เจ็ดวันก่อน
ป่ายามค่ำคืนที่ทั้งเงียบและมืดสนิท ความมืดกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ดวงจันทร์บนท้องฟ้าส่องแสงนวลกระจ่าง แต่ต้นไม้หนาทึบกับพุ่มไม้เขียวชอุ่มกลับปิดกั้นแสงที่กำลังสาดส่องลงมา
กรอบ แกรบ
ตอนนั้นเองเสียงเท้าที่เหยียบลงบนใบไม้แห้งก็ทำลายความเงียบของป่า ที่มาของเสียงนั้นคือ เนินเขาแห่งหนึ่งในป่า และน่าแปลกที่มีชายคนหนึ่งกำลังปีนป่ายเนินเขานั้นอย่างระมัดระวัง
เมื่อเขาหยุดปีนลงครู่หนึ่ง เสียงนั้นจึงเงียบไปด้วย ผู้ชายคนนั้นกวาดตามองรอบๆ บริเวณอยู่ประมาณสิบวินาที จากนั้นจึงเริ่มปีนเนินเขาขึ้นไปอีกครั้ง
ความตึงเครียดแปลกๆ โอบล้อมรอบชายผู้นั้น แม้ว่าจะได้ยินเสียงนกหรือเสียงแมลงมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ก็มีเสียงมากมายที่เขาไม่คุ้นเคยดังเข้ามาในหู เมื่อลมหนาวพัดผ่านเนินเขาไป ชายหนุ่มก็สามารถปีนขึ้นมาสู่ยอดเขาได้
ป่าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ถึงจะมืดมากจนมองไม่เห็นภาพตรงหน้า แต่การเคลื่อนไหวของชายคนนั้นราวกับเขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด เขามาถึงกลางเนินเขาและเริ่มกวาดตามองไปรอบๆ
ประกายสีอำพันอ่อนเลือนรางในดวงตาของชายหนุ่ม เขาหันไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นใบหน้าที่มองออกไปยังที่ไกลแสนไกลก็ยับย่นราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สถานที่ที่เขามองไปนั้นแสงไฟเบาบางกำลังลุกโชน รอบๆ แสงไฟเป็นภาพแปลกประหลาดที่ไม่เข้ากับป่าเงียบสงบ ร่างเปลือยของหญิงสาวสามคนถูกแขวนไว้บนกิ่งไม้ยาวและฝูงชนจำนวนมากที่ล้อมรอบต้นไม้นั่นก็กำลังหยอกเย้าพลางหัวเราะชอบใจ
ชายหนุ่มมองภาพนั้นเงียบๆ พึมพำด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเวทนา
“เจ้าพวกบ้า ไม่รู้จักแยกแยะเวลากับสถานที่เลย”
“นายก็รู้นี่ รออยู่ที่นี่มาตั้งเจ็ดวันแล้วนี่นา ได้เห็นอะไรสนุกๆ แบบนั้นก็ต้องมองข้ามไปบ้าง”
“ที่ฉันรู้สึกถึงเมื่อกี้ก็คือเธอเองสินะ”
“ฮี่ๆ ถูกจับได้เหรอเนี่ย”
เสียงนั้นดังขึ้นกะทันหัน แต่ชายหนุ่มตอบกลับนิ่งๆ และหันไปมอง ตำแหน่งที่เขามองไปมีหญิงสาวซึ่งสวมชุดรัดรูปเน้นเรือนร่างยืนอยู่ ชายหนุ่มส่งสายตาเป็นการถามว่าหล่อนมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ หญิงสาวยักไหล่พลางทำปากยื่น
หล่อนก้าวมายืนข้างชายผู้นั้นโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็นั่งลงกับพื้นและพูดขึ้น
“เฮ้อ นายจะออกเดินทางครั้งต่อไปเมื่อไหร่”
“สองวันหลังจากนี้ ฉันจะออกจากพื้นที่ที่ยังไม่พัฒนา”
“ถ้างั้นในช่วงสองวันนี้นายจะเข้าไปที่ป่าสีนิลหรือเปล่า”
“ไม่กี่วันก่อนฉันได้รับการติดต่อจากกองทัพ ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงหนองน้ำแห่งความตาย”
ชายคนนั้นพยักหน้า หญิงสาวมีสีหน้าที่เหมือนจะจมลงสู่ห้วงความคิด หล่อนพึมพำว่า “งั้นก็ได้เวลาแล้วสินะ” หญิงสาวที่เหลือบตามองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งเอนร่างลงกับพื้นและพูดต่อ
“แต่ว่ามีเจ้าพวกนั้นอยู่นี่นา มันไม่เร็วเกินไปเหรอ เพิ่งผ่านไปสองเดือนเองไม่ใช่เหรอที่ออกเดินทางจากทวีปตะวันออก แต่ถ้าไปถึงหนองน้ำแห่งความตาย…”
“เส้นทางระหว่างทวีปเหนือและทวีปตะวันตกได้รับการบุกเบิกแล้ว แต่ถ้าจะออกมาจากหนองน้ำแห่งความตายต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะเป็นไปได้ที่จะถูกพวกผู้เล่นสังเกตเห็น”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะงั้นพวกเราถึงมาที่นี่ไง”
“ถึงจะทำแบบนั้นไปก็ต่างกันแค่สามสี่วัน อย่างไรก็ตามไม่ต้องกังวลเรื่องกองทัพไประยะหนึ่ง พวกเราแค่ทำงานให้ดีก็พอ”
ชายคนนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ หลังจากจบประโยคนั้น ความเงียบก็มาเยือน
สายตาของชายหนุ่มยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มคนซึ่งกำลังหยอกล้อผู้หญิงพวกนั้น ส่วนหญิงสาวนอนลงกับพื้นและจ้องมองท้องฟ้า ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง หญิงสาวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
“นี่ ฮยอน พวกเราจะทำสำเร็จไหม”
“ถ้าการซุ่มโจมตีสำเร็จ พวกเราก็จะทำสำเร็จ”
“ด้วยจำนวนคนแค่สองพันคนเนี่ยเหรอ ต่อให้เป็นเมืองบุกเบิก… “
“เรายังไม่ได้รวบรวมคนทั้งหมด ผู้คนจะมารวมตัวกันเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่เราจะลงมือ คนที่ตอบรับจากภายในก็มีจำนวนหลายร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราคือนักรบจากสงครามที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ยังไม่พัฒนา ถึงแม้ว่าในเมืองนั้นจะมีคนเป็นสองเท่าหรือสามเท่า เราก็สามารถเอาชนะได้”
น้ำเสียงของชายหนุ่มมีความมั่นใจ หญิงสาวเงียบกับท่าทีนั้นและเริ่มหัวเราะออกมาพลางพูดว่า “นั่นสินะถ้าการซุ่มโจมตีสำเร็จ”
หญิงสาวหัวเราะและลุกขึ้นยืน จากนั้นก็โอบรอบคอของชายหนุ่มด้วยท่าทีคุ้นเคยพลางกระซิบข้างหูของเขา
“ถ้าวันนั้นมาถึงเร็วๆ ก็คงจะดี วันที่จะได้แก้แค้นพวกมัน”
“อดทนอีกหน่อยนะ ไม่ต้องห่วง เชื่อฉันเถอะ”
“หึๆ เชื่อได้ไหมนะ ค่ะ เข้าใจแล้ว! ฉันจะรอเงียบๆ ตามที่หัวหน้าสั่งเลย~”
“…”
หญิงสาวพูดอย่างขบขันพร้อมหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็กระโดดลงไปด้านล่างของเนินเขา ชายผู้นั้นมองหล่อนด้วยแววตาเรียบเฉยพลางฉีกยิ้มออกมา เขาถอนหายใจยาวและเริ่มจับจ้องไปยังสถานที่ที่เฝ้าดูอยู่เมื่อครู่นี้
ค่ำคืนในป่าลึกเป็นไปเช่นนั้น
* * *
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน?”
“ไม่เจอกันนาน…ก็ไม่นี่นะ”
เมื่อเข้ามาในห้องอัญเชิญก็เห็นเซราฟนั่งอยู่บนแท่นบูชาเหมือนทุกที หล่อนลากเสียงสูงในตอนท้าย ดูท่าจะแปลกใจที่ผมมาเยือนด้วยตัวเองถึงสองครั้งติดๆ อันที่จริงผมมักจะมาแบบสามเดือนหนึ่งครั้งแทนที่จะเป็นเดือนละครั้ง ดังนั้นจึงน่าแปลกใจมาก
เซราฟพูดขึ้นหลังจากปรับสีหน้า
“มา…อีกแล้วเหรอคะ”
“อืม มีเรื่องที่อยากรู้น่ะ ว่าแต่ว่าทำไมต้องตกใจขนาดนั้น”
“ข้าตกใจที่ท่านมาหาเองโดยที่ข้าไม่ได้เรียกหาค่ะ”
“ครั้งล่าสุดที่มา ก็ไม่ได้มาหาเพราะถูกเรียกตัวสักหน่อย”
ผมตอบกลับพลางนั่งลงตรงข้ามกับเซราฟ
“ฉันมีคำถามเกี่ยวกับฮวาจอง”
“ค่ะ ถามมาได้เลย ข้าจะตอบตามตรงค่ะ”
“อืม…จะพูดยังไงดีล่ะ อืม สมมติว่ามีผู้เล่นคนหนึ่งโดนคำสาปของแบนชี พลังของฮวาจองสามารถช่วยแก้คำสาปของผู้เล่นคนนั้นได้ไหม”
“ได้สิคะ”
หล่อนตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่คำตอบแค่นั้นมันยังไม่ชัดเจนเท่าไร สิ่งที่ผมต้องการคือคำอธิบายที่ละเอียดกว่านี้ เซราฟเริ่มอธิบายเพิ่มทันทีราวกับอ่านใจผมออก
“คำสาปของแบนชีเป็นคำสาประดับรุนแรงมาก ไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยพลังเวท โชค หรือการต้านทานทางเวทมนตร์ แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบกับฮวาจองได้ ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็เรียกว่ามี ‘ระดับ’ อยู่ค่ะ ขอโทษที่ต้องเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างระดับของฮวาจองกับระดับของคำสาปแบนชีนะคะ”
“ไม่เป็นไร งั้นก็หมายความว่าฮวาจองมีประโยชน์ในการรักษา ไม่ใช่การต่อสู้ใช่ไหม”
“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดนักหรอกค่ะ แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้ฮวาจองเพื่อการรักษาอยู่นะคะ”
“…”
คำพูดเมื่อครู่ของเซราฟเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ จนถึงตอนนี้การใช้งานด้วยวิธีอื่นนอกจากการต่อสู้ยังมีความคลุมเครืออยู่ จะสามารถกำหนดขอบเขตการใช้งานที่แน่นอนในอนาคตไม่ให้คลาดเคลื่อนได้หรือเปล่านะ
“ฮวาจองสามารถใช้ในการต่อสู้หรือการรักษาก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับว่าท่านจะใช้งานมันอย่างไร อาจจะคลุมเครือสักนิดหน่อย หากใช้ในการรักษา มันก็จะชำระล้างได้เล็กน้อย นั่นหมายความว่าการรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น ในกรณีที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนจะทำการรักษาผู้เล่นที่ท่านกล่าวถึงเมื่อครู่ ท่านสามารถลบล้างคำสาปของแบนชีได้แน่นอน แต่อาการที่หลงเหลือจากคำสาปนั้นไม่สามารถรักษาได้ค่ะ”
“…อย่างนั้นเหรอ”
“ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังอีกสักข้อนะคะ หากผู้เล่นถูกทำให้จิตใจแปดเปื้อน ข้าสามารถชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนนั้นได้ แต่อาการทางจิตที่เกิดขึ้นจากสิ่งแปดเปื้อน หรืออาการทางจิตที่เกิดขึ้นเองจะไม่สามารถรักษาได้ค่ะ”
“อะไรเนี่ย ข้อจำกัดเยอะกว่าที่คิดแฮะ ไม่สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งได้งั้นเหรอ”
จู่ๆ ผมก็นึกถึงตอนที่ใช้พลังของฮวาจองกับมาร์การิต้า ในตอนนั้นผมเผาความทรงจำไม่ดีทิ้งไป ผมหวังว่าจะมีความเป็นไปได้เมื่อเห็นท่าทีของราชินีแห่งเอลฟ์ แต่เซราฟที่อยู่ตรงหน้ากำลังปฏิเสธความเป็นไปได้ทั้งหมด
‘ถ้างั้นตอนนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ งั้นเหรอ”
เมื่อผมกัดริมฝีปากและจมลงสู่ห้วงความคิดก็ได้ยินเสียงของเซราฟดังขึ้น
“อีกชื่อของฮวาจองก็คือ เปลวไฟเผาไหม้นิรันดร์ มันสามารถเผาได้ทุกอย่าง แต่สิ่งนั้นก็แค่ถูกเผาไปตามที่บอก มันมุ่งเน้นไปที่การทำลายล้าง การรักษาเป็นเพียงปัจจัยเพิ่มเติม และโปรดจำไว้ว่าฮวาจองที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนมีอยู่ในระดับ S เท่านั้น”
“สรุปก็คือช่วยชีวิตได้ แต่ไม่รับประกันเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นสินะ ชิ”
หมายความว่าการรักษาที่เสร็จสมบูรณ์นั้น มีแค่การใช้อีลิกเซอร์เท่านั้น ผมจิ๊ปากพลางหยิบอีลิกเซอร์ที่เก็บไว้ในอกเสื้อออกมา เซราฟเอียงคอและพูดขึ้น
“อีลิกเซอร์เหรอคะ หรือว่าผู้เล่นคิมซูฮยอนคิดจะใช้อีลิกเซอร์งั้นเหรอคะ”
“ฉันกำลังคิดอยู่”
“ข้าไม่รู้ว่าผู้เล่นที่ผู้เล่นคิมซูฮยอนจะช่วยเหลือมีความสำคัญขนาดไหน แต่ถ้าไม่มั่นใจ ข้าอยากแนะนำให้หยุดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ตอนนี้ก่อน อาการที่ตามมามีหลายประเภท ยิ่งเวลาผ่านไปอาการอาจแย่ลง ทรงตัว หรือดีขึ้นก็ได้ค่ะ อีลิกเซอร์เป็นโพชั่นโบราณที่เหมือนกับชีวิตหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าผู้เล่นคนนั้นเป็นใคร แต่ข้าคิดว่าการใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงค่ะ”
“อือ ความจริงแล้วฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่ถ้าสามารถช่วยชีวิตได้ก็คงจะสบายใจ คงต้องดูไปก่อน”
เมื่อผมพยักหน้า ดวงตาของเซราฟก็ฉายแววที่ยากจะเข้าใจ
คำพูดของเซราฟชัดเจนมาก สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือชีวิต ดังนั้นต้องแก้ปัญหานี้เสียก่อน แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดแบบนั้น แต่เธอกลับบอกว่าอย่าใช้อีลิกเซอร์อย่างวู่วามและสิ้นเปลือง
อย่างไรก็ตามการพูดคุยกับเซราฟทำให้สามารถจัดการกับความรู้สึกที่ซับซ้อนวุ่นวายได้ในระดับหนึ่ง ผมที่ได้รับข้อมูลทั้งหมดแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นและพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ฉันเข้าใจแล้ว งั้นไปก่อนนะ ขอบคุณมาก”
“อะ เอ๊ะ”
“หือ”
“อ้า ไม่มีอะไรค่ะ ไม่เป็นไร การช่วยเหลือผู้เล่นเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยอยู่แล้วค่ะ”
‘ทำไมจู่ๆ ก็เป็นแบบนี้ล่ะ’
ท่าทีของเซราฟแปลกไปเล็กน้อย แต่ผมก็ตัดสินใจหันกลับมา
“ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
“…?”
และในขณะที่ผมกำลังจะลงไปในพอร์ทัล เสียงสุภาพก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ผมจึงหยุดเดินโดยอัตโนมัติ
“คือว่า…คราวหน้าจะมาหาข้าอีกได้ไหมคะ”
“…”
แล้วผมลงไปในพอร์ทัลทันที
เมื่อการพบปะกับเซราฟจบลง ผมก็ออกมาจากแท่นบูชา หลังจากไปที่จัตุรัสเพื่อดูกระดานข่าวสาธารณะ จึงได้กลับไปที่แคลนเฮาส์
รุ่งสางผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัวและฟ้าสว่างยามเช้าก็มาเยือน อิมฮันนาทำตามคำสั่งของผมได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเข้าไปในห้องประชุมเล็กชั้นสามของอาคารส่วนกลางก็เห็นสมาชิกเผ่านั่งรออยู่ แน่นอนว่ามีบางคนที่ศีรษะทิ่มลงบนโต๊ะทั้งใบหน้าสะลึมสะลือ
“ไปไหนแต่เช้ามืดเลยคะ”
“มีธุระที่แท่นบูชากับในจัตุรัสครับ”
หลังจากนั่งลงแล้วผมก็มองอันฮยอนเขย่าไหล่เพื่อปลุกอันซลและอียูจองพลางตอบคำถามของโกยอนจู ตอนนั้นเองผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปมองหญิงสาว โกยอนจูกำลังจับจ้องมาที่ผมด้วยท่าทีเหมือนเคย
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ”
“เรียบร้อยดีครับ”
“ฉันเป็นห่วงคุณอยู่ แต่ก็ดีแล้วค่ะ”
คำพูดสุดท้ายของโกยอนจูแฝงไปด้วยความหมายซึ่งมีแค่ผมเท่านั้นที่เข้าใจ โกยอนจูยิ้มบางๆ คงอ่านความรู้สึกที่ผมมีต่อหล่อนได้ ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ผมจะแสดงท่าทีเย็นชาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อหล่อนยิ้มให้ มุมหนึ่งในหัวใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แม้จะไม่พูดอะไร ฉันก็เข้าใจดี ฉันไม่เป็นไร มันเหมือนว่าหล่อนกำลังพูดแบบนั้น
เห็นท่าทีแบบนั้นผมก็โล่งใจ แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกันที่เห็นดวงตาของหล่อนบวมช้ำเล็กน้อย
‘ต้องขอโทษสินะ แต่เอาไว้มีโอกาสก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ต้องมีสมาธิก่อน’
โกยอนจูเองก็คงต้องการแบบนั้น ผมรู้สึกขอบคุณความเอาใจใส่ของหญิงสาวพลางถอนหายใจสั้นๆ หลังจากมองสมาชิกเผ่าทุกคนแล้วผมก็พูดเสียงดัง
“ทุกคนดูยังง่วงอยู่เลยนะครับ ถึงจะบอกไว้ว่าไม่ต้องปลุกขึ้นมา แต่ก็ขอบคุณที่มารวมตัวกันเร็วกว่าปกตินะครับ”
ฮี้…
“เหตุผลที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ก็เพราะมีเรื่องด่วนจะแจ้งให้ทราบ ผมจะสรุปสั้นๆ วันนี้ผมและสมาชิกเผ่าบางคนจะไม่อยู่แคลนเฮาส์ประมาณสองสามวันนะครับ”
“เอ๊ะ! ทำไมล่ะคะ”