ยิ่งอ่านสีหน้าของมู่เจิ้งเฟิงก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากอ่านจบ มู่เจิ้งเฟิงมองเฉินโม่ด้วยสีหน้าตกตะลึง!
“เจิ้งเฟิง มันเขียนว่าอะไรกันแน่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
มู่เจิ้งเฟิงมองเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ ยื่นกระดาษโบราณให้เขาแล้วกล่าวว่า “นายอ่านเองเถอะ!”
หลังจากผู้อาวุโสคนนั้นอ่านจบ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน และมองเฉินโม่ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้น กระดาษโบราณแผ่นนั้นก็ถูกส่งต่อไปยังคนต่อไปเรื่อย ๆ หลังจากไม่นาน สมาชิกอาวุโสระดับสูงของตระกูลมู่เกือบทั้งหมด ได้อ่านเนื้อหาในกระดาษโบราณแล้ว
“ตอนนี้พวกนายรู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของสำนักยาเซียนแล้วใช่ไหม” เฉินโม่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สมาชิกทุกคนของตระกูลมู่ รวมถึงมู่เจิ้งเฟิงต่างนิ่งเงียบ
จากข้อมูลบางอย่างที่พวกเขารู้ พวกเขารู้ว่าบันทึกในกระดาษโบราณแผ่นนั้นมีแนวโน้มจะเป็นความจริง แต่สมาชิกของตระกูลมู่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเมื่อยอมรับแล้ว เท่ากับการมอบสำนักยาเซียนให้เฉินโม่
ผู้อาวุโสของตระกูลมู่คนหนึ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็ตัดสินใจ
“เฉินไต้ซือ เพียงแค่อาศัยจดหมายสั่งเสียก่อนตายฉบับหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ ก็จะมาแย่งชิงสำนักยาเซียนของพวกเราที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีไป มันวางอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าตระกูลมู่จะสู้นายไม่ได้ แต่ตระกูลมู่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และคนของโลกฝึกบู๊เกือบทั้งหมดเคยได้รับบุญคุณจากตระกูลมู่ การที่นายทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นศัตรูกับสมาชิกของโลกฝึกบู๊ทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เฉินโม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถึงแม้จะเป็นศัตรูกับสมาชิกของโลกฝึกบู๊ทั้งหมด ผมก็ไม่กลัว?”
“……”
สมาชิกทุกคนของตระกูลมู่พูดอะไรไม่ออก
“จองหอง! เฉินไต้ซือ ถ้าคำพูดประโยคนี้ของนายแพร่กระจายออกไป เกรงว่ามันจะทำให้สมาชิกโลกฝึกบู๊ของหัวเซี่ยทั้งหมดร่วมมือกันโจมตีนาย! ถ้านายสัญญาว่าจะไม่เป็นศัตรูกับสำนักยาเซียน พวกเรายินดีที่จะช่วยนายเก็บเป็นความลับ!” ผู้อาวุโสระดับสูงที่มีไผอยู่ที่คางคนหนึ่งของตระกูลมู่ข่มขู่ด้วยความลำพองใจ เขาคิดว่าสามารถจับจุดอ่อนของเฉินโม่ได้
เฉินโม่กล่าวเยาะเย้ย “ผมรับน้ำใจของตระกูลมู่แล้ว”
“ตอนแรกผมคิดจะให้เวลาพวกคุณสามวัน เพื่อย้ายออกไปจากสำนักยาเซียน แต่ตอนนี้…..ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
เฉินโม่ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกคุณย้ายออกจากสำนักยาเซียนทันที ถ้าฝ่าฝืน ตาย!”
น้ำเสียงของเฉินโม่ราบเรียบ แต่สมาชิกของตระกูลมู่ไม่มีใครกล้าสงสัยคำพูดของเขา เจตนาฆ่าที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเฉินโม่ ดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้ร่างกายของคนแข็งทื่อได้
สีหน้าสมาชิกทุกคนของตระกูลมู่เคร่งขรึม บรรยากาศในห้องโถงอึดอัดอย่างยิ่ง
ในที่สุดผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เฉินไต้ซือ ถ้านายคิดจะยึดครองสำนักยาเซียนของพวกเรา ก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน พวกเราจะทำตามเจตจำนงของผู้นำตระกูล ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูลมู่!”
“ถ้าเช่นนั้นพวกคุณก็ตายเป็นเพื่อนผู้นำตระกูลเถอะ!”
หลังจากเฉินโม่กล่าวจบ แสงสีทองพุ่งออกมาจากกลางศีรษะ กระบี่สับสวรรค์ผ่านคอสมาชิกอาวุโสของตระกูลมู่เหล่านั้น ด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
“ไม่!” มู่เจิ้งเฟิงร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า เขาเอามือทั้งสองคลุมศีรษะ คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ยังมีคนที่จะทำตามเจตจำนงของผู้นำตระกูลอีกไหม?” เฉินโม่ถามด้วยความเย็นชา ดุร้ายและทรงพลังราวกับเทพสังหาร
เฉินโม่สังหารสมาชิกอาวุโสระดับสูงของตระกูลมู่ด้วยกระบี่เดียว ตอนนี้สมาชิกรุ่นใหม่ของตระกูลมู่ตกใจจะขวัญหนีดีฝ่อ แล้วพวกเขาจะกล้าต่อต้านได้อย่างไร?
เฉินโม่หันไปมองมู่เจิ้งเฟิงอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกดีกับมู่เจิ้งเฟิง แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนการตัดสินใจเพราะมู่เจิ้งเฟิง
“ตอนนี้ผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลมู่เหลือแค่นายเพียงคนเดียวแล้ว นายคิดจะเดินตามรอยเท้าของพวกเขาไหม?” น้ำเสียงของเฉินโม่ราบเรียบ แต่เจตนาฆ่าที่อยู่ในน้ำเสียงทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
“เมื่อก่อนผมเคยไว้ชีวิตนายครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้นายจะไม่โชคดีเหมือนคราวที่แล้ว”
มู่เจิ้งเฟิงเหลือบมองคนรุ่นใหม่ของตระกูลมู่ที่สั่นไปทั้งตัว ด้วยสีหน้าอัปยศอดสู
“เฉินไต้ซือ ตระกูลมู่อาศัยอยู่ในสำนักยาเซียนมาหลายชั่วอายุคนแล้ว และเคยชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว ถ้าออกไปจากสำนักยาเซียน พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร”