บทที่ 351 แผนการลับ

เย่ชิงเฉิงเดินจากไปหาหานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิง และบอกความต้องการของสันเขาทรราชอย่างชัดเจน จากนั้นนางจึงถามพวกเขา “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกท่านคนใดเต็มใจที่จะสละสิทธิ์บ้าง ข้าให้สัญญาว่าถ้าพวกท่านคนไหนยอมสละสิทธิ์ ท่านจะมีสิทธิ์เลือกของอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง กระดูกศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิจากการแลกเปลี่ยนกับสันเขาทรราช”

เนื่องจากนางไม่มีสิทธิ์เหลือที่จะขายอีก มันจึงขึ้นอยู่กับหานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิง ที่จะตัดสินใจว่าพวกเขาเต็มใจที่จะยอมสละสิทธิ์หรือไม่

ส่วนปิงยู่หลานและสีอี้เฉิงนั้น นางคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะยอมสละสิทธิ์น่าจะแทบเป็นศูนย์

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฉิง หานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิงต่างก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก

เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นกระดูกศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ มูลค่าของพวกมันนั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่จะส่ายหัวปฏิเสธในที่สุด

พวกเขาต้องการที่จะเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเพื่อหาโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของตัวเอง

แม้ว่ากระดูกศักดิ์สิทธิ์และอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิจะมีค่า แต่ความหวังที่พวกเขาหวังว่าตัวเองจะแข็งแกร่งจนสามารถเรียกลมและฝนได้นั้นย่อมสำคัญกว่า

และที่สำคัญ สำหรับกระดูกศักดิ์สิทธิ์และอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ แม้ว่าพวกเขาจะยอมตกลงแลกเปลี่ยนให้ได้พวกมันมา ท้ายที่สุดแล้วพวกมันก็คงไม่ตกอยู่ในมือของพวกเขาอยู่ดี หลังจากคิดได้เช่นนี้พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะบอกปฏิเสธออกไป

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนปฏิเสธ เย่ชิงเฉิงจึงทำได้เพียงแค่ปฏิเสธเทียนเจียน ซึ่งมันทำให้เทียนเจียนจากไปด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างชัดเจน

หลังจากเทียนเจียนจากไป เย่ชิงเฉิงจึงได้เดินไปหาเสี่ยวเยว่เฟิง เพื่อขอให้นางแจ้งหนิงเฟิงตามที่หลิงตู้ฉิงได้สั่งนางมา

ทางด้านเทียนเจียน ขณะนี้เขาได้กลับมาถึงเรือนเช่าของสันเขาทรราชของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

“นี่ขนาดข้ายอมจ่ายมากขนาดนี้ พวกมันยังไม่ยอมขายให้เราอีกงั้นเหรอ?” ชายวัยกลางคนผู้มีนามว่า เทียนหยูเฮง แห่งสันเขาทรราช ขมวดคิ้วขณะที่เขาพูด

“ท่านลุง เราจะทำยังไงต่อดี?” เทียนเก๋อถามขึ้น

เทียนหยูเฮงขมวดคิ้ว “ถ้างั้นเราคงต้องลองไปคุยกับตำหนักเทพเหมันต์ดู ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะสละสิทธิ์หรือไม่ เอ๊ะจริงสิ! เจ้าตามหาไอ้หนุ่มที่ชื่อ ตวนเสี่ยวอี่ เจอแล้วรึยัง? คนผู้นั้นก็เป็นอีกคนที่ได้รับสิทธิ์ไปเช่นกัน จงตามหาเขาให้เจอและมอบข้อเสนอให้ตำแหน่งศิษย์สายหลักของสันเขาทรราชเพื่อแลกกับสิทธิ์ที่อยู่ในมือของเขา”

เทียนเจียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ท่านลุง หลังจากจบงานประมูลเด็กคนนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเลยทีเดียว ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาไปไหน”

“ถ้างั้นก็ติดต่อไปหาตำหนักเทพเหมันต์ก่อน และในเวลาเดียวกันก็พยายามหากุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจากที่อื่นด้วย แต่ถ้าไม่พบ…” เมื่อพูดจบสีหน้าของเทียนหยูเฮงเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที “ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลาพวกเราจะไปดักที่ทางเข้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ไม่ว่ายังไงข้าจะต้องทำให้เจ้าเข้าไปข้างในนั้นให้ได้!”

อันที่จริง หลาย ๆ สำนักใหญ่ก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกับสันเขาทรราช ยกตัวอย่างเช่น ยอดเขาหยกจักรพรรดิ หรือ ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างก็พากันมาขอเข้าพบกับเย่ชิงเฉิงเพื่อขอซื้อสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเช่น

ส่วนทางด้านของเย่ชิงเฉิง นางก็ได้ใช้ชื่อของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิเสธพวกเขาไปอย่างละมุนละม่อม

แต่ในระหว่างที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างกำลังดิ้นรนเพื่อสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ มันกลับมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวางแผนการบางอย่างอยู่ในมุมมืดของเมืองหยูหลัน

“ตาเฒ่าหนิว สรุปแล้วเจ้าจะร่วมมือกับอารามนวดาราของข้าไหม?” ชายชราคนหนึ่งถามอีกคนว่า “แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าให้รู้ไว้ว่าหากแผนการมันสำเร็จขึ้นมา รางวัลที่เจ้าจะได้นั้นมันยิ่งกว่าได้ขึ้นไปอยู่บนแดนสวรรค์ซะอีก!”

“ตาเฒ่าเก๋อ เจ้าก็เอาแต่พูดตลอดว่ารางวัลที่จะได้รับมันดีอย่างงู้นดีอย่างงี้ แต่เจ้ากลับไม่เคยบอกข้าเลยว่ารางวัลนั้นมันคืออะไรกันแน่? แล้วแบบนี้เจ้าจะให้ข้าร่วมมือกับเจ้าได้ยังไง? ถึงแม้ว่าข้ากับเจ้าจะรู้จักกันมาหลายร้อยปี ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าร่วมมือกับเจ้า เจ้าจะต้องบอกกับข้ามาก่อนว่าเรื่องราวเบื้องลึกของเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่?” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

เฒ่าเก๋อจ้องไปที่เฒ่าหนิวเป็นเวลานาน จากนั้นจึงยอมปริปากพูดขึ้น “ฮ่าวตง ข้าเคยโกหกเจ้ามาก่อนเหรอไง?”

หนิวฮ่าวตงพูดด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว “เจ้าไม่เคยโกหกข้าเรื่องใหญ่ ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ล่ะก็ เจ้าก็เคยโกหกข้าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน!”

“แต่คราวนี้ เรื่องที่ข้าจะให้เจ้าร่วมมือด้วยมันคือเรื่องใหญ่!” ชายชราเก๋อพยักหน้าอย่างจริงจัง

หนิวฮ่าวตงพูดด้วยสีหน้าลังเล “แต่นี่มันเท่ากับว่าเรากำลังจะเป็นศัตรูกับเมืองหยูหลันทั้งเมือง! และเมืองหยูหลันก็ถือได้ว่าเป็นดินแดนของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ ซึ่งมันก็เท่ากับว่าเราจะกลายเป็นศัตรูกับหอการค้าเชื่อมสวรรค์ด้วยเช่นกัน!”

“นี่เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าหอการค้าเชื่อมสวรรค์แข็งแกร่งแค่ไหน? ดังนั้นข้ายังคงยืนยันในคำพูดของข้า เจ้าต้องบอกเรื่องราวเบื้องลึกของเรื่องนี้มาก่อน จากนั้นข้าถึงจะตัดสินใจได้ว่าข้าจะร่วมมือกับเจ้าได้หรือไม่ได้กันแน่ และเจ้าจงมั่นใจ ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าจะเอ่ยคำสาบานต่อสวรรค์กับเจ้าตอนนี้ให้เจ้าดูเลยก็ได้!”

หลังจากที่เขาพูดจบ หนิวฮ่าวตงก็สาบานต่อสวรรค์ทันทีและมองไปที่เก๋อหงเฟยอย่างจริงใจ

เมื่อเห็นว่าหนิวฮ่าวตงได้สาบานต่อสวรรค์เรียบร้อย เก๋อหงเฟยก็ถอนหายใจพลางสร้างกำแพงวิญญาณปิดกั้นการมองเห็นและได้ยินจากใครก็ตามที่อาจจะเผลอมาได้ยินความลับนี้เข้า จากนั้นเขาก็พูดกับหนิวฮ่าวตงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ภายใต้เมืองหยูหลันนี้มีผู้เชี่ยวชาญอาวุโสที่ถูกกักขังอยู่มานานกว่าหมื่นปี ตราบเท่าที่เราสามารถทำลายผนึกการป้องกันได้ ผู้อาวุโสท่านนี้ก็จะสามารถหลบหนีได้”

“ข้าได้เคยสื่อสารกับผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว และเขาสัญญาว่าถ้าเราสามารถช่วยเขาได้เขาจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาของเขาให้กับเรา เจ้าลองคิดดู การที่ผู้อาวุโสท่านนี้ถูกผนึกมานานกว่าหมื่นปีแต่เขายังมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เขาต้องเป็นตัวตนที่ท้าทายสวรรค์ได้แน่นอนเจ้าว่าจริงไหม?”

“ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากอารมนวดาราของข้าแล้ว สำนักอักขระวิญญาณก็เข้าร่วมกับพวกข้าแล้วเช่นกัน และมันยังมีสำนักอื่น ๆ อีก 2-3 สำนักที่มาจากอาณาเขตนภาที่เข้าร่วมด้วยอีกต่างหาก”

“สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือทำลายผนึกป้องกันและปลดปล่อยผู้อาวุโสท่านนี้ ส่วนเรื่องของหอการค้าเชื่อมสวรรค์อะไรนั่น หากผู้อาวุโสท่านนี้ถูกปลดปล่อยออกจากการกักขังแล้ว เราจะต้องไปกังวลอะไรกับพวกเขาอีกจริงไหม?”

เมื่อหนิวฮ่าวตงได้ยินคำพูดของเก๋อหงเฟย ดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวและเขาก็ค่อย ๆ พยักหน้า “อ่า มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง! เอาล่ะข้าตกลงร่วมด้วยกันกับเจ้า! ว่าแต่ผนึกป้องกันที่แข็งแกร่งถึงขนาดผู้อาวุโสยังไม่สามารถทำลายมันได้ แล้วเราพวกเราจะทำลายมันได้ยังไง?”

เก๋อหงเฟยยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้อาวุโสท่านนั้นได้บอกกับข้าว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะช่วยเราโจมตีมันจากภายในพร้อม ๆ กับให้เราโจมตีจากภายนอกเข้าไปพร้อมกัน ถึงแม้ว่าผนึกภายในจะแข็งแกร่งมาก แต่ผนึกที่อยู่ด้านนอกนั้นความแข็งแกร่งของมันอยู่แค่ในระดับสวรรค์เลิศล้ำ”

“ซึ่งต่อให้พวกเราจะไม่มีใครที่มีระดับการบ่มเพาะถึงระดับสวรรค์เลิศล้ำ แต่เราก็ยังมีคนของสำนักอักขระวิญญาณที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ระดับนภาคราม ซึ่งระดับการบ่มเพาะของเขาก็เพียงแค่ต่างจากความแข็งแกร่งผนึกเพียงระดับเดียวเท่านั้น แถมเขายังมีความเชี่ยวชาญในการทำลายผนึกป้องกันต่าง ๆ เป็นพิเศษอีกต่างหาก และที่สำคัญยังมีพวกเราอีก 2 คนที่อยู่ในระดับนภาคราม ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีก 3 คน และผู้เชี่ยวชาญอีกมากมายจากสำนักต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเรารวมพลังกันทั้งหมดการทำลายผนึกที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสวรรค์เลิศล้ำมันก็คงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป”

เมื่อได้ยินคำพูดของเก๋อหงเฟย หนิวฮ่าวตงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขาจึงถามขึ้นทันที “ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าก็วางใจ เอาล่ะแล้วเมื่อไหร่เราถึงจะลงมือ?”

เก๋อหงเฟยหัวเราะ “ตามแผนของเราคือเมื่อไหร่ที่กล้วยไม้หยกในรอบนี้เบ่งบาน มันคือเวลาที่ผู้อาวุโสท่านนั้นจะลงมือ ซึ่งเราเองก็จะใช้ช่วงเวลาที่เหล่าผู้คนเอาแต่สนใจกล้วยไม้หยกทำลายผนึกป้องกันจากภายนอกเข้าไป”

“เอาล่ะ งั้นก็เอาตามนี้!” หนิวฮ่าวตงยิ้มแฉ่งและพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะรีบไปเตรียมคนของข้าไว้ให้พร้อม เมื่อถึงเวลาเราจะลงมือด้วยกัน”

“ดี! เราต้องรีบแล้ว เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้นก่อนที่กล้วยไม้หยกจะเบ่งบาน” เก๋อหงเฟยหัวเราะ

เมื่อพูดจบ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็แยกจากกันไปคนละทิศคนละทาง เพื่อไปเตรียมการทางฝั่งของตัวเอง ซึ่งพวกเขานั้นไม่รู้เลยว่าตลอดทั้งช่วงเวลาที่พวกเขาคุยกัน มันกลับมีเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณราชันส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อรับฟังข้อมูลทั้งหมดที่พวกเขาปรึกษากัน