู้ว่าไม่น่าจะได้ผลอันใดนักจึงเอ่ยกระตุ้นว่า “เจ้าจะยอมให้อนุแค่คนเดียวมาเหยียบเจ้าจมดินหรือ หากมอบผ้าขาวให้แขวนคอ แล้วตายไปก็ช่างเถิด กลัวแต่จะถูกส่งไปอยู่ตำหนักเย็น ทั้งยังคอยไปแสดงความเมตตามอบผ้าขี้ริ้วขาดๆ กับหมานโถวลูกเล็กให้เจ้าอยู่บ่อยครั้ง เจ้าว่า เจ้าอยากจะใช้ชีวิตเช่นนี้จริงๆ หรือ”

 

 

มารดานางพูดตรงใจจ้าวเฟยชุ่ยเสียแล้ว แววตานางไหวระริกขึ้นมาทันที

 

 

แน่นอนว่านางมิใช่สตรีป่าเถื่อน เพียงแต่นางมิได้มีใจให้กับบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี จึงคิดจะมีบุตรไว้คอยเป็นเพื่อน คิดไม่ถึงว่าลูกน้อยเกิดมาไม่นานก็จากนางไป นางจึงมีท่าทีหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้

 

 

“นางไม่คู่ควรสักนิด!” จ้าวเฟยชุ่ยกัดฟันกรอด แล้วแค่นยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าคิดว่าข้าโง่ ตอนนี้นางมีบุตรชายหนึ่ง บุตรสาวหนึ่ง แล้วอย่างไรเล่า เจินเจินเป็นมิได้เป็นกระทั่งบุตรสาวคนโตด้วยซ้ำ ต่อให้ฝ่าบาทรักใคร่เอ็นดูเพียงใด เติบใหญ่ขึ้นก็ต้องแต่งงานออกไปอยู่ดี ส่วนองค์ชายน้อย หึๆ เป็นบุตรชายคนโตก็จริง แต่เป็นบุตรชายคนโตก็มิได้ดีที่ตรงใด ฝ่าบาทยังหนุ่มแน่น รอจนเขาอายุสามสิบ ฝ่าบาทก็ยังไม่ถึงหกสิบปีด้วยซ้ำ บุตรชายตอนเล็กนั้นดูน่ารักชั่ง รอให้เติบใหญ่ความคิดเก่งกล้าแล้ว เกรงว่าคงมิได้โปรดปรานอันใดแล้ว”

 

 

วาจานี้ทำให้มารดานางถึงกับตกตะลึงไป นางคิดด้วยความดีใจว่าที่แท้บุตรสาวตนมิใช่คนโง่ แม้ที่นางพูดจะเป็นเหตุผลที่ง่ายยิ่งแต่จะมีสักกี่คนที่เมื่อตกในสถานการณ์เช่นนางแล้วจะมองออกได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนที่ลนลานเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ และเมื่อลนลานก็ง่ายต่อการทำเรื่องผิดพลาด

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้มารดานางจึงเริ่มสบายใจขึ้น

 

 

ความจริงนางเข้าใจผิด จ้าวเฟยชุ่ยมิได้ใจกว้างอันใดเลย เพียงแต่นางมิได้รักชอบจักรพรรดิพระองค์ใหม่ นางเป็นคนที่คอยยืนมองความคึกคักทุกอย่างที่เกิดขึ้นดั่งคนนอกคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยจึงเอ่ยขึ้นอีกประโยคหนึ่งว่า “ท่านแม่วางใจเถิด ลูกเป็นหวงโฮ่ว ขอเพียงวางท่าให้ดี ยังจะมีใครทำอันใดลูกได้เล่า”

 

 

การปลดหวงโฮ่วนั้นมิใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย ในประวัติศาสตร์มีหวงโฮ่วมากมายที่ไม่มีแม้แต่บุตรชาย การปลดหรือ มันไม่เคยเกิดขึ้นเพียงเพราะไม่มีบุตรชายอย่างแน่นอน

 

 

การเป็นหวงโฮ่วนั้น เจ้าไม่ทำอันใดไม่เป็นไร กลัวแต่เจ้าจะทำมากเกินไปมากกว่า การเข้าไปแย่งชิงความโปรดปรานกับบรรดาสนมในบ่อโคลนตม มีหรือที่สุดท้ายจะไม่เปื้อนดินโคลน

 

 

“แต่ก็ไม่อาจเอาแต่ปั้นปึ่งใส่ฝ่าบาท…”

 

 

“ท่านแม่ ลูกเอาใจใครเป็นที่ไหนเล่า”

 

 

มารดานางครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย บุตรสาวตนมิใช่คนที่จะไปเอาอกเอาใจใครได้ การเป็นหวงโฮ่วนั้นเหมาะสมกับนางแล้ว

 

 

เมื่อมารดาจ้าวเฟยชุ่ยกลับถึงจวน ถึงเรือน ดื่มชาร้อนๆ นางจึงนึกขึ้นได้ว่าตนคิดจะไปเกลี้ยกล่อมบุตรสาวให้รู้จักเอาอกเอาใจฝ่าบาท แล้วเหตุใดจึงถูกบุตรสาวเกลี้ยกล่อมแทนได้เล่า

 

 

การมาของมารดาครั้งนี้ ความจริงก็มีประโยชน์ไม่น้อย ท่าทีสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยากที่จ้าวเฟยชุ่ยเคยมีได้หายไปแล้ว นางกลับมามีกำลังใจและพร้อมสู้ใหม่อีกครั้ง

 

 

นางมีกำลังใจขึ้นมาแล้วแต่ก็คร้านจะไปแยกชิงกับบรรดาหญิงงามในวังหลัง เพราะหวงโฮ่วแย่งชิงไม่เป็น หากโมโหก็แค่บิดเบ้มุมปากตนเท่านั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ นางควรออกไปทำความรู้จักผู้คนเพื่อพัฒนาตนจะดีกว่า

 

 

ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟยชุ่ยจึงมักจัดการเลี้ยงน้ำชาทุกสามวันห้าวัน โดยเชิญบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายมาร่วมด้วยซึ่งหนึ่งในนั้นย่อมมิอาจขาดเจินเมี่ยวจยาหมิงเซี่ยนจู่ไปได้เลย

 

 

หลังจากจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ กลับให้ความสำคัญกับหลัวซื่อจื่อมากกว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนเสียอีก เขายังกลับมาไม่ถึงเมืองหลวงด้วยซ้ำก็ทรงพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ให้เสียแล้ว

 

 

ส่วนเรื่องที่หวงโฮ่วจัดงานเลี้ยงน้ำชากับบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลาย ฝ่าบาทมิได้ก้าวก่ายแม้แต่น้อย กระทั่งคิดว่าในที่สุดคนโง่เขลาเช่นนางก็คิดได้เสียที เขายังนั่งบัลลังก์ได้ไม่ถึงหนึ่งปี ก้นยังมิทันอุ่นด้วยซ้ำ จึงมิได้มั่นคงอันใดเพียงนั้น หากสามารถสนิทสนมและมีความสัมพันธ์อันดีกับบรรดาฮูหยินของเหล่าขุนนางได้ ย่อมเป็นเรื่องดี

 

 

ส่วนเรื่องที่นางมักทำหน้ามึนตึงใส่เขานั้น หึๆ ผู้ใดจะสนว่าเป็นแมวลายหรือแมวดำ ขอแค่มันจับหนูได้ก็พอ อีกอย่างนางก็มิใช่สตรีที่เขาคิดจะหลับนอนด้วยอยู่แล้ว

 

 

เพียงแต่ครานี้กลับมีคนนั่งไม่ติดที่เสียแล้ว

 

 

เจินจิ้งที่ยามนี้กลายเป็นกุ้ยเฟยไปแล้วจึงใจกล้าขึ้น คิดการใหญ่มากยิ่งขึ้น นางคิดว่าในเมื่อหวงโฮ่วยังจัดงานเลี้ยงน้ำชาได้ นางก็ทำได้เช่นกัน