บทที่ 394.1 แสงสว่างผุดวาบ ภูเขาค่อยๆ เขียว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ปีศาจจิ้งจอกที่เรียกตัวเองว่านายท่านชิงพลันถามขึ้นว่า “สตรีต่างถิ่นอย่างเจ้าคือนักพรตเรือนซือเตาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินกลางจริงรึ?”

ดูเหมือนนักพรตหญิงวัยกลางคนจะรู้สึกว่าคำถามนี้น่าสนใจ มือหนึ่งจึงจับด้ามมีด อีกมือหนึ่งดีดกวานหางปลาของตัวเอง “ทำไม ยังมีใครในแจกันสมบัติทวีปกล้าสวมรอยพวกเราอีกหรือ? หากว่ามี เจ้าก็บอกชื่อแซ่มา ถือว่าเจ้าสร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง ข้าสามารถรับปากเจ้าได้ว่าจะให้เจ้าตายเร็วหน่อย”

เด็กหนุ่มชุดดำที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสร้างคลื่นลมมรสุมปั่นป่วนให้สวนสิงโตวุ่นวายจุ๊ปากพูด “มีชาติกำเนิดมาจากเรือนซือเตาจริงๆ หรือนี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ากินโอสถทองล้ำค่าของเจ้าเม็ดนั้นไปแล้ว นายท่านใหญ่อย่างข้าจะท้องแตกตายหรือไม่”

มุมปากของนักพรตหญิงตวัดโค้งขึ้น “ไม่เสียทีที่เป็นแคว้นเล็กสุดในใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ขอแค่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกลมปราณ แต่ละคนล้วนความสามารถไม่มาก แต่ปากดีไม่น้อย ใช่แล้ว ข้าชื่อหลิ่วป๋อฉี การที่ข้ามาเยือนที่นี่ แรกเริ่มนั้นก็เพราะแซ่สกุลหลิ่วของสวนสิงโตแห่งนี้ ผลกลับพบว่าข้าที่โชคร้ายมาตลอดการเดินทาง ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเสียที ข้าต้องขอบคุณเจ้า และที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพื่อให้ปีศาจที่ร่างจริงคือตัวทากอย่างเจ้าตายไปพร้อมกับความเข้าใจ”

เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกว่าสตรีน่ารังเกียจผู้นี้รู้ตัวตนที่แท้จริงของตนได้อย่างไร

มันไม่รู้ว่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอวเฉินผิงอันใบนั้นมีเวทอำพรางตาที่สามารถบดบังการตรวจสอบของเซียนดินโอสถทองได้ แต่พอนักพรตหญิงร่ายเวทคาถากลับมองออกว่านั่นคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ไม่ธรรมดาได้ในปราดเดียว

นักพรตหญิงวัยกลางคนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าภูตต้นหลิ่วนั่นไม่ต่างจากคนตาบอด เจ้าเข้าๆ ออกๆ สวนสิงโตหลายครั้งขนาดนี้ก็ยังมองรากฐานของเจ้าไม่ออก แค่อาศัยกลิ่นสาปจิ้งจอกน้อยนิดและเชือกขนจิ้งจอกไม่กี่เส้นก็เชื่อจริงๆ ว่าเจ้าคือปีศาจจิ้งจอก เข้าใจผิดไปไม่ใช่น้อยๆ คนเบื้องหลังที่สนับสนุนให้เจ้าทำร้ายสวนสิงโตก็เป็นคนตาบอดเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงถลกเอาหนังจิ้งจอกของเจ้ามานานแล้วกระมัง? ความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของชะตาบุ๋นสกุลหลิ่วน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ไหนเลยจะมีค่าเท่ากับทรัพย์สมบัติในท้องของเจ้า”

เด็กหนุ่มที่เคยป่าวประกาศว่าต่อให้ถูกก่อกำเนิดไล่ฆ่าก็ไม่กลัวบังเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใช้น้ำเสียงปรึกษาหารือถามว่า “หากข้าไปจากสวนสิงโตเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”

นักพรตหญิงวัยกลางคนตอบไม่ตรงคำถาม คงเป็นเพราะดูแคลนที่จะตอบคำถามที่ไม่ใช้สมองประเภทนี้ นางใช้ฝ่ามือเคาะด้ามมีดเบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “มีดอาคมที่พกติดตัวตลอดเวลาเล่มนี้มีชื่อว่าเทพเจ้าจิ้ง (จิ้งคือสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับเสือดาวชนิดหนึ่งในหนังสือโบราณ ซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว มันจะกินแต่สัตว์ประเภทเดียวกันเอง) อยู่ในอันดับที่เจ็ดของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว ส่วนวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้าก็ยังคงเป็นมีด มีชื่อว่าเจี่ยจั้ว (เทพในตำนานโบราณที่ว่ากันว่ากินผีเป็นอาหาร) แต่เจ้าก็วางใจเถอะ เจ้าไม่ได้เห็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้าหรอก นี่ก็คือโชคดีใหญ่เทียมฟ้าของเจ้า”

เด็กหนุ่มเข่าอ่อนยวบ

เขาพูดอย่างน่าสงสารว่า “อดีตเจ้าของร่างปีศาจจิ้งจอกที่ข้ากินไปนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอะไร มันนึกอยากจะอาศัยการแต่งงานมาสร้างโอสถทอง และยังอยากจะใช้โอกาสนี้มาดูดดึงโชคชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่ว ซ้ำยังเพ้อฝันว่าจะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ข้าฆ่ามัน กินมันลงท้อง อันที่จริงก็ถือว่าได้ช่วยสวนสิงโตต้านทานหายนะไปครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็แค่มีเซียนซือผู้เฒ่าแคว้นชิงหลวนคนหนึ่งที่ปรารถนาอยากครอบครองหยกลัญจกรของแคว้นที่ล่มสลายซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษสกุลหลิ่ว จึงร่วมมือกับบุคคลใหญ่ในราชสำนักที่มีวิชาอภินิหารใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง ส่วนข้าก็แค่คล้อยไปตามสถานการณ์เท่านั้น ทั้งสามฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นแค่การค้าขายเล็กๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง กูไหน่ไน่ (คำเรียกสตรีที่แต่งงานออกไปแล้วของคนบ้านเดิม) เจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ถือซะว่าข้าเป็นแค่ผายลมเถอะนะ? หากข้าไปรบกวนอารมณ์ชื่นชมทัศนียภาพของกูไหน่ไน ข้าก็ยินดีจะประคองโอสถทองครึ่งดวงของปีศาจจิ้งจอกส่งให้เจ้าด้วยสองมือ ถือเป็นของไถ่โทษ ตกลงไหม?”

นักพรตหญิงเรือนซือเตานามหลิ่วป๋อฉีหลุดหัวเราะ “เป็นเพราะรู้สึกว่าข้าไม่มีทางหาร่างจริงของเจ้าเจอก็เลยแสร้งทำเป็นบ้าบออยู่ตรงนี้ใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนสีหน้าใหม่ หัวเราะฮ่าๆ อย่างเบิกบาน “โอ้โหแหะ สตรีหน้าเหม็นอย่างเจ้าน้ำไม่ได้เข้าสมองอย่างที่ข้าคิดเลยนี่นา เรือนซือเตาแล้วอย่างไร มีดอาคมเทพเจ้าจิ้งภูเขาห้อยหัวอะไรทั้งหลายเหล่นั่น แล้วอย่างไร? อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือแจกันสมบัติทวีป คือแคว้นชิงหลวนที่อยู่ข้างกายสกุลเจียงอวิ๋นหลิน! นังอัปลักษณ์ นังหญิงหน้าเหม็น จะแลกเปลี่ยนกับเจ้าดีๆ แต่เจ้าไม่ยอมตอบรับ ต้องให้นายท่านชิงอย่างข้าด่าเจ้าหลายๆ คำ เจ้าถึงจะสบายใจสินะ? สมกับเป็นหญิงต่ำช้าซะจริง รีบไปไหว้พระขอพรที่เมืองหลวงซะเถอะ ไม่อย่างนั้นวันใดอยู่ในแจกันสมบัติทวีปแล้วตกอยู่ในน้ำมือของนายท่านใหญ่อย่างข้า ข้าจะต้องโบยให้เนื้อหนังของเจ้าแตกเหวอะหวะให้จงได้! ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะชื่นชอบก็ได้นี่นะ ถูกไหม?”

หลิ่วป๋อฉีกลับไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังยกยิ้มมีเลศนัย “คำโบราณว่าไว้ ศาลเล็กลมปีศาจแรง ช่างเป็นคำที่จี้ใจดำจริงๆ พูดคุยกับปีศาจทากอย่างเจ้าสนุกยิ่งนัก เมื่อเทียบกับพวกภูตผีปีศาจยักษ์ใหญ่หลายตนในอดีตที่พอข้าออกมีด บ้างก็โขกหัววิงวอนอย่างสุดชีวิต บ้างก็บ้าคลั่งก่อนตายแล้ว เจ้าน่าสนใจกว่ามาก”

มองดูเหมือนเด็กหนุ่มจะกำเริบเสิบสาน แต่อันที่จริงในใจกลับบ่นพึมพำไม่หยุด สตรีผู้นี้มัวอืดอาดยืดยาด ไม่เหมือนนิสัยของนางเลย หรือว่ามีกับดัก?

แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันแอบเล่นตุกติกบางอย่างบนร่างของภูตต้นหลิ่วซึ่งเป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ หากสวนสิงโตมีการหมุนเวียนของลมและน้ำซึ่งความเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงเกิดขึ้น มันจะรับสัมผัสได้ทันที

หากจะบอกว่ามีแผนการร้ายรอมันอยู่ที่หอซิ่วโหลว มันก็แค่อดทนข่มกลั้นไว้ชั่วคราว ไม่ไปเก็บดอกผลชะตาบุ๋นที่วางไว้บนร่างของสตรีผู้นั้นกินก่อนก็แค่นั้น ดูแค่ว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน นักพรตหญิงเรือนซือเตาผู้นี้กับคนหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นั้นจะเฝ้าอยู่ในสวนสิงโตได้เป็นปีครึ่งปีเลยหรือไร?

ถ้าอย่างนั้นจะเป็นที่พึ่งแบบใดที่สามารถทำให้นักพรตหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เกิดตบะและความอดทนขึ้นมา? จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมใช้มีดฟันร่างมายานี้ของตนเหมือนตอนที่อยู่บนกำแพงของเรือนเล็กก่อนหน้านั้น?

หลิ่วป๋อฉีเบี่ยงตัวพิงราวสะพาน ยื่นมือบอกเป็นนัยให้ปีศาจเดินข้ามสะพานมาได้ตามสบาย นางจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด “หากเจ้าเดินไปถึงหอซิ่วโหลวก็จะรู้ความจริงเอง”

ก่อนหน้านี้หลิ่วป๋อฉีขัดขวางเอาไว้ มันนึกอยากจะฝ่าออกไปดูที่หอซิ่วโหลวให้รู้แล้วรู้รอดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้พอหลิ่วป๋อฉีเปิดทางให้ มันกลับเริ่มรู้สึกว่าสะพานโค้งเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นภูเขามีดทะเลเพลิง

จิตใจคนดุจผีร้าย น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจอย่างพวกมันเสียอีก

ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน มันเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ไม่อย่างนั้นบางทีวันนี้ก็อาจจะคลำเจอธรณีประตูของห้าขอบเขตบนแล้วก็เป็นได้

เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่กินปีศาจจิ้งจอก ใช้เนื้อหนังมังสาของปีศาจจิ้งจอกเป็นเวทอำพรางตาตนนี้ ไม่เพียงแต่ร่างจริงคือตัวทากที่หาได้ยาก การที่หลิ่วป๋อฉีไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ ยังมีปัจจัยใหญ่อีกข้อหนึ่ง

เพราะว่ามันคือหนึ่งในปีศาจจำแลงสมบัติที่ ‘ฟ้าดินโคจรเปลี่ยนผัน โชควาสนามากมายไร้สิ้นสุด’ เดิมทีตัวทากก็กลายเป็นภูติได้ยากยิ่งอยู่แล้ว และการที่กลายมาเป็นปีศาจจำแลงสมบัติตัวหนึ่งได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากบนโลก พวกมันชอบกินภูตผีปีศาจหลากหลายชนิด จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดไม่ใช่ด้านที่มันเชี่ยวชาญการเสแสร้ง อำพราง หลบหนีและยากที่จะถูกสมบัติอาคมสังหาร

แต่เป็นข้อที่ว่าเมื่อปีศาจตนนี้กินภูตผีประหลาดไปมากมาย ก็จะได้รับโชควาสนาของสิ่งที่มันกินเข้าไปบนเส้นทางของการฝึกตน สามารถบุกรุดหน้าไปพร้อมกันบนเส้นทางหลายสาย ใช้โอสถปีศาจดั้งเดิมมาเป็นบันไดเดินทีละก้าวจนกระทั่งสร้างโอสถทองได้หลายเม็ด

ไม่ต่างจากปลาวาฬกลืนสมบัติที่มาอยู่บนแผ่นดินเลยสักนิด ใครสามารถฆ่าได้ คนผู้นั้นก็รวยเละ!

เป็นเหตุให้แม้แต่หลิ่วป๋อฉีที่สายตาสูงส่งไม่เห็นหัวใครก็ยังรู้สึกอยากครอบครองเซียนดินตัวทากที่น่าหัวเราะตัวนี้ หากคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นกล้ามาแย่งชิงกับนาง เทพเจ้าจิ้งมีดอาคมตรงเอวของนาง รวมไปถึง ‘เจี่ยจั้ว’ มีดโบราณอันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็คงไม่มีตาแล้วจริงๆ

หลิ่วป๋อฉีเห็นท่าทางกวาดตามองไปรอบทิศอย่างขลาดกลัวของเจ้าหมอนี่ก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าร่างจริงของเจ้าอยู่ในใต้ดินลึกบริเวณใกล้ๆ นี้ อาศัยเส้นสายลมปราณของรากภูเขามาหลบเลี่ยงการตรวจสอบของข้า”

เด็กหนุ่มเอียงศีรษะ “ในเมื่อเจ้าเก่งกาจปานนี้ ไยไม่ปล่อยมีดออกมาฟันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า สถานที่ซ่อนร่างที่มีรากภูเขาและสายน้ำน้อยนิดแค่นั้นไม่อาจต้านทานการขุดดินลึกสามฉื่อของเจ้าถึงครึ่งก้านธูปหรอก ถึงเวลานั้นข้าก็ไร้ที่ให้ซ่อนตัวแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ทำเช่นนี้เล่า? คงมีเรื่องที่เจ้าใส่ใจสินะ”

มันถามเองตอบเอง “อ้อ ข้าเดาได้ถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรข้าก็ใส่ใจทุกการกระทำของเจ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้มากกว่าการกระทำของคุณชายที่มีผู้ฝึกกระบี่เป็นสาวใช้คนนั้น”

หลิ่วป๋อฉีหรี่ตาลง

เด็กหนุ่มยกมือสองข้างขึ้น หัวเราะคิกคัก “รู้ว่าเจ้าไม่มีทางยอมให้ข้าพูดออกมาหรอก มาเถอะ เสียบมีดใส่นายท่านใหญ่สักที ให้ว่องไวหน่อย ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน สายน้ำมรกตไหลยาว พวกเรามาคอยดูกันไปเถอะ!”

หลิ่วป๋อฉีเงื้อมีดฟันให้ภาพลวงตาของเด็กหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งของหัวสะพานแหลกสลายจริงๆ

ยังคงมีขนจิ้งจอกหนึ่งเส้นร่วงลงสู่พื้นดิน

หลิ่วป๋อฉีมองไกลไปรอบด้าน สี่ทิศของสวนสิงโตล้วนมีแต่ภูเขาเขียว

นางเห็นภูเขาเขียว (ชิงซาน) ที่งดงามก็เกิดความรักตั้งแต่แรกพบ

หลิ่วป๋อฉีหน้าแดงก่ำน้อยๆ โชคดีที่รอบด้านไร้ผู้คน อีกทั้งผิวนางก็ค่อนข้างคล้ำจึงไม่สะดุดตานัก

เก็บความคิดวุ่นวายนี้ไปแล้ว นางก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาแข็งกระด้างอีกครั้ง สัมผัสถึงการไหลเวียนอย่างบางเบาของลมปราณจากสี่ด้านแปดทิศ หลิ่วป๋อฉีก็เตรียมรอดูเรื่องสนุก คราวนี้ตัวทากที่ทั่วร่างมีแต่สมบัติล้ำค่านั่นต้องสะดุดล้มหัวทิ่มแล้ว (เปรียบเปรยว่าทำบางอย่างล้มเหลวจึงได้รับบทเรียนหรือพบอุปสรรค)

ในเมื่อเป็นสถานการณ์ที่ช่วยคนอื่นแล้วยังช่วยเหลือตัวเอง ถ้าอย่างนั้นหลิ่วป๋อฉีก็ยินดีชักดึงเทพเจ้าจิ้งมีดอาคมที่มีชื่อเสียงของเรือนซือเตาออกมาจากฝัก ร่างทะยานวูบผ่านสถานที่ต่างๆ ของสวนสิงโตติดต่อกัน ครั้นจึงเริ่มออกมีดอย่างแม่นยำ หากไม่สะบั้นความเชื่อมโยงระหว่างรากภูเขาและสายน้ำก็จ้วงแทงไปยังตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้มากสุดว่าจะเป็นที่ซ่อนตัวของปีศาจ นอกจากนี้นางยังจงใจทำให้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรง พายุลมกรดพัดกระโชก ลมและน้ำของสวนสิงโตถูกก่อกวนจนปั่นป่วนขุ่นคลั่กไปชั่วขณะ

ช่วยถ่วงเวลาให้คนหนุ่มชุดขาวที่ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คนนั้นต่ออีกครั้ง

มาเจอกับปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างปีศาจตัวทากที่ฆ่าง่ายแต่จับตัวยากตนนี้ หลิ่วป๋อฉีก็ได้แต่ฝืนใจทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้แล้ว

……

นอกห้องหนังสือที่ประตูปิดสนิท ร่างมายาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรากฏตัวอีกครั้ง สองมือไพล่หลัง หนึ่งเท้าเตะเปิดประตูใหญ่ ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูไป

สูดจมูกดมกลิ่นก็รู้สึกไม่ใคร่สบายตัวนัก มันเหลือกตามองบน พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษของสกุลหลิ่วสะสมบุญอย่างไรถึงได้มีกลิ่นอายชะตาบุ๋นที่เข้มข้นวนเวียนอยู่ในสวนสิงโตไม่จางหายอย่างนี้ ก็ไม่แปลกที่ปีศาจจิ้งจอกขอบเขตประตูมังกรตัวนั้นจะอยากครอบครอง น่าเสียดายที่ชะตาชีวิตของมันไม่ดี ทุกอย่างที่ทำมาจึงเปลืองแรงเปล่า”

มันเริ่มเคาะตรงโน้นลูบคลำตรงนี้ กระทืบเท้าไม่หยุดนิ่งดูว่ามีพวกกลไกห้องลับอะไรหรือไม่ สุดท้ายไม่พบอะไรก็เริ่มพลิกค้นลังและชั้นวางที่ซ่อนของได้ง่าย

สมบัติชิ้นนั้นควรจะถูกซ่อนไว้ในห้องหนังสือแห่งนี้ถึงจะถูก

ครั้งนี้สวนสิงโตประสบหายนะ เบื้องหลังมีผู้อาวุโสใหญ่สองคน ซึ่งมันล้วนเคยพูดคุยด้วยมาก่อน แน่นอนว่าทั้งสองคนล้วนเป็นพวกที่ตอแยด้วยยาก คนหนึ่งตบะสูงส่ง คนหนึ่งกุมอำนาจใหญ่ แม้แต่มันก็ยังไม่กล้าสนิทสนมด้วยมากนัก

ตาเฒ่าที่ชอบเก็บสะสมหยกลัญจกรของแคว้นต่างๆ ในแจกันสมบัติทวีปผู้นั้นมีจมูกเหยี่ยวงองุ้ม เวลายิ้มน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าภูตผีเสียอีก คำกล่าวถึงลักษณะหน้าตาของคนที่สำนักหยินหยางสรุปออกมาเหมาะสมกับคนผู้นี้อย่างมาก ‘จมูกเหมือนปากเหยี่ยว จิกทึ้งใจคน’ ประโยคนี้เข้าเป้าตรงเผง

ตาเฒ่าวิปริตใช้ช่องทางสนับสนุนมังกร (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้) ในราชสำนัก ชอบกวาดเอามรดกทรัพย์สินของแคว้นที่ล่มสลายมาที่สุด ยิ่งเป็นของเล่นที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์สุดท้ายมากเท่าไหร่ ตาเฒ่าก็ยิ่งถูกใจและให้ราคาสูงมากเท่านั้น

ว่ากันว่าคนผู้นั้นได้เก็บสะสมตราลัญจกรหยกของฮ่องเต้หลายยุคหลายสมัยมาเกือบร้อยชิ้นแล้ว ไม่ว่ารูปแบบใดก็มีหมด แต่เขาก็มีเรื่องที่เสียดายอยู่สองเรื่องใหญ่ หนึ่งคือตราลัญจกรหยกที่ควรมีครบชุดกลับขาดไปชิ้นหนึ่ง มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่ามันมาปรากฏอยู่ที่ท่าเรือหางผึ้ง เพียงแต่ว่าตาเฒ่าค่อนข้างกริ่งเกรงตรอกที่เคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏมาก่อนเส้นนั้น จึงไม่กล้าไปปล้นชิงของของผู้อื่น

เรื่องเสียดายเรื่องที่สองก็คือ ‘ตระเวนไล่ล่าสมบัติแห่งใต้หล้า’ *(ในสมัยราชวงศ์ชิงมีหยกลัญจกรทั้งหมดยี่สิบห้าชิ้น หยกตระเวนไล่ล่าสมบัติแห่งใต้หล้านี้คือหยกอันดับที่ยี่สิบ ซึ่งฮ่องเต้จะใช้ประทับยามที่มีการออกตรวจตราลาดตระเวน)*ซึ่งปรารถนามานานแต่ก็ไม่อาจได้ครอบครอง  สมบัติชิ้นนี้คือมรดกตกทอดของราชวงศ์ใหญ่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ล่มสลายไปแล้ว สมบัติชิ้นสำคัญที่สืบทอดต่อกันมาของแว่นแคว้นชิ้นนี้ อันที่จริงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แค่สองชุ่นเท่านั้น ทำมาจากวัสดุสีทองอร่าม เพียงแต่ทองก้อนเล็กๆ แค่นี้กลับสามารถสลักตัวอักษรได้มากมายเป็นประโยคว่า ‘อาณาบริเวณทั่วฟ้าดิน ทวยเทพช่วยเหลืออย่างลับๆ เกราะสีทองส่องสว่างอร่ามจ้า ตระเวนไล่ล่าไปสี่ทิศ’

บางครั้งมันก็เงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่างอยู่สองสามครั้ง

สตรีหน้าเหม็นผู้นั้นไม่ยอมเลิกราจริงๆ เริ่มใช้วิธีการที่โง่งมที่สุดมาตามหาร่างจริงของตนแล้ว ฮ่าๆ หากนางหาพบก็ถือว่านางมีความสามารถแล้ว!

มันหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับนิยายจอมยุทธ์ในยุทธภพเล่มหนึ่ง ในนิยายกล่าวประโยคหนึ่งว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ประโยคนี้ยิ่งมันขบคิดใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ

มันยังคงค้นหาก้อนทองเล็กๆ ก้อนนั้นต่อ เริ่มหงุดหงิดใจน้อยๆ

เจ้าเป๋น้อยหลิ่วรู้จักซ่อนของดีจริงๆ

แม้จะบอกว่าต่อให้มันหาเจอแล้วก็ยังเอาไปไม่ได้ แต่ขอให้เห็นก่อนก็ยังดี

พูดไปแล้วอาจฟังดูไร้สาระ ตอนนี้หลังจากมีความเชื่อมโยงกับฮวงจุ้ยของสวนสิงโต มันกลับกลายเป็นคนน่าสงสารที่แม้แต่ทองก้อนเล็กๆ ก็ยังไม่อาจเคลื่อนย้ายไปได้

หากไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาก็อาจทำได้อยู่ แต่มันไม่เต็มใจทำ บนเส้นทางการฝึกตนของปีศาจ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา

นี่น่าจะเป็นการชดเชยอย่างหนึ่งที่สวรรค์มีให้เผ่าปีศาจที่ฝึกตนได้ยากกว่าเผ่าอื่นๆ กระมัง กลายมาเป็นภูตที่มีสติปัญญานั้นยาก นั่นคือธรณีประตูบานหนึ่ง หากจะจำแลงร่างกลายเป็นคนแล้วไปฝึกตนก็ยิ่งเป็นธรณีประตูอีกบานหนึ่ง สุดท้ายตามหาวิชาลับตระกูลเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคา หรือไม่ก็เหยียบโชคขี้หมาก้อนใหญ่ ถูก ‘แต่งตั้งอย่างถูกต้องชอบธรรม’ โดยตรง ถือเป็นธรณีประตูบานที่สาม จากบันทึกที่ระบุไว้ในประวัติศาสตร์ จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็มีปีศาจจิ้งจอกห้าขอบเขตบนที่โชคดีอย่างถึงที่สุดอยู่ตนหนึ่ง เพียงแค่ถูกตราประทับเทียนซือประทับลงบนขนเบาๆ ทีเดียวก็ต้องเจอกับทัณฑ์สายฟ้าอันยิ่งใหญ่ที่ก่อกำเนิดทุกคนซึ่งต้องฝ่าทะลุขอบเขตต้องเจอ กระโดดโลดเต้นไม่กี่ทีก็ข้ามผ่านปราการธรรมชาติที่แทบไม่อาจก้าวข้ามไปได้ เผ่าปีศาจในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ใครบ้างที่ไม่อิจฉา?

แค่มันได้ยินคนเล่าต่อๆ กันมาก็ยังอิจฉาแทบตายอยู่แล้ว

หางตาของมันชำเลืองไปเห็นกลอนคู่ที่แขวนไว้สูงบนผนังห้องหนังสือโดยบังเอิญ เจ้าเป๋น้อยหลิ่วชิงซานเขียนด้วยตัวเอง ส่วนเนื้อความนั้นยกมาจากตำราอริยะปราชญ์หรือว่าเจ้าเป๋คิดขึ้นมาเอง มันเพิ่งเคยอ่านตำราแค่ไม่กี่เล่มย่อมไม่รู้คำตอบ

ฝั่งหนึ่งเขียนคำว่า ‘ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า’

อีกฝั่งหนึ่งเขียนว่า ‘มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน’

หนึ่งพลังอำนาจปลดปล่อยไปภายนอก อีกหนึ่งจิตใจและปณิธานเก็บไว้ภายใน

ความหมายเล็กๆ น้อยๆ นี่ มันยังพอจะมองออก

มันเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวาแล้วถ่มน้ำลายใส่กลอนคู่

จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

ได้เห็นบัณฑิตมากความรู้ที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิมต้องสะดุดล้มจมบ่อโคลน สภาพทุเรศยิ่งกว่าไก่ตกน้ำ หมาตกน้ำเสียอีก ช่างทำให้คนเบิกบานใจได้ดีจริงๆ

—–