ตอนที่ 175-1 สงครามครั้งนี้

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เมืองชายแดนเริ่มหนาวขึ้นแล้ว คนเฒ่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ต่างก็บอกว่านี่คือลางที่จะเกิดพายุหิมะ ศึกใหญ่นั้นก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ทั่วทั้งเมืองชายแดนวุ่นวายมากเป็นพิเศษ เร่งรีบสำรองฟืน สัตว์ที่ล่ามารวมถึงเกลือและวัตถุดิบต่างๆ ซ่อมแซมกำแพงเมืองที่ผุพัง เพิ่มความสูงเพิ่มความหนา ทำให้แข็งแรงมากขึ้น ทหารชายแดนเองก็เร่งฝึกฝนความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม 

 

 

องค์ชายใหญ่ซีเหลียงได้อำนาจทหารกลับมาอย่างสมปรารถนา ภายใต้การเร่งรัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของประมุขซีเหลียงในที่สุดเขาก็หายดี บัญชากองทัพใหญ่ลงไปทางตะวันออก 

 

 

องค์ชายใหญ่ซีเหลียงมีความรู้ความสามารถกว่าน้องรองของเขามาก ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันได้สามวันแล้ว ซีเหลียงปรับเปลี่ยนการต่อสู้ที่รุนแรงฉับพลันอย่างเมื่อก่อน เป็นการโจมตีทุกวันวันละสองถึงสามชั่วยามเช่นนั้น เวลาที่เหลือก็ปิดล้อมไม่โจมตี ท่าทางคล้ายมีความอดทนอย่างยิ่ง 

 

 

“ซีเหลียงต้องการจะปิดล้อมพวกเราให้ตาย” ฟังต้าฉุยไม่คุ้นชินกับยุทธศาสตร์การรบแบบใหม่ของซีเหลียงเป็นอย่างยิ่ง ยังสู้ไม่ทันสะใจ กองทัพใหญ่ซีเหลียงก็ถอยทัพแล้ว เขารู้สึกอัดอั้นอย่างถึงที่สุด 

 

 

“ข้าน้อยก็คิดเหมือนกัน” หวังต้าชวนอ่ยปากเห็นด้วย “สุนัขซีเหลียงหน้าเนื้อใจเสือจริงๆ จะสู้ก็สู้กันให้เต็มที่ ยุแหย่แล้วหนีไปเช่นนี้จะนับว่าเป็นวีรบุรุษลูกผู้ชายได้อย่างไร” เขาเป็นทหารตัวจริง สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการต่อสู้อย่างถึงอกถึงใจ 

 

 

“เชียนเกอเอ๋อร์ว่าอย่างไร” ท่านเสิ่นโหวฟังฟังต้าฉุยและหวังต้าชวนพูดจบแล้ว ก็ถามหลานชายคนโตของตนทันที 

 

 

เสิ่นเชียนนิ่วหน้า ลุกขึ้นยืนกล่าวอย่างถ่อมตัว “หลานเองก็เห็นด้วยกันความคิดของแม่ทัพทั้งสอง กองทัพซีเหลียงล้อมเมืองตัดเส้นทางการติดต่อของพวกเรากับข้างนอก เมื่อเสบียงในเมืองหมดแล้ว พวกเขาโจมตีเมืองอีกครั้งก็จะได้ผลประโยชน์โดยเสียแรงแต่น้อย ซีเหลียงน่าจะมีเจตนานี้” 

 

 

คนหลายคนฟังแล้วก็รู้สึกสมเหตุสมผล พากันพยักหน้า 

 

 

ท่านเสิ่นโหวยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ส่งสายตาไปหาเสิ่นเวย “เจ้าสี่คิดอย่างไร” 

 

 

เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าคิดว่าแผนการขององค์ชายใหญ่ซีเหลียงผู้นั้นไม่ใช่แค่เรียบง่ายเช่นนี้ องค์ชายแห่งแว่นแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีสายลับได้อย่างไร เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเมืองชายแดนของเราไม่ขาดแคลนเสบียง เขารู้ แต่ก็ยังปิดล้อมไม่โจมตี ข้าคิดว่าเขากำลังทำสงครามบั่นทอนกำลัง อย่างไรเสียกำลังพลเมืองชายแดนของพวกเราก็เทียบซีเหลียงไม่ได้” 

 

 

บั่นทอนกำลังทหารชายแดนทีละส่วนๆ เช่นนี้ เวลานานเข้าจะเป็นผลดีได้อย่างไร เมื่อทหารชายแดนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากแล้วเขายกทัพโจมตีเมืองครั้งใหญ่อีกครั้ง ย่อมสามารถโจมตีสำเร็จได้อย่างง่ายดาย 

 

 

เจ้าบอกว่าทหารซีเหลียงก็บาดเจ็บล้มตายทุกวันเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่กำลังพลซีเหลียงของพวกเขามีมากพอ ตายก็ไม่เป็นไร พวกเขายกทั้งแคว้นมารุกราน แต่ซีเจียงของเจ้ามีกำลังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังพลต้ายง 

 

 

ได้ยินเสิ่นเวยวิเคราะห์เช่นนี้ สีหน้าคนหลายคนก็เปลี่ยนเล็กน้อย “มารดาเขาสิ องค์ชายใหญ่ 

 

 

ซีเหลียงผู้นี้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายจริงๆ” ฟังต้าฉุยทุบโต๊ะอย่างหนักหน่วง มองท่านเสิ่นโหวที่นั่งอยู่ข้างบนแล้วกล่าว “ท่านโหว เช่นนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรดี เมืองชายแดนของพวกเรามีทหารชายแดนเพียงสี่หมื่นนาย คิดจะขอกำลังหนุนก็ออกไปไม่ได้” 

 

 

ท่านเสิ่นโหวไม่ตอบ ยังคงส่งสายตามองเสิ่นเวย “เจ้าสี่มีแผนการรับมือหรือไม่” 

 

 

เสิ่นเวยขมวดคิ้วมุ่น ตำหนิในใจ ท่านปู่ก็จริงๆ เลย เห็นๆ กันอยู่ว่ามีแผนในใจแต่ก็ยังจะถามนางให้ได้ ไม่เห็นหรือว่าที่นางวิเคราะห์เมื่อครู่นั้นปู่นางไม่เปลี่ยนแม้แต่สีหน้า ผู้เฒ่าเช่นเขาสู้รบมาทั้งชีวิตจะไม่มีกลยุทธ์ดีๆ ได้อย่างไร นางไม่เชื่อหรอก 

 

 

แต่ก็ไม่อาจตบหน้าท่านปู่ได้ เสิ่นเวยทำได้เพียงแสยะปากกล่าวไม่ยินดี “เช่นนั้นพวกเราก็ใช้กลยุทธ์ป้องกันการรุกรานเสียสิ ใช้การรักษากำลังเป็นหลัก ใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ถ่วงซีเหลียงให้มาก อีกไม่นานหิมะก็ตกหนักแล้ว พวกเราไม่ขาดแคลนเสบียง กองทัพใหญ่ซีเหลียงจะไม่ขาดแคลนได้ด้วยหรือ” 

 

 

เห็นทุกคนมองนางด้วยความงุนงง เสิ่นเวยจึงลูบจมูกหัวเราะอย่างเหนียมอาย กล่าวราวกับเคอะเขิน “ที่บอกว่าอุบายก็คือการราดน้ำร้อนบนกำแพงเมืองให้เกาะตัวเป็นน้ำแข็งเพิ่มระดับความยากในการปีนให้ทหารซีเหลียง หรือว่าเปลี่ยนธนูเป็นธนูไฟ หรือราดน้ำมันร้อนลงไปจากยอดกำแพงเมือง หรือว่า ให้หมอหลิวปรุงยานอนหลับชนิดที่ดมก็สลบ อาวุธของพวกเรามีไม่มาก ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ” 

 

 

เสิ่นเวยพูดเช่นนี้ สายตาที่มองนางของคนหลายคนก็ซับซ้อน นี่มันอุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไหนกัน ที่มันกลยุทธ์สังหารวงกว้างมิใช่หรือ แม้ว่าจะพูดอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็เป็นวิธีที่ดีพอสมควร 

 

 

“ฮ่าๆ คุณชายสี่ฉลาดจริงๆ เหตุใดเหล่าหวังจึงคิดไม่ถึง” หวังต้าชวนตบบ่าเสิ่นเวยเอ่ยชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา เมื่อนึกภาพน้ำมันร้อนสาดลงไปบนร่างทหารซีเหลียงแล้ว เขาก็มีความสุขอย่างยิ่ง สมองคุณชายสี่คิดได้อย่างไร เหตุใดเขาถึงคิดวิธีที่ดีเช่นนี้ไม่ออก 

 

 

เสิ่นเวยยกมุมปาก ขอร้องอย่าตบบ่าได้หรือไม่ มือใหญ่ๆ ราวกับพัดใบลานนั้นของเจ้าตบแล้วเจ็บอย่างยิ่งรู้หรือไม่ 

 

 

วันที่สี่กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีอีกครั้ง พบว่าวิธีรบของเมืองชายแดนต้ายงเปลี่ยนไป อันดับแรกทหารชายแดนต้ายงบนยอดกำแพงเมืองต่างก็หลบอยู่ในที่กำบังคอยยิงธนู ที่ยิงออกมาล้วนเป็นธนูไฟ ยิงคนไม่ตายแต่กลับสามารถทำให้เสื้อผ้าติดไฟได้ จากคนติดไฟหนึ่งคนก็ลุกลามเป็นผืนใหญ่ ยังมาไม่ถึงล่างกำแพงเมืองก็ไฟคลอกตายไปไม่น้อยแล้ว 

 

 

กว่าจะวิ่งมาถึงล่างกำแพงเมืองได้ กลับพบว่าบันไดไต่กำแพงเมืองวางไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง เมื่อมองดูให้ดี ก็เห็นว่าบนกำแพงเมืองมีน้ำแข็งหนึ่งชั้น ลื่นเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

คนหนึ่งกลุ่มข้างล่างใช้แรงไปมากกว่าจะประคองบันไดไว้ได้ เพิ่งจะปีนไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกน้ำมันร้อนหนึ่งหม้อสาดลงมาท่วมหัว ร้อนลวกจนทหารซีเหลียงร้องโอดครวญพลัดตกลงไป 

 

 

ไม่รู้ว่าสละชีพไปมากน้อยเพียงใดในที่สุดก็ปีนขึ้นไปถึงยอดกำแพงเมือง ทหารชายแดนต้ายงทุกคนใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย ชูดาบใหญ่รออยู่นานแล้ว มือเพิ่งจะเกาะขึ้นไปก็ถูกคนฟันศีรษะเสียแล้ว 

 

 

มีความช่วยเหลือจากอุบายเล็กๆ เหล่านี้ ทหารชายแดนต้ายงก็ไม่บาดเจ็บล้มตายแม้แต่คนเดียว ปกป้องการโจมตีเมืองอีกครั้งของกองทัพใหญ่ซีเหลียงไว้ได้ กลับเป็นกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ทิ้งศพไว้จำนวนมากด้านล่างหอประตูเมือง 

 

 

“ชนะแล้ว! ชนะแล้ว!” เห็นกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ถอยทัพออกไป ทหารชายแดนต้ายงก็ส่งเสียงโห่ร้องดีใจเป็นพักๆ อัดอั้นมาสามวัน ในที่สุดก็ได้ระบายอารมณ์แล้ว 

 

 

เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงวิ่งไปหาเสิ่นเวยอย่างมีความสุข “น้องสี่ๆ เจ้ายังมีอุบายอะไรอีก” 

 

 

สบสายตาที่เปล่งประกายแวววาวสองคู่ เสิ่นเวยก็กลอกตาอย่างไม่มีความเกรงใจ “พวกท่านคิดเองไม่ได้หรือ ไม่มี ไม่มีแล้ว ที่ข้าคิดได้ก็บอกพวกท่านหมดแล้ว” 

 

 

เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงสบตากับเล็กน้อย ลดตัวลง กล่าวโน้มน้าว “อย่าพูดเช่นนี้สิน้องสี่ พวกเราไม่ได้สมองไวเท่าเจ้ามิใช่หรือ รีบช่วยพวกข้าคิดเร็ว น้องสาวคนเก่ง ถือเสียว่าพี่ขอร้องเจ้า” เพียงแค่คว้าชัยชนะมาได้ ศักดิ์ศรีจะไปสำคัญอะไร! 

 

 

เสิ่นเวยหงุดหงิดแล้ว เหตุใดงานนี้ถึงตกมาอยู่ที่นางแล้วเล่า อะไรๆ ก็ให้นางทำ พวกเจ้าโตขนาดนี้แล้วใช้อะไรได้บ้าง พวกเจ้าบีบคั้นน้องสาวเช่นนี้ ท่านปู่รู้หรือไม่ 

 

 

“ข้าคนเดียวจะคิดได้สักกี่วิธี ทหารชายแดนของพวกเรารวมกันแล้วก็มากกว่าแสนคนใช่หรือไม่ คนเขลาสามคนเท่ากับขงเบ้งหนึ่งคน[1] ทุกคนช่วยกันสุมฟืนกองไฟก็ลุกสูงเข้าใจหรือไม่ พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะชี้แนะให้ทุกคนรู้จักคิด ปกป้องบ้านคุ้มกันแคว้น แต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง” เสิ่นเวย 

 

 

กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี ทั้งยังถือว่าได้ชี้ทางสว่างให้อีกด้วย 

 

 

“จริงสิ เหตุใดพวกข้าจึงคิดไม่ถึงเล่า” ชั่วขณะเสิ่นเชียนก็ตาลุกวาว ตบมืออย่างแรงแล้วกล่าว 

 

 

“ไปๆๆ พวกเรารีบไป” หร่วนเหิงดึงเสิ่นเชียนอย่างตื่นเต้นกำลังจะออกไปข้างนอก ทั้งยังไม่ลืมหันกลับมาขอบคุณเสิ่นเวย “ขอบคุณน้องสี่! กลับเมืองหลวงแล้วพี่จะทำเครื่องประดับให้เจ้าใส่” 

 

 

เสิ่นเวยกลอกตาอีกครั้ง แค่นเสียงหนึ่งครา เหอะ นางดูเหมือนขาดแคลนเครื่องประดับนักหรือ เครื่องประดับเหล่านั้นที่ผู้จัดการชวีกับอาจารย์ซูช่วยนางซื้อนางก็ใส่ไม่หมดแล้ว 

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าคนแก่สองคนนี้ชอบเด็กผู้หญิงหรืออย่างไร ชอบซื้อเครื่องประดับให้นางมากเป็นพิเศษ อาจารย์ซูกระตือรือร้นขึ้นมาก็จะออกแบบหาช่างฝีมือด้วยตัวเอง ทอง เงิน หยก อัญมณี ปะการัง ทุกๆ เดือนล้วนต้องส่งมาให้นางหนึ่งกล่องเล็ก นางไหนเลยจะใส่หมด 

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ซูอยู่ที่เมืองหลวงสบายดีหรือไม่ ออกมาหลายเดือนแล้วยังคงคิดถึงเขาจริงๆ เสิ่นเวยรู้สึกว่าอาจารย์ซูเหมือนพ่อเสียยิ่งกว่าพ่อนางอีก 

 

 

อาจารย์ซูที่อยู่ในเมืองหลวงแสนไกลกำลังสนทนากับเด็กรับใช้ผู้หนึ่ง เด็กรับใช้ผู้นี้สวมชุดบ่าวรับใช้ทั่วไป หน้าตาธรรมดา ประเภทที่หากโยนไว้ในกลุ่มคนก็หาไม่เจอประเภทนั้น 

 

 

“เจ้าบอกว่าช่วงนี้มีคนไปสืบข่าวที่สำนักคุ้มภัยหรือ” คิ้วของอาจารย์ซูขมวดเล็กน้อย 

 

 

เด็กรับใช้ผู้นั้นกล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ อาจารย์ อาจารย์เหยาให้ผู้น้อยมาบอกท่าน ช่วงนี้สำนักคุ้มภัยมักจะมีบุคคลน่าสงสัยปรากฏตัว ยังมีคนพยายามจะสืบถามคนในสำนักคุ้มภัยว่าอาจารย์จางกับอาจารย์เฉียนไปไหน และสืบถามว่าเจ้านายของพวกเราคือผู้ใด” 

 

 

คิ้วของอาจารย์ซูขมวดมุ่นยิ่งขึ้น หลายวันมานี้มีเด็กในร้านทยอยมารายงาน บอกว่าช่วงนี้ร้านค้าหลายร้านในนามคุณหนูมีบุคคลน่าสงสัยปรากฎตัว ตอนนี้สำนึกคุ้มภัยก็ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ คุณหนูไปดึงดูดสายตาใครเข้าแล้ว 

 

 

“ไปบอกอาจารย์เหยาว่า ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น อย่าเผยพิรุธ หาคนแปลกหน้าสองคนให้เจอแล้วสืบประวัติคนเหล่านี้” อาจารย์ซูไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคำสั่ง 

 

 

หลังจากเด็กรับใช้ไปแล้ว อาจารย์ซูก็ยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าหน้าต่าง ในเมื่อละแวกร้านค้ากับสำนักคุ้มภัยมีบุคคลน่าสงสัยปรากฎตัวขึ้น เช่นนั้นก็ต้องรู้แล้วว่านี่คือกิจการของคนๆ เดียวกัน สงสัยในตัวคนผู้นี้ หรือว่าต้องการสืบสาวมาถึงคุณหนู แต่ว่าตอนแรกคุณหนูใช้อีกตัวตนหนึ่ง ใครกัน ใช่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่ลอบสังหารคุณหนูครั้งก่อนหรือไม่ 

 

 

คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจอาจารย์ซู แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ เขามองทิวทัศน์ที่เงียบเหงานอกหน้าต่าง คิดว่าคุณหนูที่เมืองชายแดนซีเจียงจะสบายดีหรือไม่ ต้องสบายดีสิ เด็กคนนั้นร่าเริงเหมือนดอกทานตะวันอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนข้างกายเห็นแล้วมีความสุขอย่างอดไม่ได้ 

 

 

มุมปากอาจารย์ซูปรากฏรอยยิ้มบางๆ สั่งคนให้ไปเรียกจางจู้จื่อมา 

 

 

“อาจารย์ ท่านเรียกผู้น้อยหรือขอรับ” จางจู้จื่อเคารพอยู่ตรงหน้าอาจารย์ซู เขานับได้ว่าเป็นคนที่อาจารย์ซูสั่งสอนมากับมือ ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่เรือนนอกเรือนเฟิงหวา นอกจากเขาจะจัดการเรื่องของคุณชายห้าเป็นอย่างดีแล้วก็ยังช่วยอาจารย์ซูทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง 

 

 

“มีเรื่องให้เจ้าต้องไปด้วยตัวเองเองเที่ยวหนึ่ง” อาจารย์ซูสั่งจางจู้จื่อเสียงเบาหลายประโยค “อย่าดึงดูดความสนใจผู้อื่น” 

 

 

จางจู่จื่อตกใจในใจ กล่าวอย่างจริงจัง “ผู้น้อยเข้าใจแล้ว” 

 

 

ตั้งแต่ที่คุณหนูเข้าเมืองหลวงก็ไม่เคยติดต่อคุณชายเจียงเฉินอีกเลย คุณหนูบอกว่าคุณชายเจียงเฉินคือไพ่ลับ ตอนนี้อาจารย์ซูส่งตนไปส่งข่าวด้วยวาจา ต้องรอบคอบมิใช่หรือ 

 

 

สองวันถัดมากองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ได้โจมตีเมืองแล้ว การเตรียมป้องกันของเมืองชายแดนต้ายงไม่เพียงแต่ผ่อนคลายลง แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่ง ฟังต้าฉุยเสิ่นเชียนและคนอื่นๆ แบ่งเวรนำคนไปลาดตระเวนทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขารู้ดีว่าตอนที่กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีเมืองอีกครั้งจะต้องรุนแรงมากเป็นพิเศษแน่นอน 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] คนเขลาสามคนเท่ากับขงเบ้งหนึ่งคน แม้จะเป็นคนเขลาแต่หากร่วมมือกันก็สามารถคิดหาทางออกได้เหมือนผู้มีปัญญา