ตอนที่ 451 เปิดเผย

วาสนาบันดาลรัก

เมื่ออายุมากขึ้นก็ตื่นง่าย แม้เจินไท่เฟยจะดูเยาว์วัยผุดผาด แต่ก็มิอาจหนีพ้นกฎธรรมชาติ

 

 

นางใส่กางเกงผ้าบางนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง พลันรู้สึกมีบางอย่างแปลกๆ ไป จึงลืมตาขึ้น

 

 

หลังจากเฉินชิ่งตี้ลอบเข้ามาในนี้ เขาก็ยื่นอยู่ข้างเตียงด้วยจิตใจอันสับสน

 

 

แม้มิอาจควบคุมความคิดถึงนี้ได้อีก แต่อย่างไรเขารักเคารพเจินไท่เฟยมายี่สิบกว่าปี การจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ยังต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างยิ่งทีเดียว

 

 

คิดไม่ถึงว่าเมื่อเห็นเจินไท่เฟยลืมตาขึ้น ในหัวของเฉินชิ่งตี้กลับขาวโพลนขึ้นมาทันที ด้วยความตกใจจึงกระโจนเข้าไปปิดปากนางไว้

 

 

เจินไท่เฟยคิดไม่ถึงว่าเฉินชิ่งตี้จะกล้าลอบเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้ แรกเริ่มนางยังคิดว่าตนฝันไปด้วยซ้ำ แต่เมื่อถูกปิดปากไว้ นางจึงเบิกตาถลนและสะบัดศีรษะดิ้นรน มือก็คว้าเอาไม้เท้าที่วางอยู่บนหัวเตียงฟาดเข้าใส่เฉินชิ่งตี้

 

 

เฉินชิ่งตี้เจ็บจึงปวดมือ เจินไท่เฟยโกรธเกรี้ยวยิ่งจึงตามเข้าไปฟาดเขาอีก นางตีกระทั่งเฉินชิ่งตี้ยกมือขึ้นกุมศีรษะไว้จึงยอมรามือ

 

 

“เจ้ามาทำอันใด” เจินไท่เฟยโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมไหวขึ้นลงไม่หยุด

 

 

“ข้า…ข้า…” เฉินชิ่งตี้ที่มักไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ในเวลานี้กลับพูดไม่ออกเสียแล้ว ผ่านไปนานจึงเอ่ยออกมาได้คำหนึ่งว่า “ไท่เฟย ข้าอยากพบท่าน”

 

 

เจินไท่เฟยโกรธจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางจึงสูงขึ้นอีกเล็กน้อย “อยากพบข้า เมื่อกลางวันก็เพิ่งมามิใช่หรือ”

 

 

โชคดีที่นางไม่ชอบให้นางกำนัลมาคอยตามติด มิเช่นนั้นเรื่องในวันนี้คงได้กลายเป็นเรื่องขบขับขนานใหญ่แน่

 

 

ดวงตากลมโตของเจินไท่เฟยเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทั้งแฝงความผิดหวังและรังเกียจ และเพราะความรังเกียจอันเลือนรางนั้นเองที่ทำให้เฉินชิ่งตี้กัดฟันเอ่ยออกมาด้วยความวู่วามว่า “แต่ข้าอยากพบไท่เฟยตลอดเวลา อยากจะพบมาตลอดยี่สิบปี!”

 

 

เจินไท่เฟยโกรธจนพูดไม่ออก มือนางสั่นไปหมด

 

 

เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ความกล้าของเฉินชิ่งตี้จึงมีมากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะเมื่อคนคนหนึ่งมีอำนาจอันสูงสุดอยู่ในมือแล้ว สิ่งต่างๆ ที่คอยรัดเขาไว้มันจึงไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้นแล้ว และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องฉาวโฉ่ที่คนฟังแล้วต้องขนลุกขนพองขึ้นในราชวงศ์อยู่เสมอมา

 

 

เขาเดินเข้าไปอีกก้าว “ไท่เฟย ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นผู้อาวุโสใดๆ มาตั้งนานแล้ว ในสายตาข้า ท่านเป็นเพียงสตรี…”

 

 

ยังมิทันเอ่ยจบก็ถูกเจินไท่เฟยตบเข้าที่ใบหน้าเสียแล้ว เจินไท่เฟยแทบจะควบคุมน้ำเสียงตนไม่ได้แล้ว “หยุดพูดเดี๋ยวนี้ เจ้ามันเดรัจฉาน หากข้ารู้ว่าเจ้าจะชั่วช้าเช่นนี้ ข้าคงไม่ช่วยปกป้องเจ้าไว้แต่แรก ให้เจ้าถูกรุมทึ้งจนเหลือแต่เศษซาก ข้าคงสบายกว่านี้!”

 

 

นางตบไปคราหนึ่งแต่ยังไม่คลายโทสะจึงเตะเขาอีกที “เจ้าคิดให้ดี ที่พูดออกมาเป็นสิ่งที่คนพูดกันหรือไม่ หา หา”

 

 

เฉินชิ่งตี้ไม่หลบปล่อยให้เจินไท่เฟยทั้งเตะทั้งตี อาจเพราะเขาเมามาก จึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่ง ขอบตาถึงกับเปียกชื้นขึ้น เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ไท่เฟย ข้าชมชอบท่าน มีอันใดผิดหรือ ข้าแค่เกิดช้าไปยี่สิบปีเท่านั้น”

 

 

เจินไท่เฟยเตะเขาจนเจ็บเท้าจึงหยุดเตะ นางล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อแล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “เจ้าคนชั่วช้า เจ้ารีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

 

 

เฉินชิ่งตี้ยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อเจินไท่เฟยไว้ “ไท่เฟย ข้าพูดจริงๆ ข้ามิได้เอ่ยล้อเล่นเหมือนตอนยังเด็ก มิเช่นนั้นข้าจะทำให้วังหลังและใต้หล้านี้มาเป็นของข้าด้วยเหตุใด”

 

 

เมื่อมองแววตาอันแน่วแน่และดื้อดึงของเฉินชิ่งตี้แล้ว เจินไท่เฟยก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในหัวใจ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “เจ้าหก อย่าดื้อ เจ้ารีบกลับไปเถิด”

 

 

“ไท่เฟย…” เฉินชิ่งตี้สัมผัสได้ถึงแววตาอันเย็นเยียบเฉยชาของเจินไท่เฟย เขาจึงหยุดคำพูดของตนไว้

 

 

“รีบไปเถิด อย่าทำให้ข้าต้องเกลียดเจ้าเลย”

 

 

เฉินชิ่งตี้รู้สึกเหมือนมีธนูยิงมากปักที่อก เขาเผยอปากขึ้น แต่ลำคอกลับแห้งผาก เขาจึงหยิบชาที่เจินไท่เฟยดื่มเหลือไว้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วหมุนกายจากไป

 

 

เขาเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อกระโดดออกไปแล้วก็ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขาอดหันกลับไปมองเจินไท่เฟยอีกครั้งไม่ได้

 

 

เจินไท่เฟยสวมชุดตัวในสีเขียวขุ่น เนื้อผ้านั้นบางมากจนมองเห็นเสื้อซับในสีขาวอยู่รางๆ เห็นชัดว่านางงดงามหยาดเยิ้มยิ่งแต่กลับดูเหน็บหนาวเย็นชาไม่มีแม้แต่ความโกรธกรุ่นใด

 

 

เฉินชิ่งตี้เกิดหวั่นใจขึ้นมาจึงไม่กล้ามองอีก เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไท่เฟย ข้าไปก่อนแล้ว”

 

 

เขาค่อยๆ ปิดหน้าต่างลงแล้วจากไป

 

 

เจินไท่เฟยยืนอยู่ในห้องอันโล่งกว้างแต่กลับรู้สึกว่ามันมิใช่ยามคิมหันต์แต่เป็นเหมันต์ชัดๆ ทำให้นางเหน็บหนาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยไม่มีความอุ่นร้อนใดเลยสักเศษเสี้ยว

 

 

หลังจากที่เฉินชิ่งตี้หลับไปแล้ว เมื่อหัวถึงหมอนเขาก็หลับสนิทจนฟ้าสาง

 

 

เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาว่าราชการแล้ว ขันทีจึงเข้ามาปลุกเฉินชิ่งตี้อย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นถนัดตาก็ดตกใจมิได้

 

 

เหตุใดฝ่าบาทถึงได้หน้าบวมเป่งเป็นสุกรเช่นนี้เล่า ผู้ใดทุบตีเอาหรือ

 

 

เขาต่อสู้กับจิตใจตนอยู่นาน สุดท้ายจึงกัดฟันตะโกนออกไปว่า “ฝ่าบาท ทรงตื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฉินชิ่งตี้ขยับเปลือกตา แล้วลืมตาขึ้น เขาผุดลุกนั่งอย่างรวดเร็วทำเอาขันทีตกใจยิ่ง

 

 

“ฝ่าบาท พระองค์…”

 

 

เฉินชิ่งตี้ยังคงมึนงงอยู่ จึงเอ่ยเสียงแข็งว่า “ร้องอันใดของเจ้า”

 

 

ขันทีคิดในใจว่าไม่ร้องได้อย่างไร ฝ่าบาท การที่ท่านตื่นมาแล้วใบห้าเป็นเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้ตกใจดั่งเห็นผี

 

 

“หืม?” เฉินชิ่งตี้หรี่ตามองอย่างรำคาญ

 

 

ขันทีมิกล้าเอ่ยอันใด เพียงถือคันฉ่องยื่นให้ตรงหน้าเขา

 

 

เฉินชิ่งตี้ส่องคันฉ่องแล้วถึงกับสร่างเมา เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็อดเหงื่อแตกมิได้ เขาลุกขึ้นยืนทันที

 

 

ขันทีมือสั่นไปหมด จนเกือบทำคันฉ่องร่วงเสียแล้ว เขาเองก็เหงื่อซึมไปทั้งร่างไม่ต่างกัน

 

 

“ฝ่าบาท?”

 

 

เฉินชิ่งตี้หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไปแจ้งว่าวันนี้เราไม่สบาย ไม่ว่าราชการเช้า หากมีเรื่องด่วนให้ไปที่ห้องอักษรหลวง”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรับข่มใจมิให้เอ่ยถามออกไปว่า เหตุใดพระพักตร์ฝ่าบาทถึงบวมเปล่งเป็นหัวสุกรเช่นนี้ ความสงสัยที่สามารถคร่าชีวิตคนได้นี้ไม่ถามจะดีกว่า เขาจึงออกไปอย่างว่าง่าย

 

 

ยามนี้เองนางกำนัลจึงเดินเรียงแถวเข้ามาปรนนิบัติเฉินชิ่งตี้ล้างหน้า บ้วนปาก เปลี่ยนอาภรณ์

 

 

เหล่านางกำนัลเหล่าขี้กลัว หลังจากเดินเข้ามาแล้วสัมผัสได้ว่าบรรยากาศดูแปลก ก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้น และยังคงปรนนิบัติดูแลอย่างเช่นที่ผ่าน

 

 

“พวกเจ้าออกไปเถิด” เฉินชิ่งตี้ชำเลืองมองกระจกแล้วถอนหายใจออกมา เขาตบหน้าผากด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม

 

 

เหตุใดเมื่อคืนนี้เขาถึงได้ทำเรื่องเช่นนั้นลงไปได้

 

 

เฉินชิ่งตี้รู้สึกดั่งมีแมวมาข่วนใจ อยากจะไปดูว่าเจินไท่เฟยเป็นอย่างบ้างแล้ว จะด่าเขาหรือไม่ แต่กลับเกิดขลาดกลัวขึ้นมา สุดท้ายจึงล้มเลิกความคิดนั้นไปแต่กลับสั่งขันทีว่า “ไปดูไท่เฟยสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่ต้องให้ไท่เฟยรู้ล่ะ”

 

 

ขันทีมิได้คิดอันใดมาก เขารีบไปที่ตำหนักเจินไท่เฟยทันที

 

 

ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าไท่หวงไท่เฟยเป็นผู้ดูแลฝ่าบาทมาตั้งแต่ทรงเยาว์วัย เกรงว่าในใจพระองค์นั้น ไท่หวงไท่โฮ่วจะมีความสำคัญกว่าเสด็จย่าแท้ๆ ของพระองค์เองเสียอีก

 

 

ไม่นานขันทีก็กลับมาทูลว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ไท่หวงไท่โฮ่วทรงรับสั่งให้จยาหมิงเซี่ยนจู่เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เดิมคิดว่าด้วยฐานะของไท่หวงไท่โฮ่วในยามนี้คงไม่เหมาะที่จะพบกับญาตินอกวัง แต่ฝ่าบาทได้ตรัสไว้แต่แรกแล้วว่า หากไท่หวงไท่โฮ่วต้องการสิ่งใดให้จัดการตามพระประสงค์ทุกอย่าง แค่เรียกคนมาเข้าเฝ้าพูดคุยจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งแล้ว

 

 

เฉินชิ่งตี้ได้ยินว่าเจินไท่เฟยเรียกเจินเมี่ยวเข้าวังจึงโล่งอกลงได้