บทที่ 568 หึงหวง

บัลลังก์พญาหงส์

ฮ่องเต้ฟั่นเฟือนไปแล้ว เพื่อตามหาหนทางโอสถ แม้กระทั่งว่าราชการก็ไม่สนใจอีกต่อไป แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกดีก็คือการปล่อยวางอำนาจของฮ่องเต้ชั่วคราว เป็นการให้โอกาสหลี่เย่ได้บ่มเพาะคนข้างกาย 

 

 

เพราะว่าฮ่องเต้ให้หลี่เย่ดูแลบ้านเมือง 

 

 

แม้ว่าให้หลี่เย่ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมนัก แต่อย่างน้อยหลี่เย่ก็ยังมีตำแหน่งชินอ๋องคุ้มหัว เทียบกับจวงอ๋อง อู่อ๋องแล้วยังเหมาะสมกว่านัก 

 

 

ถาวจวินหลันบอกข้อสงสัยของตนเองให้หลี่เย่ฟัง “ข้าสงสัยเพคะ ฮองเฮาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านพ่อของข้าถูกใส่ร้าย” 

 

 

คาดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะพยักหน้าทันที “ข้ารู้” 

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไป มองหลี่เย่พลางถามซ้ำด้วยความสงสัย “ท่านรู้หรือเพคะ?” 

 

 

“อืม ข้ารู้ ข้าเองก็สืบเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เดิมคิดจะบอกเจ้าตอนที่ช่วยบิดาของเจ้ากอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้แล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องคาดหวังเกินไป แล้วผิดหวังทีหลัง แต่ในเมื่อวันนี้เจ้าเอ่ยปากถาม ข้าเองก็จะบอกเจ้าแล้วกัน” แล้วหลี่เย่ก็ยิ้มเขิน “เจ้าใส่ใจเรื่องนี้ขนาดนี้ ข้าก็ย่อมต้องใส่ใจเป็นธรรมดา” 

 

 

ถาวจวินหลันไม่เคยขอให้เขาทำเรื่องอะไร ดังนั้นเขาคิดอยากช่วยถาวจวินหลันทำอะไรบ้าง สุดท้ายก็แค่อยากให้นางดีใจเท่านั้นมิใช่หรือ? 

 

 

อีกทั้งเขายังคิดไกลกว่านั้นขั้นหนึ่ง นั่นก็คือปูทางให้ถาวจวินหลันขึ้นเป็นฮองเฮาในอนาคต อย่างไรถึงเวลานั้นจะให้คนเต็มใจและวางใจ อย่างน้อยชาติกำเนิดของถาวจวินหลันก็จะต้องพอถูไถไปได้ ชื่อเสียงไม่เด่นไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องไม่แบกรับชื่อเสียงขุนนางนักโทษได้ 

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าลับหลังนางหลี่เย่จะทำเรื่องเหล่านี้ นอกจากความตื่นตะลึงแล้ว ก็เป็นเพียงความซึ้งใจเท่านั้น หลี่เย่นิ่งขรึมอยู่ตลอด แต่กลับทำเพื่อนางมากมายเช่นนี้ 

 

 

“ขอบพระทัยท่านมากเพคะ” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบาอย่างจริงใจ 

 

 

หลี่เย่ยื่นมือออกไปจับมือของถาวจวินหลัน พูดแค่ว่า “เจ้าพูดเองมิใช่หรือ ระหว่างสามีภรรยาทำไมต้องเกรงใจเช่นนี้ด้วย? อีกอย่างข้าเองก็สืบพบเพียงแค่ร่องรอยเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ได้เจอหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน” 

 

 

“ในเมื่อรู้ว่าฮองเฮาเป็นคนทำ นั่นก็ง่ายแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันพยักหน้า ข่มความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั้งใจ “คราวที่แล้วข้าเคยบอกท่านว่า ตระกูลข่งเองก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ท่านส่งที่สืบพบไปให้จิ้งผิงทั้งหมดเถิดเพคะ ให้จิ้งผิงรับเรื่องนี้ต่อ เขาเป็นเสาหลักของตระกูลถาว เรื่องนี้ให้เขาไปจัดการเองจะเหมาะสมกว่าเพคะ” อีกทั้งมีเพียงวิธีนี้ถึงจะทำให้ถาวจิ้งผิงสบายใจได้เล็กน้อย ไม่ต้องเอาแต่คิดเรื่องต้องคืนความรุ่งเรืองของตระกูลถาวอยู่ตลอดเวลา 

 

 

“องค์หญิงเก้าตั้งครรภ์แล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาวนะเพคะ” พูดถึงถาวจิงผิง ถาวจวินหลันก็นึกถึงองค์หญิงเก้าขึ้นมา จึงใจลอยคิดเพ้อไปเล็กน้อย 

 

 

หลี่เย่หัวเราะ “จะคลอดเด็กชายหรือเด็กสาวแล้วต่างกันตรงไหน? เจ้าก็อย่าไปพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าจิ้งผิง เจ้าเก้าก็อ่อนไหวอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นจะเข้าใจผิดอะไรอีก” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ใจกระตุก ต้องยอมรับว่าสิ่งที่หลี่เย่เตือนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากนางพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าองค์หญิงเก้า เกรงว่าองค์หญิงเก้าคงคิดมาเป็นแน่ 

 

 

พอคิดถึงนิสัยขององค์หญิงเก้า และความระหองระแหงของสามีภรรยาคู่นั้น ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรทั้งคู่จะทำให้เลิกห่วงได้สักที 

 

 

“ตอนนี้เฉินฟู่อยู่ในพื้นที่อันตรายเช่นนั้น เจ้าก็ควรต้องใส่ใจซินหลันให้มาก” หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันเหม่อลอยไปไกล เกรงว่านางจะคิดมากเรื่องถาวจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้า จึงรีบหาเรื่องน่าเป็นห่วงอีกเรื่องมาพูดถึง “ไม่รู้ว่าตระกูลเฉินจะกังวลมากเพียงใด” 

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ถาวจวิหลันก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เฉินฟู่ยังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้าน้อยๆ แต่เดิมคิดจะพูดอะไร แต่เห็นถาวจวินหลันขมวดคิ้วมีท่าทีเป็นกังวล เขาก็ต้องกลืนคำพูดลงไป มีบางอย่างที่เก็บเงียบไว้จะดีกว่า พูดไปแล้ว ก็ทำให้ถาวจวินหลันเป็นกังวลไปเสียเปล่า 

 

 

สิ่งที่เขาอยากพูดคือ ตอนนี้อากาศหนาวเย็น ถนนหนทางไม่สะดวก แล้วยังต้องพบกับกองชุมนุมประท้วง ไม่ว่าจะเป็นการส่งข่าวหรือเขียนจดหมายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในตอนนั้นที่เขาสามารถบุกผ่าฝ่าดงพาองค์รัชทายาทกลับเมืองหลวงได้ ก็เพราะอาศัยทหารที่เขาสั่งย้ายกำลังจากที่อื่นมาเป็นการส่วนตัว 

 

 

ถ้าไม่ทำเช่นนี้เกรงว่าไม่เพียงแค่ไม่อาจช่วยองค์รัชทายาทฝ่าพวกนั้นออกมาได้ แต่เขาเองก็จะถูกรวบเข้าไปด้วย  

 

 

หลี่เย่ไม่ตอบ แต่ถาวจวินหลันย่อมรู้ดี จึงไม่พูดถึงหัวข้อที่ทำให้คนสะกิดใจนี้อีก เพียงแค่ถามเขาเรื่องสัพเพเหระ “ช่วงนี้ข้าเห็นพระชายาจวงอ๋องเข้าวังหลวงไปทำความเคารพฮองเฮาอยู่บ่อยครั้งเพคะ” 

 

 

ที่รู้เรื่องนี้ก็ด้วยพระชายาจวงอ๋องทำเรื่องนี้โจ่งแจ้งเกินไป อย่างไรในเดือนหนึ่ง ต่อให้ฮองเฮาเสียใจมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลให้ลูกสะใภ้ต้องเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติทุกวัน 

 

 

ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พระชายาจวงอ๋องเข้าวังหลวงขอเข้าเฝ้าเพียงแค่ฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทเท่านั้น ทว่าไม่แม้แต่จะไปพบหน้าไทเฮา คนที่มีตาล้วนมองออกทั้งนั้น 

 

 

พระชายาจวงอ๋องประจบฮองเฮาเช่นนี้ ก็เห็นความตั้งใจได้ชัดแล้ว นี่เป็นการยอมจำนนต่อฮองเฮา หรือจะพูดว่าร่วมมือกับฮองเฮา 

 

 

อย่างไรฮองเฮาก็ยังพอมีอำนาจ แม้นองค์รัชทายาทสวรรคตแล้ว แต่สิ่งที่ฮองเฮาทำไว้ให้องค์รัชทายาทก็ยังคงอยู่ หากฮองเฮายอมสนับสนุนจวงอ๋อง จวงอ๋องก็จะต้องเหมือนเสือติดปีกเป็นแน่ 

 

 

หลี่เย่หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “นางอยากจะไปเองก็ปล่อยนางไป ทำให้ฮองเอาคลื่นเ**ยนก็ดีเหมือนกัน” ตอนนี้ไม่ว่าใครก็อยากประจบฮองเฮา ก็ยิ่งเป็นการย้ำเตือนเรื่องสวรรคตขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ ไฉนเลยจะเรียกว่าประจบ ถือเป็นการจงใจให้ฮองเฮาคลื่นไส้เท่านั้นเอง 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดก็รู้สึกแบบเดียวกัน จึงอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเรื่องจริงเพคะ” หากนางเป็นฮองเฮา เกรงว่าคงให้พระชายาจวงอ๋องตายไปดีกว่า 

 

 

“ฮองเฮาต้องยิ่งลำบากใจที่เจอพระชายาจวงอ๋องทุกวันแล้ว” ถาวจวินหลันพูดกระหยิ่มยิ้งย่อง “วันหน้าข้าจะไปช่วยใส่ไฟให้ฮองเฮาเพคะ ไปดูด้วยว่าอาอู่เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

หลี่เย่นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าเป็นห่วงเด็กนั่นเสียแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ไม่ว่าผู้ใหญ่จะทำอะไร เด็กก็ยังไร้เดียงสาเพคะ ตอนนั้นข้าร้อนใจถึงได้ข่มขู่เด็กนั่น ตอนนี้พอคิดแล้วรู้สึกผิดนัก อีกอย่าง ตอนนี้เขาไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่ว่าอย่างไรก็น่าสงสาร” แม้จะบอกว่าอี๋เฟยเป็นมารดาแท้ๆ ของอาอู่ แต่อี๋เฟยนั้นก็ไม่กล้ามาหาอาอู่เอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้ความรักหรือความเอ็นดูอาอู่เลย 

 

 

ดังนั้นที่จริงแล้วอาอู่น่าสงสารมาก พอคิดดูแล้ว อาอู่ทำอะไรผิดมาหรือ? เป็นเวรกรรมขององค์รัชทายาทและอี๋เฟย สุดท้ายแล้วก็เป็นอาอู่ที่ต้องรับผลกรรม 

 

 

“เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาท ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจละเลยได้” หลี่เย่หัวเราะเยาะ กล่าวโทษถาวจวินหลันอย่างจนปัญญา “มีเวลาไปเป็นห่วงลูกคนอื่น ไม่สู้มาดูแลหมิงจูกับซวนเอ๋อร์ให้มากขึ้นเล่า” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่พูดแบบนี้ก็หัวเราะน้อยๆ หยิกข้อศอกของเขาเบาๆ แล้วพูดเย้าหยอก “ทำไมเพคะ ท่านหึงหวงแทนลูกชายลูกสาวท่านแล้วหรือ?” 

 

 

หลี่เย่ยอมรับอย่างเปิดเผย “ย่อมต้องหึงหวงแน่” ลูกของตนเองก็ดูแลไม่ไหวแล้ว ยังต้องไปสนใจลูกคนอื่นทำไม? 

 

 

พูดถึงลูก หลี่เย่ก็คิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมา “เรื่องจัดกูกูมาสอนเซิ่นเอ๋อร์ ต้องให้เจ้าช่วยจัดการแล้ว อย่าปล่อยให้เรื่องนี้ไปถึงมือเจียงซื่อเด็ดขาด” 

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป นางเข้าใจว่าหลี่เย่ต้องการแยกคู่แม่ลูกเจียงอวี้เหลียนออกจากกัน จึงพยักหน้า “เพคะ ข้าจะคอยดูเรื่องนี้ หากมีคนที่เหมาะสมก็จะเก็บไว้ให้เซิ่นเอ๋อร์ แต่ถึงเวลานั้นเกรงว่าต้องให้ท่านไปพูดเรื่องนี้เอง” 

 

 

นางไม่อยากแยกแม่ลูกจากกันเอง แม้จะบอกว่าเจียงอวี้เหลียนกรรมตามสนอง แต่นางเป็นมารดาเหมือนกัน หากต้องมาเห็นคู่แม่ลูกเจียงอวี้เหลียนถูกแยกออกจากกัน นางคงใจอ่อนไม่กล้าลงมือ 

 

 

นางไม่คิดอยากจะหาเรื่องลำบากใจให้ตนเอง อีกทั้งนี่เป็นเรื่องของหลี่เย่ นางจัดการได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังจะคาดหวังให้นางทำทุกออย่างอีกอย่างนั้นหรือ? ต่อให้มีจุดประสงค์ทำให้ลำบากใจ ก็ต้องให้หลี่เย่ไปรับเอาไว้เองถึงจะถูก 

 

 

หลี่เย่กลับตอบรับอย่างง่ายดาย “ถึงเวลานั้นให้ข้าไปพูดก็ได้ พูดไปแล้วเจียงฟู่นั้นมีความสัมพันธ์กับเจียงซื่อ เจียงฟู่เหมือนจะเป็นลูกนอกสมรสของเจียงสือเหนียน” 

 

 

ถาวจวินหลันตื่นตกใจไปครู่ใหญ่ “เจียงสือเหนียนยังมีลูกนอกสมรสอีกหรือเพคะ? ถ้าพูดเช่นนี้ เจียงฟู่ก็เป็นน้องชายของเจียงอวี้เหลียนหรือเพคะ?” เจียงอวี้เหลียนรู้เรื่องนี้หรือไม่ 

 

 

คิดดูแล้วคงไม่รู้กระมัง? อย่างไรตอนนั้นเจียงอวี้เหลียนก็พูดว่าตนเองไม่มีญาติคนอื่น 

 

 

“ในเมื่อเป็นลูกชายของเจียงสือเหนียน ไม่ว่าจะเป็นลูกนอกสมรสหรือไม่ ท่านเองก็ต้องจัดการให้ดีนะเพคะ” ถาวจวินหลันครุ่นคิดแล้วพูดกับหลี่เย่ “อย่าให้เขาไปเสี่ยงอันตรายอีก เจียงซื่อมีบุญคุณต่อท่าน ท่านตอบแทนคืนให้เจียงฟู่ได้เป็นแน่เพคะ” 

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันโยนเรื่องเหล่านี้ออกไป เจียงฟู่จะเป็นน้องชายของเจียงอวี้เหลียนหรือไม่ เรื่องนี้นางไม่สนใจ นางเพียงแค่ตกใจเท่านั้น อย่างไรเจียงสือเหนียนก็ดูไม่เหมือนคนที่มีลูกนอกสมรส ที่สำคัญในเมื่อไม่มีลูกชายคนอื่น ทำไมเจียงฟู่ถึงไม่ได้เข้าจวนเล่า? 

 

 

วันนี้ถาวจวินหลันเข้าวังหลวงไปทำความเคารพไทเฮาและฮองเฮา แต่บังเอิญพบพระชายาจวงอ๋องที่หน้าประตูวังหลวง ถาวจวินหลันเอ่ยทักทายพระชายาจวงอ๋องอย่างเปิดเผย ใจกว้าง แต่พระชายาจวงอ๋องกลับมีท่าทีอึดอัดทำตัวไม่ถูก 

 

 

อีกทั้งตอนที่พระชายาจวงอ๋องเห็นถาวจวินหลัน ในสายตาก็แฝงไปด้วยความระวังภัย 

 

 

ที่จริงแล้วถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ แต่นางแสร้งมองไม่เห็น ที่จะเดินก็เดินไป ที่จะชมวิวก็ชมวิวไป 

 

 

“เจ้าเองก็เข้าวังหลวงมาทำความเคารพฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?” พระชายาจวงอ๋องเอ่ยปากถามก่อน 

 

 

ถาวจวินหลันเพียงแค่ตอบตามมารยาท “เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง จะทำใจได้บ้างแล้วหรือไม่? พูดไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้เข้าวังหลวงมาหลายวันแล้ว” 

 

 

พระชายาจวงอ๋องหัวเราะ เพียงแค่พูดว่า “ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไร” จากนั้นก็จงใจเปลี่ยนเรื่องพูด “ตอนนี้ตวนชินอ๋องยุ่งมาก ได้ยินว่าออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับก็ดึกทุกวันเลยมิใช่หรือ? ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้ากลับไปจะไปพูดกับท่านอ๋องของข้าดู ให้เขาไปช่วยพี่น้อง พี่รองจะได้ไม่ต้องเหนื่อยจนเสียสุขภาพ” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็แทบจะหลุดหัวเราะ พระชายาจวงอ๋องพูดให้เป็นเรื่องเรียบง่าย แต่ที่จริงอยากลดทอนอำนาจไปจากมือของหลี่เย่