ตอนที่ 889 สันติสุขอันล้ำค่า

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วถามว่า “ใครคิดน้อยไป” 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิง “ขอโทษด้วย ฉันเองที่คิดน้อยไป…” 

 

 

[ได้แต้มจากเยี่ยเสี่ยวหมิง +999] 

 

 

ทันใดนั้น หลี่เฮยทั่นที่อยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่พูดขึ้นว่า “นายไม่ได้คิดน้อยไป นายคนถูกกำจัด…” 

 

 

หลี่เฮยทั่นรู้สึกเหมือนกับตัวเองขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ขาของหัวหน้าคนใหม่คนนี้ช่างน่ากอดจริงๆ! 

 

 

หลี่เฮยทั่นเป็นคนตรงไปตรงมา คนอื่นกลายเป็นคนเร่ร่อนหลังจากนายทาสเสียชีวิตแต่เขาเป็นคนชอบพูดความจริงแล้วยังชอบแย่งพูดด้วย นายทาสใจดีจึงเสนอให้เขาเป็นไท และมอบเสบียงให้เขาบางส่วนก่อนเขาจากมา… 

 

 

คำที่ว่าอยู่ก็เจ็บแยกกันดีกว่าก็คงจะประมาณนี้… 

 

 

ต่อมาเขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านชิงหลง ตอนแรกหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าเขาค่อนข้างเป็นคนซื่อจึงคิดจะใช้งานเพราะใครจะไม่ชอบลูกน้องบื้อสักหน่อย เชื่อฟังคำสั่ง 

 

 

แต่แล้วหลี่เฮยทั่นประชุมกับหัวหน้าหมู่บ้านสองครั้งก็ไปพูดล่วงเกินเยี่ยเสี่ยวหมิงถึงสองครั้งจึงโดนลงโทษทั้งสองครั้ง 

 

 

ตอนนั้นเยี่ยเสี่ยวหมิงคิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านชิงหลงมีใจกบฏจึงจงใจใช้หลี่เฮยทั่นมายั่วยุเขา 

 

 

แต่ต่อมาเขาพบว่าไม่ใช่ หลี่เฮยทั่นค่อนข้างซื่อบื้อ… 

 

 

ตอนนี้หลี่เฮยทั่นรู้สึกฮึกเหิม หลังจากอยู่กับหัวหน้าคนนี้ จะด่าเยี่ยเสี่ยวหมิงยไงไงก็ยังปลอดภัยดีอยู่ ก่อนหน้านี้ถูกโบยไปสองครั้งแต่ครั้งนี้กลับได้รับสายตาชื่นชมจากหลี่ว์ซู่ เขาจึงรู้สึกว่าตนเองได้เจอเจ้านายอันประเสริฐแล้ว! 

 

 

เป็นเพราะเขาไม่รู้จักพูดหรือหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าอ่อนแอเกินไปนะ? 

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนกำแพง หัวเราะแล้วมองเยี่ยเสี่ยวหมิง เยี่ยเสี่ยวหมิงอยากจะพูดบางอย่างแต่หลี่ว์ซู่ส่งสัญญาณมาให้เขาและพูดว่า “รอทุกอย่างยุติแล้วค่อยพูด” 

 

 

เสียงร้องตะโกนดังขึ้นข้างหลังเยี่ยเสี่ยวหมิง หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้แต้มอารมณ์มาเป็นระยะๆ การฆ่าคนเป็นวิธีที่ได้แต้มที่ดีที่สุดจริงๆ 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงมองคนที่อยู่ข้างหลังใกล้จะตายกันหมด ตัวเขากลับไม่กล้าขยับ เขาสัมผัสถึงความน่ากลัวใต้ดินนั้น อีกฝ่ายไม่เพียงมีบ่าวที่มีพลังระดับ 1 อีกสองคนใต้ดินนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน! 

 

 

ตอนนี้เยี่ยเสี่ยวหมิงเป็นผู้มีพลังระดับ 2 ขั้นกลาง ส่วนแอนโทนี่และจอห์นสันเป็นผู้มีพลังระดับ 2 ขั้นสูงสุดตั้งนานแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เยี่ยเสี่ยวหมิงอยู่มานานขนาดนี้จนกลายเป็นผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยย่อมมีสายตามองคนออก จากที่เขาสังเกตเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายวัยรุ่นคนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย! 

 

 

แต่สิ่งที่เยี่ยเสี่ยวหมิงไม่เข้าใจก็คือคนพวกนี้เป็นใครมาจากไหน 

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นหัวหน้าบาทหลวงกำจัดคนไปพอสมควรแล้วจึงยิ้มและพูดว่า “นายเห็นพลังของฉันแล้ว ฉันก็ไม่อยากโหดเหี้ยม ไม่อย่างนั้นนายคงไม่มีโอกาสมายืนฟังฉันพูดตรงนี้หรอก” 

 

 

“ครับๆๆ ” เยี่ยเสี่ยวหมิงรีบพยักหน้า “ท่านพูดถูก ขอบคุณท่านที่เมตตา” 

 

 

“นับจากนี้ไป พื้นที่ใกล้เมืองอวิ๋นอานก็ให้หมู่บ้านชิงหลงจัดการ ทำการค้าตามเดิม นายแบ่งเงินตามเดิม” หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วพูด “แต่ฉันเป็นคนกำหนด” 

 

 

หลี่ว์ซู่ใคร่ครวญมาก่อนแล้วว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยไม่ควรไปยุ่ง ถ้าเขาฆ่าเยี่ยเสี่ยวหมิง จอมทัพสวรรค์จะต้องส่งผู้มีพลังระดับ 1 มาที่นี่ ถึงตอนนั้นสถานการณ์อาจควบคุมได้ยาก 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงตะลึงไปครู่หนึ่ง “ท่านหมายความว่า? “ 

 

 

“นายรู้ว่าฉันจะฆ่านายเมื่อไหร่ก็ได้” หลี่ว์ซู่หัวเราะ “แต่พวกเราเป็นพ่อค้ารักสันติ ปล้นฆ่ากันมันไม่ดี” 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงหันหลังไปมองกองซากศพข้างหลัง นี่หรือที่เรียกว่ารักสันติ 

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นก็เข้าใจว่าเขาคิดอะไร “ตอนนี้ฉันช่วยนายกำจัดโจรป่าจนหมด ไม่เพียงเอาเรื่องนี้ไปรายงานเอาความดีความชอบ นายก็จะยังได้เงินมากเหมือนเดิม” 

 

 

“ท่านคิดจะทำการค้าอะไร” เยี่ยเสี่ยวหมิงถามด้วยความหวาดกลัว “ท่านน่าจะรู้ว่าพวกเรารีดเลือดกับปูไม่ได้ ไปบีบคั้นชาวบ้านในเมืองมากเกินไปจะเท่ากับฆ่าตัวเอง” 

 

 

“วางใจเถอะ ฉันมีแผนของฉัน” 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาดื้อรั้นจึงยอมไปก่อนแล้วค่อยกลับไปคิดวิธีรับมือ 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมทีฉันอยากจะเป็นคนดีแต่เพราะเมืองอู่เว่ยไม่เป็นมิตร จำต้องมาเป็นโจร ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง…” 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงกระตุกยิ้มมุมปาก ท่านบอกว่าโลกนี้อยู่ยากหรือ 

 

 

หลี่ว์ซู่ปล่อยเยี่ยเสี่ยวหมิงกลับไป สิ่งที่ทำเรื่องแรกเมื่อเขากลับไปคือส่งคนไปรายงานที่เมืองหนานตู ขอความช่วยเหลือจากขุนนางนายเหนือหัวเขา ขุนนางท่านนั้นมีพลังระดับ 1 ขั้นกลาง มีทาสระดับพลัง 1 ชั้นล่าง ถือว่าเป็นขุมกำลังสำคัญของจอมทัพสวรรค์ทักษิณเหวินไจ้โฝ่ว 

 

 

แต่คนที่เขาส่งออกไปก็ถูกดินโคลนทับตายหลังจากพ้นประตูเมืองไป เยี่ยเสี่ยวหมิงไม่เชื่อจึงส่งคนออกไปพร้อมกันถึง 10 กว่าคนแต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าตายหมด! 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงหวาดผวาจนนอนไม่หลับในคืนนั้น เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กลัวเขาจะสร้างเรื่องวุ่นวายและไม่กลัวขุนนางท่านนั้นด้วย! 

 

 

ตอนนี้ทำอย่างไรดี! ได้แต่เพียงสงบสยบความเคลื่อนไหว ดูว่าอีกฝ่ายคิดจะทำการค้าอะไรในเมืองอวิ๋นอาน! 

 

 

เยี่ยเสี่ยวหมิงกระจายลูกน้องคนสนิทไปทั่วเมืองอวิ๋นอาน เขาสั่งให้รายงานเขาทันทีเมื่อมีความเคลื่อนไหวแม้แต่เพียงเล็กน้อย 

 

 

ในคืนที่เขานอนไม่หลับนั้น เยี่ยเสี่ยวหมิงคิดถึงบ่าวที่มีพลังระดับ 1 ของหลี่ว์ซู่และนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ ทำไมถึงมาที่เมืองนี้ได้… 

 

 

ในขณะที่เขาทอดถอนใจนั้น หลี่ว์ซู่ก็ทอดถอนใจกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “ทำไมแผนของฉันถึงได้ผิดเพี้ยนเช่นนี้ อยากจะเป็นคนดีแท้ๆ แต่ต้องมากลายเป็นหัวหน้ากองโจร โลกนี้ช่างไม่น่าอยู่เอาซะเลย! แต่พวกเราจะเป็นอย่างพวกโจรป่าไม่ได้ พวกเรามีปัญญาอย่าลักขโมยแบบเขา! “ 

 

 

ตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น หลี่เฮยทั่นพาคนและม้าจำนวนหนึ่งเข้ามาในเมืองอวิ๋นอาน ตรงไปยังโรงจำนำที่หลี่ว์ซู่เคยไปก่อนหน้านี้ 

 

 

หลี่เฮยทั่นลงจากม้าเดินเข้าประตูไปและยิ้มอย่างซื่อๆ “เถ้าแก่หลิน ฉันมาจากหมู่บ้านชิงหลง ภูเขาอาน หัวหน้าฉันบอกว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด เขาเคยบอกว่าวันหลังเขาจะมาเก็บค่าคุ้มครองก็ต้องเป็นไปตามนั้น ดังนั้นรอบเมืองนี้มีเพียงหมู่บ้านชิงหลงและจะไม่มีหมู่บ้านอื่นๆ มาวุ่นวายอีก! “ 

 

 

หลินกุ้ยถอนหายใจ อะไรที่ต้องมายังไงก็ต้องมา เขาโบกมือเรียกลูกน้องให้ยกถาดคลุมผ้าแดงออกมา “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีกับหัวหน้าของนาย กรุณารับมันไว้ด้วย! “ 

 

 

“อย่าทำเช่นนี้” หลี่เฮยทั่นพูด “หัวหน้าบอกไว้ว่า ค่าคุ้มครองที่เก็บจากพวกนายจะไม่เสียเปล่า วันหลังหมู่บ้านซิงหลงของเรา… ต้องพูดยังไงนะ จะเปลี่ยนกฎระเบียบใหม่ รู้ว่าทุกคนทำงานมาลำบากจึงไม่คิดจะแย่งชิงแต่จะมาทำการค้าด้วย! “ 

 

 

“การค้าอะไร” หลินกุ้ยตกใจ 

 

 

หลี่เฮยทั่นให้คนข้างหลังยกกล่องมา 1 ใบ เมื่อเปิดออกข้างในก็วางก้อนสบู่กึ่งโปร่งแสงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย บนก้อนสบู่แกะลายดอกไม้ไว้ 

 

 

หลินกุ้ยไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร หลี่เฮยทั่นตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์ “ยกอ่างน้ำมา” 

 

 

เมื่อยกน้ำมาแล้ว หลี่เฮยทั่นเอามือแปะน้ำหมึกจากนั้นก็หยิบสบู่มา 1 ก้อน จุ่มน้ำแล้วก็ถูกับมือ หลังจากที่ถูไปมาไม่นานก็ล้างมือในอ่างน้ำนั่น หมึกที่เปื้อนมือก็หายไป! 

 

 

หลี่เฮยทั่นชำเลืองมองหลินกุ้ย “…” 

 

 

หลินกุ้ยจ้องมองหลี่เฮยทั่น หลี่เฮยทั่นก็ไม่พูดอะไร 

 

 

คนข้างๆ หลี่เฮยทั่นจึงพูดเตือนขึ้นว่า “หัวหน้าบอกว่านี่คือเวลาที่ได้เป็นสักขีพยานกับความมหัศจรรย์” 

 

 

“ใช่ๆๆ ได้เป็นสักขีพยานกับความมหัศจรรย์! ” หลี่เฮยทั่นหัวเราะเสียงดัง “วิเศษไหม” 

 

 

หลินกุ้ยพินิจสบู่ก้อนนี้ดูแล้ว ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเชื่อจึงหยิบมาลองใช้ดูแล้วพบว่าพลังการทำความสะอาดดีมากอย่างที่คิด! 

 

 

หลี่เฮยทั่นนั่งลงบนโต๊ะ “หัวหน้าพวกเรายังบอกอีกว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้ซักเสื้อผ้าได้สะอาดมากด้วย! 1 ก้อนขายให้นาย 30 ธนบัตร ไม่แพงใช่ไหม” 

 

 

ตอนนี้หลินกุ้ยเริ่มสนใจหัวหน้าคนใหม่ของหมู่บ้านชิงหลงซะแล้ว ถึงก้อนละ 30 บาทจะแพงไปหน่อยแต่เขารู้สึกสบายใจกว่าโดนขู่รีดเอาเงินไปดื้อๆ 

 

 

แล้วเขาซื้อมา 30 ธนบัตรแต่ถ้าส่งไปขายที่เมืองหนานตูหรือเมืองหลวง พวกสตรีชั้นสูงพวกนั้นยอมจ่ายเงินให้มากกว่าหลายเท่าเลย! 

 

 

มันไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้นหรอกแต่มันแค่เป็นสิ่งใหม่และหายาก! 

 

 

หลินกุ้ยยิ้มแฉ่งทันที “ตอนแรกที่ฉันเห็นหัวหน้าของนายก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนมหัศจรรย์เช่นนี้ ฝากกลับไปบอกท่านว่าโรงจํานําหลินยินดีทำการค้ากับท่าน” 

 

 

หลี่ว์ซู่อยู่ๆ ก็กลายมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่สุดท้ายถึงจะเริ่มด้วยการค้าด้วยการบังคับซื้อแต่เขาก็ได้สร้างเริ่มธุรกิจค้าสบู่ของเขาแล้ว… 

 

 

ถึงขั้นตอนจะคดเคี้ยวไปหน่อยแต่ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทุกเส้นทางบนโลกสุดท้ายก็นำไปสู่ปลายทางเดียวกัน ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอแล้ว…