ทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้หันหน้ามองนาง 

 

 

ถึงพวกเขารู้ว่าแม่นางผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ว่าเรื่องทางการทหารกับการต่อสู้ทั่วไปนำมาเทียบกันได้หรือ ในสายตาคนไม่น้อยล้วนไม่เห็นด้วย มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หวังว่าเขาจะยับยั้งนาง  

 

 

คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับยื่นมือออกมาช้าๆ ล้วงของสิ่งหนึ่งออกจากแขนเสื้อโยนให้เยี่ยเม่ย  

 

 

เยี่ยเม่ยเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เขาโยนมาเช่นนี้ นางไม่คิดมากรับเอาไว้ 

 

 

นางก้มมองสิ่งของในมือ ป้ายชิ้นหนึ่งสลักรูปพยัคฆ์ไว้ด้านบนคล้ายกับมีชีวิตจริง มุมป้ายมีรหัสลับ กลับด้านดูเป็นอักษรคำว่า “ลิ่ง”[1] นางมุ่นคิ้วมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามเสียงนิ่ง “นี่คืออะไร”  

 

 

คนทั้งหมดในที่นี้เห็นสิ่งของในมือนาง สีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว คิดอยากมองเขาด้วยสายตาตำหนิ แต่กลับไม่กล้า 

 

 

แต่ในใจต่างก่นด่าว่าคน… 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ยอย่างอ่อนโยน เอ่ยด้วยเสียงสบาย “นี่คือตราพยัคฆ์สั่งการทหารสองแสนนายที่ชายแดน วันนี้มอบไว้ในมือแม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางเยี่ยเม่ยอยากยืดเส้นยืดสายอย่างไรก็ทำได้ หากต้องการให้เยี่ยนช่วยเหลือ เอ่ยมาคำเดียวก็พอ หากไม่ต้องการให้เยี่ยนลงมือ เยี่ยนก็จะอยู่เบื้องหลัง เป็นกำลังสนับสนุนให้แม่นางเยี่ยเม่ย”  

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา อย่าว่าแต่เรียวคิ้วของคนอื่นๆ ต่างก็เลิกขึ้น รู้สึกว่าเขาหลงใหลหญิงงามจนเสียสติ ถูกสตรีนางหนึ่งล่อลวงใจ แม้แต่เยี่ยเม่ยเองยังเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ กวาดตามองเขา ถามเสียงเย็นชา “ท่านเชื่อใข้าถึงเพียงนี้เชียว?” 

 

 

นางจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตนทำเรื่องบางอย่าง ที่มองแล้วดูแล้วน่าเชื่อใจ หรือว่ามนุษยธรรมของนาง ต่อให้ไม่แสดงออกมา ก็ถูกเขาเห็นได้แล้ว? 

 

 

เยี่ยเม่ยครุ่นคิด ดูท่าคงมีความเป็นไปได้เช่นนี้เท่านั้น 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มยกมุมปาก แววตาล้ำลึกเกินเปรียบ สงสัยเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “ความเชื่อหรือไม่เชื่อล้วนไม่ใช่สิ่งที่ใช้ปากเอ่ยออกมา การกระทำของเยี่ยนมากเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วมิใช่หรือ” 

 

 

เยี่ยเม่ยก้มหน้ามองตราพยัคฆ์ในมือ จากนั้นมองใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของบุรุษอย่างไม่รีบร้อน ถามเย็นชาว่า “ท่านไม่กลัวว่าข้านำทัพใหญ่สองแสน จะทำให้ทหารตายสิ้นหรือ” 

 

 

คำพูดนี้ของนาง ถามแทนคำถามในใจของเหล่านายทัพทุกคนในที่นี้จนหมดสิ้น เตี้ยนเซี่ยไม่กลัวเกิดเรื่องเช่นนี้ แต่ว่าพวกเขาหวาดกลัวเป็นหมื่นเท่า 

 

 

ใครจะรู้ว่า คนที่นั่งที่ประธานนั้นมีสีหน้าสบายอารมณ์ เหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเล่นสนุกด้วยความยินดีก็พอ ส่วนเหล่าทหารจะเป็นหรือตาย เยี่ยนไม่ใส่ใจ” 

 

 

 “เตี้ยนเซี่ย” ในที่สุดนายทัพผู้หนึ่งก็ทนไม่ไหวอีก ก้าวออกมา 

 

 

เขากัดฟันแน่นเดินมาเบื้องหน้า เป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงเย็นชากล่าว “เตี้ยนเซี่ย ท่านเห็นชีวิตคนเป็นเศษหญ้า ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของเหล่าทหารสองแสนนายที่ชายแดนบ้างหรือไม่” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขา เอ่ยช้าๆ ว่า “คนที่ให้เยี่ยนนำทัพคือเสด็จพ่อ เกรงว่าเสด็จพ่อจะรู้จักนิสัยเยี่ยนดีกว่าพวกเจ้า ดังนั้นคนที่เห็นชีวิตคนเป็นเศษหญ้าหาใช่เยี่ยน แต่เป็นนายเหนือหัวที่พวกเจ้าจงรักภักดีต่างหาก” 

 

 

คนทั้งหมด “…”  

 

 

ดูเหมือนจะมีเหตุผล ฮ่องเต้รับสั่งให้องค์ชายสี่เสด็จมาจริงๆ ฮ่องเต้ย่อมรู้นิสัยขององค์ชายสี่ ดังนั้นแทนที่จะบอกว่าองค์ชายสี่ไม่สนใจชีวิตของพวกเขา ไม่สู้บอกว่าฮ่องเต้หาได้ใส่ใจความเป็นตายของพวกเขาเลยสักน้อย แต่ว่า… 

 

 

แต่ว่าเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้อง 

 

 

เป่ยเฉินเสียงทนไม่ไหวเปิดปากเอ่ย “น้องสี่ อย่าได้เอาเหตุผลบิดเบี้ยวของเจ้าโยนความไม่รับผิดชอบต่อเหล่าทหารของเจ้าให้เสด็จพ่อ เสด็จพ่อทำไปเพราะเชื่อใจ ถึงได้มอบตราพยัคฆ์ให้เจ้า เจ้าจะผิดต่อความเชื่อใจของเสด็จพ่อ มอบตราให้กับสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง?” 

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้ว มองเป่ยเฉินเสียง สตรีอ่อนแอ? ดูแคลนสตรี?  

 

 

เป่ยเฉินเสียงเห็นแววตานาง ยามนี้คิดกลอกตาไปทางอื่น แต่ไม่รู้มองไปไหนดี จึงไม่กล้าสบตาอีก อย่างไรเสียเขาก็อยากได้ตัวนางเป็นความจริง ส่วนยามนี้กำลังขัดขวางไม่ให้นางนำทัพก็เป็นเรื่องจริง 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กวาดสายตามองเขา เอ่ยช้าๆ “เสด็จพี่ก็บอกแล้ว เสด็จพ่อมอบตราพยัคฆ์ให้ข้าเพราะความเชื่อใจ ดังนั้นตรานี้ก็สมควรให้เยี่ยนเป็นผู้จัดการ ส่วนเยี่ยนเชื่อมั่นใจตัวแม่นางเยี่ยเม่ย เป็นเหตุให้มอบตราให้กับนาง แนวคิดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเสด็จพ่อมั่นใจในความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนผิดต่อความเชื่อใจของเสด็จพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”  

 

 

ทุกคน “…” 

 

 

 จริงด้วย ฮ่องเต้เชื่อใจองค์ชายสี่ องค์ชายเชื่อใจแม่นางเยี่ยเม่ย ดังนั้นมอบตราให้แม่นางเยี่ยเม่ย วิเคราะห์ดูแล้วไม่มีปัญหา แต่ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่ามีที่ไหนไม่ถูกต้องกัน 

 

 

ชั่วขณะนั้นเป่ยเฉินเสียงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร กลืนความโมโห ถลึงตาใส่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  

 

 

เซี่ยโหวเฉินยืนนวดหว่างคิ้วอยู่ด้านข้าง ถกเรื่องเหตุผลกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เกรงว่าเขาเซี่ยโหวเฉินผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากง่ายๆ กลัวแต่ว่าตนจะได้รับการดูถูก หวังแต่ว่าองค์ชายใหญ่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว  

 

 

เห็นเป่ยเฉินเสียงสีหน้าไม่ยอมรับ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกวาดตามองเขา  

 

 

น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยช้าๆ ว่า “หากเสด็จพี่ไม่ยินยอม ไม่สู้กลับไปตำหนิเสด็จพ่อที่เมืองหลวง ไฉนพระองค์ไม่มอบตราให้ท่าน กลับมอบให้เยี่ยน นี่มิได้หมายความว่า…ความสามารถของเสด็จพี่ ไม่ได้รับความเชื่อใจจากเสด็จพ่อ ดูท่าแล้ว ท่านยังต้องพยายามต่อไปให้ดีล่ะ” 

 

 

 “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้า” เป่ยเฉินเสียงโมโหจนพูดไม่ออกจริงๆ แล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงกับลบหลู่เขาต่อหน้าทุกคน 

 

 

เซี่ยโหวเฉินรั้งเป่ยเฉินเสียงไว้ เอ่ยปากกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า “องค์ชายสี่มิต้องใส่ใจ ข้าอ๋องน้อยกับองค์ชายใหญ่รับพระราชโองการให้มาช่วยเป็นกำลังให้องค์ชายสี่ องค์ชายใหญ่เพียงกังวลว่าเรื่องการทหารจะล่าช้า ไม่ได้มีเจตนาร้าย” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ตอบช้าๆ “เยี่ยนก็หวังว่าเขาจะหวังดี ไม่ใช่มีความคิดว่าเยี่ยนจะแย่งบัลลังก์กับเขาจึงจงใจเป็นศัตรูกับเยี่ยน” 

 

 

สิ้นเสียงเขา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบลง 

 

 

เป่ยเฉินเสียงสีหน้ายิ่งเขียวคล้ำไปอีก คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นความจริง แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ในประวัติศาสตร์แล้วได้เพียงแต่ตระหนักอยู่ในความคิด ไม่อาจถ่ายทอดออกมา เขาถึงกลับพูดออกมาตามตรง  

 

 

เขาสีหน้าเขียวคล้ำ จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชั่วครู่ หัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าน้องสี่กับแม่นางผู้นี้จะชนะศึก หากสถานการณ์สุดท้ายไม่ส่งผลดีกับเป่ยเฉินเรา ข้าจะเข้าไปแทรกแซงแน่” 

 

 

เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองแผ่นหลังเขา พ่นคำพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์ “เสด็จพี่มีความสามารถพอจะแทรกแซงอย่างนั้นหรือ” 

 

 

ฝีก้าวของเป่ยเฉินเสียงแข็งชะงักไป รู้สึกถึงการลบหลู่อย่างล้ำลึก ทว่าเขายิ่งรับรู้ว่าหากเอ่ยต่อไปจะมีแต่ยิ่งเสียหน้า ดังนั้นจึงไม่เอ่ยสักคำ กัดฟันไม่เอ่ยวาจาเดินจากไป เซี่ยโหวเฉินมองตามแผ่นหลังเขาด้วยความรู้สึกสับสน 

 

 

เยี่ยเม่ยเห็นสงครามใหญ่ฉากนี้ นับว่าเข้าใจแล้วเช่นกันว่าตนเองได้รับตรานี้ ไม่มีใครสักคนเห็นด้วย 

 

 

แต่นิสัยของนางแต่ไรมาคือยิ่งล้มเหลวยิ่งกล้าหาญ นางเล่นตราพยัคฆ์ในมือครู่หนึ่ง ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยปากว่า “เพื่อไม่ผิดต่อความเชื่อใจของท่าน ศึกนี้ราชสำนักเป่ยเฉินต้องชนะ” 

 

 

สิ้นเสียง นางก็กวาดตามองเจ้าเมืองหลิน “พาข้าไปค่ายทหาร” 

 

 

เจ้าเมืองหลินมองไปทั่วสี่ทิศ รีบก้าวออกมานำทาง “ขอรับ” 

 

 

   …… 

 

 

ในค่ายทหาร เยี่ยเม่ยนั่งลงในตำแหน่งประธาน มองดูแผนที่ 

 

 

ในค่ายมีทหารแปดพันนาย ไม่มีใครสักคนที่มีสีหน้ายินดีจ้องมองสตรีน่าตายผู้นี้ มองดูนางไม่ประมาณความสามารถตนมาเป็นแม่ทัพใหญ่ ยังจะอออกความคิดแผลงๆ อะไรให้พวกเขา”  

 

 

 

 

 

[1] ลิ่ง (令)หมายถึง คำสั่ง