เล่มที่ 15 ตอนที่ 5

Memorize

“อึก! อึก!” 

 

 

เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นในห้อง เสียงนั้นดังมาจากบนที่นอน สภาพของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงดูสาหัสมาก มือของหล่อนสั่นระริกในขณะที่กำผ้าห่มไว้แน่น เส้นผมชุ่มเหงื่อยาวระไปทั่วใบหน้า สีหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด 

 

 

“ลอร์ดแฮมิล ทำไมเธอถึงมีสภาพแบบนี้” 

 

 

“…เธอถูกแบนชีโจมตี” 

 

 

“ถ้าเป็นแบนชี…ไม่ ทำไมถึงไปสถานที่อันตรายแบบนั้น…” 

 

 

“…” 

 

 

ในห้องนั้นไม่ได้มีเพียงแค่หญิงสาวเท่านั้น ชายสองคนมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร หนึ่งในนั้นถูกเรียกว่าลอร์ดแฮมิล ดังนั้นเขาก็คือคิมยูฮยอน และอีกคนหนึ่งก็คือลอร์ดแห่งเผ่าฮันซองฮยอนมิน 

 

 

“อั่ก! อ้ากก!” 

 

 

เสียงครวญครางของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง คิมยูฮยอนทำหน้าเหมือนอยากจะปิดหู ส่วนซองฮยอนมินมีสีหน้ากระวนกระวายใจ แต่ทั้งสองคนก็ทำได้แค่มองหญิงสาวที่กำลังทุกข์ทรมานโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย 

 

 

หลังจากหลับตาลงสักพักซองฮยอนมินก็สงบสติอารมณ์พลางพูดขึ้น 

 

 

“แต่ก็ขอบคุณที่บอกให้รู้นะครับ แต่ว่าทำไมถึงมาหาพวกเราล่ะ” 

 

 

“ผมเดาเอาครับ ฮโยอึลบอกผมก่อนมาที่นี่ว่ามีเผ่าฮันอยู่” 

 

 

“อ้า…อย่างนี้นี่เอง พวกเราเองก็พาจะพยายามทุกวิธีแล้วกันนะครับ แล้วก็ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น เผ่าโครยอเองก็จะร่วมมือด้วยเช่นกัน ผมมีคนรู้จักอยู่ที่ทางใต้ แต่คุณคงทราบดีอยู่แล้วว่า ตอนนี้ภาคกลาง,ภาคเหนือและภาคตะวันตกกำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากในหลายๆ ด้าน” 

 

 

“พวกเราเองก็ไม่ได้กำลังเล่นสนุก ตอนนี้เหลือเวลาอีกสองสัปดาห์…ไม่ ไม่ถึงสองสัปดาห์ หากไม่พบอีลิกเซอร์ภายในเวลาที่เหลือ…” 

 

 

“ละ ลอร์ดแฮมิล” 

 

 

ไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น ทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งเครียด 

 

 

ยิ่งความเจ็บปวดของหญิงสาวที่ชื่อ ‘ฮโยอึล’ เพิ่มขึ้นเท่าไร ความกังวลของชายทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ในวันต่อมาแคลนเฮาส์ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า 

 

 

การมาเยือนของนักบวชและเผ่าอีสตันเทลลอว์ นั่นหมายความว่าตัวแทนเผ่าและตัวแทนของแท่นบูชาแห่งโมนิก้ากำลังจะมา โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองมาพร้อมกัน ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ในการมาเยี่ยมถึงที่นี่ 

 

 

แต่ก็มีคนที่ชื่นชอบอยู่เหมือนกัน เมื่อทราบข่าวนี้จองฮายอนซึ่งชื่นชอบความเรียบร้อยก็ตื่นเต้นเป็นปลากระดี่ได้น้ำ ดูเหมือนจะมากันไม่เยอะ ดังนั้นแค่ห้องรับรองแขกที่ชั้นสี่ก็น่าจะเพียงพอ 

 

 

แต่ว่าหลังจากหญิงสาวย้ายเข้ามาที่แคลนเฮาส์ เราก็เปิดห้องประชุมใหญ่ที่ปิดเอาไว้ หล่อนเป็นผู้นำในการทำความสะอาดภายในและสั่งการให้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ ดังนั้นพวกพนักงานที่เข้ามาได้แค่สองวันจึงได้วิ่งวุ่นกันไม่หยุด 

 

 

กว่าทุกอย่างจะถูกเตรียมพร้อมเรียบร้อย ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางท้องฟ้าค่อยๆ คล้อยไปทางทิศตะวันตก แม้แสงยามอาทิตย์ตกจะอาบไล้ไปทั่วทั้งสวนก็ยังไม่เห็นสองคนนั้น 

 

 

พวกพนักงานทั้งหมดเลิกงานแล้ว ดอกไม้กลางคืนที่ฉลาดพอบอกว่าจะอยู่ช่วยถ้าหากมีความจำเป็น แต่พูดตามตรงการไม่มีพวกหล่อนอยู่จะช่วยได้มากกว่า อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจจะมาช้ากว่าที่บอกไว้เมื่อวานนี้ไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหมดสนุก 

 

 

ผมนั่งลงบนโซฟานุ่มๆ แล้วกวาดตามองไปรอบ ๆห้องรับรองแขก เพดานสูงวาดลวดลายสวยงาม การตกแต่งภายในด้วยของตกแต่งหรูหราช่วยทำให้ในห้องดูโออ่าอลังการ ตรงกลางห้องมีโต๊ะกลมสวยงามวางไว้และล้อมรอบด้วยโซฟาสามตัว 

 

 

ดูเหมือนบางคนอาจจะพอใจกับการทำความสะอาดครั้งใหญ่ในวันนี้ แต่สำหรับผมก็แค่เสียเวลาไปหนึ่งวันโดยเปล่าประโยชน์ 

 

 

ตอนนั้นเอง 

 

 

“พี่คะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” 

 

 

“อุ๊บ! แค่กๆ!” 

 

 

‘ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้’ 

 

 

ในยุคปัจจุบันตอนที่ผมยืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้าย ถ้าหันไปหยิบโอเด้งจากร้านค้าข้างทางขึ้นมาสักไม้ รถประจำทางที่ผมรออยู่ก็จะมาทันที ผมไออย่างหนักและกระแอมไอ เมื่อหันไปมองประตูที่เปิดผ่างออกก็เห็นอียูจองมีสีหน้าร้อนใจวิ่งขึ้นมาหาอย่างเร่งรีบ 

 

 

“มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น พักหายใจก่อนเถอะ” 

 

 

“มะ ไม่ได้หรอก! พี่คะ! ตอนนี้คนที่บอกไว้เมื่อวานนี้ว่าจะมา เขามาแล้ว! แต่กำลังสู้กับพี่ยอนจู…!” 

 

 

“อะไรนะ สู้กันงั้นเหรอ” 

 

 

“เร็วเข้าเถอะ! สถานการณ์มันรุนแรงมาก! ตอนนี้วุ่นวายกันไปหมดแล้ว!” 

 

 

ผมผุดลุกขึ้นทันทีและวิ่งออกไปตามโถงทางเดิน ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากจะต้องลงไปยังชั้นหนึ่งให้เร็วที่สุด ผมลงบันไดไปชั้นสี่ ชั้นสาม ชั้นสอง ยิ่งเข้าใกล้ชั้นหนึ่งมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกถึงความกระหายรุนแรงที่แล่นไปทั่วทั้งร่าง 

 

 

แม้ว่าจะยังลงไปไม่ถึง แต่ออร่าที่เข้มข้นขนาดนี้ต้องเป็นผู้เล่นระดับสิบผู้แข็งแกร่งสองคนกำลังต่อสู้กันแน่ 

 

 

เพราะวิ่งลงไปด้วยความเร็วเต็มที่ จึงใช้เวลาไม่นานนักในการลงบันไดมา แต่เมื่อมาถึงชั้นที่มองเห็นชั้นหนึ่งบางส่วนผมก็หยุดชะงัก 

 

 

มีผู้เล่นหลายคนอยู่ที่ชั้นหนึ่งและตรงกลางที่พวกเขายืนล้อมรอบอยู่นั้นคือ ผู้หญิงสองคนซึ่งกำลังประจันหน้ากันแบบแทบจะสัมผัสลมหายใจของกันและกัน แหล่งกำเนิดของออร่าที่รุนแรงนั้นมาจากโกยอนจูและยอนฮเยริมที่อยู่ตรงนั้น 

 

 

“กลิ่นเน่าๆ นี่มาจากไหนกันนะ มาจากเจ้าหญิงหรือเปล่า” 

 

 

หล่อนน่าจะรู้ว่าผมมาถึงแล้ว โกยอนจูที่ยืนกอดอกอย่างเย่อหยิ่งถึงได้ยกมือขึ้นมาบีบจมูก จากนั้นก็ขมวดคิ้ว น้ำเสียงของหล่อนฟังดูเหยียดหยาม 

 

 

“ไม่ใช่กลิ่นจากเงาของเธอหรอกเหรอ” 

 

 

ด้วยกลัวว่าจะแพ้ ยอนฮเยริมที่ยืนตัวตรงแล้วใช้สองมือเท้าเอวก็โต้กลับไปไม่เบา 

 

 

ทั้งสองหัวเราะแปลกๆ ใส่กัน เป็นเสียงหัวเราะราวกับลูกปัดหยกกลิ้งไปมา แต่สายตาที่ปะทะกันของทั้งสองคนนั้นกำลังแผ่ความรุนแรงออกมา แต่ก่อนคงจะอดทนได้ดีในสถาบันผู้เล่นหรือในการระดมพล แต่ในที่สุดก็ระเบิดออกมา 

 

 

ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ผมจึงรีบเดินต่อและลงบันไดไป ในตอนนั้นเอง 

 

 

“ยอนฮเยริม!” 

 

 

ท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือก เสียงที่คุ้นเคยดังก้องล็อบบี้ชั้นหนึ่ง เมื่อผมลงจากพื้นที่ซึ่งมองไม่เห็นจากด้านบนก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา ฮันโซยองและนักบวชหญิงที่จำได้ว่าเคยพบกันครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ยืนอยู่ตรงทางเข้าชั้นหนึ่ง 

 

 

“ออกไปข้างนอกก่อน” 

 

 

“คะ แคลนลอร์ด” 

 

 

“ฉันจะไม่พูดซ้ำ จะออกไปรอข้างนอกหรือจะกลับไปก่อน” 

 

 

“…” 

 

 

ใครคนหนึ่งออกมาแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่ผมจะออกโรง ‘คำสั่ง’ ของฮันโซยองนั้นเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็งจนไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

เจ้าหญิงแห่งการสำเร็จโทษกัดริมฝีปากแน่น แต่หล่อนก็ถอยออกมาพลางส่งสายตาเชือดเฉือนให้โกยอนจู หลังจากมองยอนฮเยริมที่หันไปแล้ว โกยอนจูก็ยิ้มเยาะออกมา ไม่สิ ตั้งใจจะยิ้มเยาะต่างหาก 

 

 

“โฮะๆ โชคดีนะ ยัยเด็ก…” 

 

 

“ผู้เล่นโกยอนจู” 

 

 

“คะ แคลนลอร์ด” 

 

 

“กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ” 

 

 

เมื่อรู้สึกตัวว่าผมมาถึงแล้ว โกยอนจูก็หันมาด้วยความตกใจ ผมค่อยๆ เดินมาที่กลางวงพลางพูดเบาๆ 

 

 

“กลับไปที่ห้องด้วยครับ” 

 

 

“…ทราบแล้วค่ะ” 

 

 

เพราะยอนฮเยริมถอยไปก่อนแล้ว โกยอนจูจึงตอบรับอย่างง่ายดายกว่าที่คิด 

 

 

บรรยากาศน่าอึดอัดใจกระจายไปทั่วล็อบบี้ ผมหันไปสบตาฮันโซยอง เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็เลยคิดจะแนะนำตัว 

 

 

สุดท้ายแล้วผมก็พาฮันโซยองกับนักบวชหญิงไปที่ห้องรับรองแขกด้วยตัวเอง นั่นจึงสามารถทำให้ความวุ่นวายสงบลงได้ หากเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่การรับมืออันรวดเร็วของฮันโซยองและการปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมทำให้เรียบร้อยไปขั้นหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ได้จบง่ายๆ แค่นั้น 

 

 

“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่ก่อความวุ่นวายในแคลนเฮาส์ของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่” 

 

 

“ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนว่าระหว่างผู้เล่นโกยอนจูกับผู้เล่นยอนฮเยริมจะมีปัญหาบางอย่าง” 

 

 

“ก็อย่างที่เห็นค่ะ ถ้าฉันรู้แบบนี้คงจะไม่ให้ฮเยริมมาด้วย วันนี้ฉันจะจัดการตักเตือนเองค่ะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธ” 

 

 

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมเองก็จะตักเตือนโกยอนจูด้วยเช่นกัน” 

 

 

แผนรับมือที่เหมาะสมกับของฮันโซยองและการเอ่ยขอโทษก่อน หากคำนึงถึงฐานะของแคลนลอร์ดหรือตัวแทนเผ่าแล้วเรียกได้ว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้ ผมเองก็ไม่ได้คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่จึงยินดียอมรับคำขอโทษของหล่อน ตอนนี้ผมรับคำขอโทษมากพอแล้ว ถึงเวลาเข้าเรื่องสักที 

 

 

“ตอนแรกที่ผมได้รับการติดต่อมา ผมตกใจมาก ไม่นึกเลยว่าคุณสองคนจะมาด้วยกัน” 

 

 

“ทีแรกฉันคิดว่าจะมาให้เร็วกว่านี้ค่ะ แต่ฉันแวะที่อื่นด้วยก็เลยทำให้ล่าช้าไปนิดหน่อยค่ะ” 

 

 

“งั้นเหรอครับ ถ้างั้นผมขอทราบเหตุผลที่คุณมาหาถึงที่นี่ได้ไหมครับ” 

 

 

“แน่นอนค่ะ” 

 

 

ฮันโซยองตอบด้วยความสุภาพ จากนั้นก็หันไปด้านข้าง 

 

 

เมื่อหันมองตามหล่อนก็เห็นนักบวชหญิงกำลังนั่งดื่มชาเงียบๆ หล่อนแสร้งทำเป็นไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่นิ้วมือกำลังสั่นเทา ดูเหมือนจะเป็นผลที่ตามมาเพราะได้สัมผัสความบ้าคลั่งของหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งในระยะประชิด 

 

 

นักบวชถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดปากพูด 

 

 

พูดตามตรงเรื่องราวที่นักบวชเล่าออกมานั้นอยู่ในสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้แล้ว 

 

 

องค์กรตรวจสอบในคราวนี้ตรวจสอบผลงานที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทำสำเร็จและเลื่อนระดับให้ตามนั้น พวกเขาค้นพบเบาะแสที่เป็นไปได้มากจาก ‘การไล่ตาม’ บนเส้นทางที่ตามร่องรอยของพวกเราไป แล้วยังหาร่องรอยของพวกเร่ร่อนในบริเวณภูเขาแห่งการเพ้อคลั่งเจออีกด้วย 

 

 

เรื่องที่ผมสนใจก็มีแค่การที่พวกเขาไม่เจอร่องรอยการกลับมาโมนิก้าอีกครั้งของพวกเร่ร่อน 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเป็นพวกเร่ร่อนปกติ ไม่ใช่พวกเร่ร่อนที่ปลอมตัวเป็นผู้เล่นสินะครับ” 

 

 

“ไม่หรอกค่ะ ฉันทำตามคำขอแยกไปต่างหากก่อนที่องค์กรตรวจสอบจะมาถึง ฉันหาร่องรอยได้ว่า พวกเร่ร่อนอาจจะตามคนของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไปตั้งแต่ในเมืองค่ะ ถึงจะเจอร่องรอยไม่มากแต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเข้ามาผ่านประตูอื่นก็ได้” 

 

 

“จะบอกว่าพวกเขาออกไปจากเมืองแล้วไม่กลับเข้ามาอีกงั้นเหรอ” 

 

 

“ฉันยังไม่แน่ใจ แต่มันก็เป็นไปได้มากที่สุดในความคิดของฉันค่ะ” 

 

 

นักบวชยกชาขึ้นดื่มอีกครั้ง หล่อนคงคอแห้งเพราะพูดมาสักพักหนึ่งแล้ว 

 

 

ผมจมอยู่ในห้วงความคิดเงียบๆ ถ้าลองคิดอย่างใจเย็น มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะเดิมทีก็เป็นพวกที่แวบไปแวบมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะปลอมตัวหรือไม่ เพียงแต่ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ 

 

 

‘ตอนนี้มันรอไม่ได้แล้ว มีอีกหลายเรื่องที่ต้องจำไว้’ 

 

 

แม้จะได้มาแค่นี้ แต่ผมก็พยักหน้าอย่างใจเย็นกับผลลัพธ์ที่ได้ 

 

 

“ถึงจะเป็นเรื่องขององค์กรตรวจสอบ แต่ก็ขอขอบคุณที่ช่วยบอกให้ผมรู้ คุณเองก็คงจะกังวล แต่ถ้าจำเป็นต้องมาหา… ให้เราเป็นฝ่ายไปพบคุณก็ได้นะครับ” 

 

 

“อ้า ฉันมีเรื่องที่จะบอกคุณอีกอย่างค่ะ คือว่าที่จริงแล้ว…” 

 

 

“…?” 

 

 

“เฮอร์เซ่ เดี๋ยวก่อน” 

 

 

นักบวชหญิงชื่อเฮอร์เซ่สินะ นอกจากจะเสริมขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว ฮันโซยองก็ฟังเงียบๆ มาตลอดจนถึงตอนนี้ เมื่อหญิงสาวก้าวออกมา เฮอร์เซ่ก็สบสายตาพลางพยักหน้าเล็กน้อย ในดวงตาของหล่อนฉายแววความจริงจังบางอย่าง