ตอนที่ 454 ความจริง

วาสนาบันดาลรัก

“หยางกงกง ฝ่าบาททรงว่าอย่างไรหรือ”

 

 

หยางกงกงอ้าปากขึ้นสุดท้ายจึงยิ้มแห้งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท…”

 

 

“ฝ่าบาททรงว่าอย่างไร หยางกงกงก็พูดตามนั้นเถิด” เจินจิ้งรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก

 

 

หยางกงกงผู้นี้เป็นคนสนิทของฝ่าบาทจริงๆ หรือ ตาช่างไร้แววจริงๆ!

 

 

อาจพูดได้ว่าเจินจิ้งในตอนนี้ที่ได้รับความเคารพจากบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลาย เริ่มคิดว่าตนเป็นพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานอย่างมากจากเฉินชิ่งตี้

 

 

หากบอกว่าการตัดสินใจเลือกเฉินชิ่งตี้เมื่อคราแรกเริ่มนั้นเป็นการเดิมพัน เช่นนั้นตอนนี้ความทุกข์ที่แท้จริงมันก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้นางเป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุต้องอาศัยจมูกของแม่ใหญ่หายใจ หลังจากนางเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องก็ยังถูกกีดกันออกจากกลุ่มบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลาย แต่ยามนี้ฮูหยินจวนโหว ฮูหยินจวนปั๋ว มีผู้ใดกล้าชักสีหน้าให้นางหรือไม่

 

 

มิต้องพูดถึงผู้อื่นเลย คุณหนูใหญ่เจินหนิงผู้โดดเด่นที่สุดในจวนเจี้ยนอานปั๋วผู้นั้น ครั้งก่อนที่เข้ามาในวังยังพูดจากับนางอย่างเกรงอกเกรงใจ

 

 

เมื่อเจินจิ้งระลึกความหลังจบก็ถลึงตาใส่หยางกงกงคราหนึ่ง

 

 

บุรุษที่ขาดอวัยวะบางอย่างไป มักมีความคิดละเอียดอ่อนไหวมากกว่าปกติ หยางกงกงรับใช้เฉินชิ่งตี้มาตั้งแต่เขายังเป็นเพียงองค์ชาย ตอนนี้จึงกลายเป็นคนโปรดที่ใจเฉินชิ่งตี้ไปแล้ว เมื่อเห็นถึงความคิดและท่าทีของเจินจิ้งจึงไม่พอใจขึ้นมาเช่นกัน เขากระแอมไอเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสว่า…เฮ้อ หม่อมฉันไม่กล้าพูดจริงๆ!”

 

 

“หยางกงกงคิดจะเล่นแง่กับข้าหรือ” เจินจิ้งเอ่ยถามหน้าเขม็ง

 

 

นางเห็นแล้วว่าเมื่อครู่ตอนที่จ้าวเฟยชุ่ยมา ขันทีผู้นี้ก็เข้าไปต้อนรับทันทีโดยไม่ต้องรอผู้ใดมาแจ้ง

 

 

ฮึ เฒ่าหนังเหนียว สุนัขตาต่ำ ต่อไปก็ค่อยดูแล้วกัน!

 

 

“ฝ่าบาททรงตรัสว่า…ไสหัวไปเสีย…” หยางกงกงพูดแล้วก็รีบตบปากตนทันที “โอ๊ะ หม่อมฉันสมควรถูกตบจริงๆ”

 

 

เขาพูดพลางใช้มองจ้องเจินจิ้ง เจินจิ้งรู้สึกดั่งว่ามือที่ตบเขาเบาๆ อยู่นั้นกำลังฟาดลงมาที่ใบหน้านางอย่างแรง นางเจ็บแสบไปหมดจึงเดินหนีไปอย่างมิอาจทนอยู่ต่อไปได้

 

 

หยางกงกงลูบคางที่เกลี้ยงเกลาของคนแล้วคิดในใจว่า หากเทียบกุ้ยเฟยผู้นี้กับไท่โฮ่ว นางยังควบคุมอารมณ์ตนไม่ได้ดีสักเท่าใด เมื่อครู่ฝ่าบาทตะโกนไล่คนเสียงดังยิ่ง แม้แต่เขายังได้ยินว่าฝ่าบอกให้หวงโฮ่วไสหัวไป แต่สีหน้าของหวงโฮ่วกลับดูเป็นธรรมชาติกว่ากุ้ยเฟยมากนัก

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ หยางกงกงนวดคอตนแล้วมองทอดสายตาออกไป จึงเห็นขันทีพาเจินเมี่ยวมาแล้ว

 

 

เขารีบเข้าไปต้อนรับทันที “เซี่ยนจู่ ท่านมาแล้ว ฝ่าบาทกำลังรออยู่ขอรับ”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป

 

 

เอ๊ะ เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่อยู่เล่า

 

 

นางหันไปมองหยางกงกงด้วยความสงสัย หยางกงกงทำปากบุ้ยใบ้ให้นาง

 

 

เจินเมี่ยวจึงเห็นเฉินชิ่งตี้นั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องมุมหนึ่ง

 

 

“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเจินเมี่ยว เฉินชิ่งตี้ก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินมาหานาง สภาพอเนจอนาถของเขาทำให้เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง

 

 

“พวกเจ้าออกไปให้หมด!” เฉินชิ่งตี้กวาดตามองไปโดยรอบแล้วเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

 

 

นางกำนัลและขันทีรวมถึงหยางกงกงต่างก้มหน้าเดินออกไปจากห้องทันที

 

 

เมื่อภายในตำหนักเหลือเพียงพวกเขาสองคน ชั่วขณะนั้นเจินเมี่ยวกลับไม่รู้จะพูดอันใดดี

 

 

เฉินชิ่งตี้เดินเข้ามาหานาง และหยุดอยู่ตรงหน้าเจินเมี่ยวห่างกันแค่เพียงครึ่งจั้ง เขามองนางอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เจียหมิง เมื่อวาน…เมื่อวานเจ้าเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนไท่เฟยนานค่อนวันเลยใช่หรือไม่”

 

 

“เพคะ” เจินเมี่ยวคิดในใจว่า เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ แค่ตรวจบันทึกการเข้าออกวังก็จะรู้แล้ว

 

 

“เช่นนั้น เจ้ากับไท่เฟยทำอันใดกันบ้าง” ตอนที่เขาถามคำนี้ออกมา สายตานั้นจ้องเจินเมี่ยวนิ่ง สามารถรับรู้ได้ว่าเขามีอารมณ์ตึงเครียดมากเพียงใดได้จากบ่าที่เกร็งแน่นนั้น

 

 

ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร

 

 

เจินเมี่ยวรู้แปลกๆ จึงเงียบอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เอ่ยว่า “มิได้ทำอันใดเป็นพิเศษ แค่พูดคุยเป็นเพื่อนไท่เฟยและทำขนมหลายอย่างกินด้วยกัน แล้วก็…”

 

 

นางหยุดไปครู่หนึ่งด้วยไม่แน่ใจว่าควรพูดเรื่องภาพวาดนั้นดีหรือไม่

 

 

“แล้วก็อะไร…” เฉินชิ่งตี้คว้าข้อมือเจินเมี่ยวไว้ด้วยความร้อนใจ

 

 

เจินเมี่ยวมองไปยังมือตนแล้วอึ้งไป

 

 

นางยังมิทันได้เขินอาย เฉินชิ่งตี้ก็เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาเสียก่อน เขาขยับเข้าไปใกล้อีกทั้งยังบีบที่ข้อมือนางโดยแรง “พูดสิ!”

 

 

เจินเมี่ยวมึนงงไปหมดกับการกระทำของเฉินชิ่งตี้ เมื่อตื่นจากภวังค์ก็ได้กลิ่นของบุรุษเพศลอยวนอยู่รอบตัวนางคล้ายสัตว์ป่าที่พยายามใช้กำลังรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว เมื่อโทสะเข้าครอบงำนางก็ลืมไปจนสิ้นว่าคนผู้นี้คือจักรพรรดิ เจินเมี่ยวกัดฟันเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ปล่อย!”

 

 

พูดพลางกระทืบลงไปบนหลังเท้าของเฉินชิ่งตี้โดยแรง

 

 

เฉินชิ่งตี้ร้องหึขึ้นคราหนึ่ง แต่ที่เหนือความคาดหมายคือเขายังคงไม่ปล่อย ทั้งยังถลึงจ้องหน้าเจินเมี่ยวเขม็ง

 

 

ในหัวของเขามีภาพต่างๆ วิ่งวันเข้ามาเต็มไปหมด

 

 

ภาพไท่เฟยใช้ไม้เท้าตีเขาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “กลับไปเสีย อย่าทำให้ข้าต้องเกลียดเจ้าเลย!”

 

 

ท่าทางเช่นนั้น สายตาเช่นนั้น ค่อยๆ ซ้อนทับกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้

 

 

เฉินชิ่งตี้พลันเผยรอยยิ้มออกมา “ไท่เฟย ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านยังไม่ตาย เหตุใดถึงได้ใจร้ายกับข้านัก ท่านไม่รู้หรือว่าข้าเสียใจเพียงใด…”

 

 

เจินเมี่ยวพลันมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย นางคิดในใจว่าที่แท้เขาก็เสียใจเกินไปเพราะไท่เฟยไม่อยู่แล้วนี่เอง มิน่าเล่าถึงได้ทำตัวพิลึกยิ่ง

 

 

นางพยายามยิ้มปลอบใจเขา “ฝ่าบาท…” นางเอ่ยยังมิทันจบก็ถูกเฉินชิ่งตี้ดึงเข้าไปกอดไว้

 

 

นางดึงปิ่นปักผมที่มีอยู่เดียวออกมาหวังจะแทงเขาตามสัญชาตญาณการปกป้องตนแต่กลับได้ยินเขาพูดขึ้นข้างหูว่า “ไท่เฟย ข้าจะไม่ทำอันใดส่งเดชอีก ท่านอภัยให้ข้าได้หรือไม่ ข้าทำผิดเพราะอดกลั้นมานานเกินไป…”

 

 

ปิ่นในมือเจินเมี่ยวร่วงตกพื้นในทันใด เสียงของมันกังวานใสยิ่ง แต่นางกลับแข็งทื่อไปทั้งร่างคล้ายถูกฟ้าผ่าลงมาใส่นับครั้งไม่ถ้วน

 

 

แต่เพราะเสียงของปิ่นนี้เองที่ทำให้เฉินชิ่งตี้มีสติคืนมา เขาปล่อยมือจากเจินเมี่ยว แล้วถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับจ้องมองเจินเมี่ยวด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

 

 

เจินเมี่ยวที่ตะลึงลานอยู่นั้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน ก่อนเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “เมื่อครู่…”

 

 

พูดถึงตรงนี้นางก็รีบปิดปากตนไว้มิกล้าถามต่อ แล้วก้มหน้างุดพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาท สายมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลา!”

 

 

นางก้มหน้าเดินออกไปทันทีแต่กลับได้ยินเสียงอันเย็นเยียบดังขึ้นว่า “หยุด!”

 

 

เจินเมี่ยวชะงักครู่หนึ่ง แล้วเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมเพื่อมุ่งตรงไปที่ประตู

 

 

เฉินชิ่งตี้เดินพุ่งเข้าไปขวางนางไว้ด้วยโทสะ

 

 

“จยาหมิง เราให้เจ้าไปแล้วหรือ”

 

 

เมื่อเห็นเจินเมี่ยวก้มหน้าไม่พูด ทั้งตัวสั่นน้อยๆ ก็รู้สึกสับสนขึ้นมา แต่ยังคงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เงยหน้าขึ้น”

 

 

เจินเมี่ยวก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับ

 

 

“เงยหน้าขึ้น แต่ก่อนเจ้าเก่งกล้ายิ่ง ตอนนี้เราเป็นจักรพรรดิแล้ว แต่แค่ความกล้าที่จะพูดกับเราเจ้าก็ไม่มีแล้วหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น น้ำตานางไหลนองหน้าอยู่นานแล้ว นางเอ่ยประชดประชันว่า “ใช่ พระองค์เป็นจักรพรรดิแล้ว”

 

 

ประโยคหลังแม้นางไม่พูด เฉินชิ่งตี้กลับเข้าใจความหมายของนางดี

 

 

หากมิใช่เพราะเป็นจักรพรรดิแล้ว แล้วจะบีบบังคับให้ไท่เฟยตายได้อย่างไรเล่า!

 

 

ถึงตอนนี้แล้วต่อให้เจินเมี่ยวไม่รู้เรื่องใดก็ยังเข้าใจว่าเหตุใดไท่เฟยถึงเลือกที่จะจบชีวิตตน

 

 

นางคล้ายตกลงไปในธารน้ำแข็ง นางหนาวไปกระทั่งถึงเส้นผม นางรู้สึกเพียงว่าความจริงเป็นเรื่องเหลวไหลและน่าสะอิดสะเอียน ทั้งยังมีความกดดันและความกลัวที่บอกไม่ถูกแฝงอยู่ด้วย

 

 

เจินเมี่ยวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ แต่ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับขาโต๊ะ หยกที่ห้อยอยู่ตรงกระโปรงจึงส่งเสียงกังวานใสขึ้น

 

 

เฉินชิ่งตี้มองตามเสียงนั้นทันที