เทพสงครามพิทักษ์โลก บทที่ 662
ความจริงแล้ว

เย่ชิวเป็นผู้มีจิตวิกลจริต

ผุ้คุมกฎสิบรู้มานานแล้ว

เย่ชิวพูดถูก

ครั้งที่ช่วยเหลือเขา ก็เพื่อจุดประสงค์หลอกใช้เพียงเท่านั้น

เฉกเช่นเดียวกับ

ครั้งที่ผู้คุมกฎสิบช่วยเหลือเหอเซิ่งหงเพียงเพื่อหลอกใช้เช่นกัน

ตอนนี้เหอเซิ่งหงหมดประโยชน์แล้ว

เช่นนั่นก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป

ขนาดเจ้าเย่ชิวที่กระจอกงอกง่อย ยังไม่อยากมอบชิ้นส่วนภาพมกุฎมังกรให้

นับประสาอะไรกับเขากันล่ะ

นี่เป็นถึงสมบัติล้ำค่าของโลกหล้า ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถเท่านั้นถึงควรค่าแก่การครอบครอง

รอเขาฝึกวรยุทธจนกลายเป็นปรมาจารย์ระดับเทพ

ตำแหน่งเจ้าสำนักกุ่ยเหมินคงอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“ผู้คุมกฎสิบ เจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งหนัก ……”

เหอเซิ่งหงจ้องไปยังผู้คุมกฎสิบอย่างเอาเป็นเอาตาย พลางกัดฟันพูด

“หากจะกล่าวโทษ เจ้าจงโทษที่ตัวเองโง่เขลาเบาปัญญาซะเถอะ!”

เมื่อพูดจบ

ผู้คุมกฎสิบจังชักกริชออกมา

คิกๆ!

ทันใดนั้นเอง

เลือดสาดพุ่งกระเซ็น

เหอเซิ่งหงเดินซวนเซไปมา

มือทั้งสองกุมบาดแผลไว้

สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส

น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม กระดูกกลายเป็นผุยผง

หากถามว่าเขาเสียใจไหม?

แน่นอนว่าเขารู้สึกเสียใจ

เขารู้สึกเสียใจที่หลงเชื่อคำพูดของผู้คุมกฎสิบ

ขอเพียงแค่ช่วยเขาแย่งชิ้นส่วนภาพมกุฎมังกร

เขาก็จะหาวิธีล้างแค้นให้ตน

ช่างน่าเจ็บใจยิ่งหนัก ที่ทุกสิ่งล้วนเป็นคำลวงโลก

หยางเฟิงพูดถูก

ตนเองช่างเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญา

ทันใดนั้น เขาพลันนึกถึงเย่ชิว

เย่ชิวผู้กำลังเผชิญกับความตายที่มองมายังตัวเขาด้วยสายตาอันโศกเศร้า

เพราะในมุมมองของเขา

ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือตนเอง ท้ายที่สุดแล้ว ล้วนเป็นแค่เครื่องมือสังหารที่ถูกหลอกใช้งานแต่เพียงเท่านั้น

ในเมื่อเป็นเครื่องมือสังหาร ก็ควรตระหนักถึงการมอดม้วยมรณา

เมื่อไร้ซึ่งผลประโยชน์ ก็คือเวลาที่จะถูกพวกเขาทิ้งขว้าง

น่าเสียดาย!

น่าถอดถอนใจ!

ทุกสรรพสิ่ง

เขากลับได้มาเข้าใจในวันที่สายเกินไปเสียแล้ว

ปัง!

เกิดเสียงดังกึกก้อง

ศพของเหอเซิ่งหงร่วงลงไปที่พื้น

เป็นถึงเมืองกาสิโน เป็นถึงวีรบุรุษ แต่กลับต้องมาจบชีวิตอย่างไร้เกียรติ

เมื่อเห็นซากศพเหอเซิ่งหงและเย่ชิว

หยางเฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา

ไม่ว่าเหอเซิ่งหงหรือเย่ชิว ตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นได้เพียงแค่หมากบนกระดานของผู้คุมกฎสิบเท่านั้น

ต่อให้วันนี้ไม่มอดม้วยมรณา

รอจนเมื่อไร้ซึ่งผลประโยชน์ พวกเขาก็ต้องตายเช่นนี้อยู่ดี

นี้แหละคือสันดานของมนุษย์

นี้แหละคือชะตากรรมของพวกเขา

ทั้งโลกหล้าล้วนแสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน

ทั่วโลกาล้วนเต็มไปด้วยความเร่งรีบมุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน

“เฮ้อ!”

หยางเฟิงส่ายหัวไปมาพลางพูดว่า “เพื่อชิ้นส่วนชิ้นภาพมกุฎมังกรอันไร้ค่า ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเองจนซากศพเกลื่อนกลาดเต็มผืนธรณีเพียงนี้เชียว นี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้วงั้นรึ?” ไอริลโนเวล

“เหอะ!”

ผู้คุมกฎสิบกลอกตาพลางพูดว่า “หยางเฟิง อย่าได้พูดยุแยงข้า อุบายนี้ใช้กับข้าไม่ได้ผล!คนในสำนักกุ่ยเหมิน เดิมทีก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น”

“หากถึงวันที่ข้าไร้ซึ่งผลประโยชน์ ข้าก็คงต้องมีฉากจบเฉกนี้เช่นเดียวกัน ”

อยู่สำนักกุ่ยเหมินมานานหลายปี

ผู้คุมกฎสิบมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

คนในสำนักกุ่ยเหมิน ล้วนแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงผลประโยชน์ ฆ่าฟันกันเอง จนกลายเป็นกฎเกณฑ์ของสำนักไปแล้ว!

หากปรารถนาไม่อยากถูกฆ่าฟัน

หากปรารถนาไม่อยากเป็นหมากในกระดานของผู้อื่น

มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือการแข็งแกร่งขึ้น

“หากมีชิ้นส่วนภาพมกุฎมังกร ข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้น”

“เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้าก็สามารถเป็นปรมาจารย์ได้!”

“เมื่อถึงเวลานั้น คนแรกที่ข้าจะฆ่าก็คือเจ้า!”

เมื่อพูดจบ

สายตาของผู้คุมกฎสิบที่มองไปยังหยางเฟิง พลันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

ระหว่างคนทั้งสอง ไร้ซึ่งสีสันของชีวิตและความตาย

แต่ทั้งชีวิตของหยางเฟิง ความอัปยศอดสูที่มอบให้กับผู้คุมกฎสิบได้ทำร้ายจิตใจของเขา

ความอัปยศอดสูเยี่ยงนี้ สำหรับผู้คุมกฎสิบแล้ว ยังหนักหนาสาหัสกว่าการฆ่าคนให้ตาย

การละเว้นซึ่งการจองล้างจองผลาญ

ไม่เหมาะกับนิสัยของเขาที่เป็นผู้มีจิตใจคับแคบ

“งั้นรึ?”

หยางเฟิงมองไปยังผู้คุมกฎสิบพลางพูดอย่างหยอกล้อว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าได้ครอบครองชิ้นส่วนภาพมกุฎมังกรจริงๆงั้นรึ?” “หยางเฟิง เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

ทันใดนั้น

ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีพลันเกิดขึ้นในใจของผู้คุมกฎสิบ