บทที่ 197 อย่าคิดหวังพึ่งลูกชายมาเลี้ยงดูเลย โดย EnjoyBook
บทที่ 197 อย่าคิดหวังพึ่งลูกชายมาเลี้ยงดูเลย
ทันทีที่โจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินกลับไปแล้ว หลินชิงเหอก็บอกเรื่องนี้กับท่านแม่โจว “สองคนนั้นรักใคร่กลมเกลียวกันดีจริง ๆ นะคะ”
“แม้ต้าหลินจะติดอ่างเล็กน้อย แต่การปฏิบัติต่อเสี่ยวเม่ยของเขานั้นนับว่ายอดเยี่ยมเลยล่ะ” ท่านแม่โจวพยักหน้า
ตอนนี้ท่านแม่โจวยอมรับความจริงที่ว่าลูกเขยคนเล็กติดอ่างได้แล้ว
ชายที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเหล้า และสามารถดูแลภรรยาและลูก ๆ ได้ถือเป็นผู้ชายที่ดี
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่าง
อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้การที่ลูกสาวคนเล็กในบรรดาลูกสาวสามคนได้แต่งงานก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยมแล้ว
“จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเธอนะ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางได้ยินเรื่องเกณฑ์การเลือกสามีมาจากลูกสาวคนเล็ก เรื่องที่ว่าเขาจะต้องไม่มีพ่อแม่ และมีบ้านมีรถพร้อม
คำพูดเหล่านั้นอาจฟังดูขวานผ่าซาก แต่เมื่อนางลองมาคิดดูแล้ว มันไม่ใช่ว่าควรจะเป็นเช่นนี้หรือ?
มันเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวเดี่ยวจะต่อสู้กับคนอื่น แต่ตราบใดที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กันได้ มันก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
เหมือนไฉ่ปาเม่ยที่แต่งงานกับโจวต้ง
วิถีชีวิตของหล่อนคล้ายกับเสี่ยวเม่ยของนาง ทันทีที่หล่อนแต่งเข้าตระกูลฝ่ายชาย หล่อนก็มีกรรมสิทธิ์ทุกอย่าง แถมยังไม่มีแม่สามีที่คอยกดหัวหล่อนอีกด้วย มันนับว่าดีแค่ไหนกันล่ะ?
หลินชิงเหอได้ฟังแล้วก็ไม่รับความดีความชอบ “เรื่องนี้ฉันเกี่ยวอะไรเหรอคะ? ทั้งสองคนถูกลิขิตมาให้เจอกันอยู่แล้ว บางทีโชคชะตาก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม
“คุณแม่คะ คุณแม่ได้ดูฝั่งของพี่สาวรองบ้างไหมคะ? ฉันไม่คิดว่าครอบครัวสามีของหล่อนจะเข้ากันได้ง่าย ๆ หากมีการล้ำเส้นกัน ครอบครัวฝั่งแม่คงไม่อาจอยู่เงียบ ๆ ได้นะคะ” หลินชิงเหอถาม
เธอเอ่ยด้วยความมั่นใจและมีพลังอำนาจ
ตอนนี้ท่านแม่โจวรู้สึกว่าสะใภ้สี่จะดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอดูยิ่งใหญ่ทรงพลังมากกว่าสะใภ้คนอื่น ๆ เสียจริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ตอบว่า “หล่อนแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ตราบใดที่มันยังไม่ถึงจุดนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปก้าวก่าย ยิ่งกว่านั้นหล่อนเองก็ไม่เคยพูดถึงมันด้วย”
แม้ลูกสาวจะแต่งงานออกไปแล้ว แต่รากฐานของเธอก็ยังเป็นครอบครัวฝั่งแม่อยู่ หากเธอถูกครอบครัวสามีรังแก ครอบครัวของเธอก็จะไม่ปล่อยให้เธอถูกรังแกฝ่ายเดียวแน่ตราบใดที่ครอบครัวฝั่งแม่ยังเห็นแก่เธออยู่
เมื่อมันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว มันก็จะมีครั้งต่อไป
ปีที่แล้วที่พี่สาวรองถูกทุบตีรุนแรง หล่อนก็ไม่เคยกลับมาเล่าเรื่องนี้ พี่เขยรองก็ไม่พูดเรื่องนี้เช่นกัน แล้วทางครอบครัวฝั่งแม่จะเข้ามายุ่งได้อย่างไร?
หากหล่อนกลับมาแล้วบ่นให้ฟัง มันก็เป็นเพียงการระบายโทสะของหล่อน หล่อนไม่ได้บอกพวกเขาในเรื่องนี้แต่ครอบครัวของหล่อนกลับเข้าไปยุ่ง แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไรล่ะ?
ท่านแม่โจวจึงไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็หาเวลาไปเยี่ยม
นางพาซูสวิ่นน้อยไปด้วย พร้อมกับของติดไม้ติดมือไม่มากนัก แค่ถั่วลิสง 2 ชั่งเป็นสินน้ำใจ
เมื่อมาถึงบ้านของลูกสาวรอง นางก็ได้เห็นบ้านก่ออิฐมุงกระเบื้องของหล่อนที่สร้างไว้อย่างดีทีเดียว
พี่สาวรองกับพี่เขยรองไม่อยู่บ้าน มีเพียงลูกสาวคนเล็กกับลูกชายคนเล็กที่อยู่บ้าน
แม้ทั้งคู่ยังเด็ก แต่ทั้งคู่ก็จำท่านแม่โจวในฐานะคุณยายได้
พวกเขาต้อนรับคุณยายเข้ามาในบ้าน โดยที่ลูกชายคนเล็กของพี่สาวรองรีบวิ่งไปเรียกพี่สาวรองมา
พี่สาวรองกำลังง่วนอยู่กับการตัดผักขม แต่เมื่อได้ยินว่าแม่มาหา หล่อนก็ทิ้งงานทุกอย่างและรีบกลับบ้าน
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่มาดูว่าแกเป็นยังไงบ้างเท่านั้นเอง” ท่านแม่โจวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “บ้านหลังนี้สร้างดีอยู่นะ”
“ต้องขอบคุณน้องชายทั้งหลายที่ช่วยสนับสนุนและให้ฉันยืมเงินก้อนนี้น่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นบ้านหลังนี้คงสร้างไม่ได้” พี่สาวรองเอ่ยขณะรินน้ำให้แม่ดื่ม
“แล้วทางนั้นว่ายังไงบ้างล่ะ?” ระหว่างแม่กับลูกสาวนั้นไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังกัน ท่านแม่โจวเลยถามลูกสาวนางไปแบบนี้
“พอเห็นว่าน้องชายสี่ให้อิฐและกระเบื้องกับฉันมากมายขนาดนี้ ผู้เฒ่าไร้ยางอายสองคนนั้นก็อยากจะขอแบ่งไปต่อเติมหลังคาด้วยน่ะค่ะ แต่ฉันไม่ได้ให้ไป” พี่สาวรองแค่นเสียง
คนซื่อตรงคนนี้ได้ถูกบีบให้จนมุมแล้ว
ไม่มีใครในหมู่บ้านบอกว่าหล่อนเป็นคนผิดเลย
รู้ไหมว่าหล่อนกับสามีต้องเจออะไรบ้างตอนที่พวกเขาย้ายออกมาพร้อมกับเด็ก 5 คน?
หลังทำงานงก ๆ เหมือนวัวเหมือนควายมาหลายปี พวกเขากลับได้รับส่วนแบ่งเงินเพียง 50 หยวน รวมกับเครื่องเรือนและของอื่น ๆ ที่ให้มาเพื่อจะตัดขาดจากพวกเขา
ชาวบ้านทั้งหลายมักจะค่อนแคะพ่อเฒ่าแม่เฒ่าคู่นั้นเสมอ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนทำกับลูกแบบนี้หรอก
“ก็ดีแล้วที่ไม่ได้ให้ไป ชิงไป๋เอามาให้แกด้วยความยากลำบากมากมาย ทำไมแกถึงจะต้องให้พวกเขาด้วย?” ท่านแม่โจวแค่นเสียงเย็นชา
“อย่าพูดถึงพวกเขากับเรื่องน่ารำคาญของพวกเขาอีกเลยค่ะ แม่คะ ฉันกลัวว่าจะจ่ายเงินที่ฉันยืมน้องชายคืนอย่างเร่งด่วนขนาดนั้นไม่ได้น่ะค่ะ” พี่สาวรองเอ่ย
“แกก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนักหรอก แกค่อย ๆ หาเวลาใช้คืนก็ยังได้” ท่านแม่โจวให้กำลังใจ
พี่สาวรองพยักหน้า
ที่บ้านมีไก่ไม่กี่ตัว พี่สาวรองจึงอยากจะจับไก่ให้ท่านแม่โจวในตอนที่นางกำลังจะกลับไปพร้อมซูสวิ่นน้อย
“แกไม่จำเป็นต้องทำตัวอยู่ดีกินดีหรอก ชีวิตครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมแกถึงอยากจะจับไก่อยู่ล่ะ?” ท่านแม่โจวบอกหล่อน
จากนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไรกับพี่สาวรองต่อและกลับบ้านไปพร้อมกับหลานชาย
เมื่อนางกลับมาถึง นางก็คุยกับหลินชิงเหอในเรื่องนี้ “ถึงชีวิตของพวกเขาจะยากจนกว่าเล็กน้อย แต่ในบ้านยังกว้างขวางอยู่ แต่จะมีปัญหาก็ตอนที่เด็ก ๆ ต้องแต่งงานในอนาคตนี่แหละ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องห้าหรือหกปีหลังจากนั้น ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลไปนัก”
“ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกันค่ะ วันข้างหน้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ” หลินชิงเหอบอก
ตอนนี้เป็นปี 1974 อยู่ แต่ในชั่วพริบตาเดียวมันก็เหลือเวลาไม่กี่ปีที่ข้อห้ามต่าง ๆ จะผ่อนปรนลง ซึ่งชีวิตในวันข้างหน้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับคนที่มีความขยันหมั่นเพียร
เพราะช่วงนี้ยังเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอยู่ หลินชิงเหอจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลานี้หารายได้ เธอขอเพิ่มปริมาณการสั่งเนื้อหมูกับเม่ยเจี่ย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเธอจะเดินทางเข้าอำเภอครั้งหนึ่งในสามหรือสี่วัน
ในขากลับจากอำเภอวันนั้นเอง หลินชิงเหอก็ได้นำแตงโมกับอุปกรณ์การเรียนกลับมาด้วย
ปีนี้เธอใช้ผ้าชิ้นหนึ่งทำกระเป๋านักเรียนให้เจ้าสามเด็กตัวเหม็น การทำกระเป๋าให้คนละใบนับว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอย่างมาก
“แม่ใช้เงินเยอะจังครับ แม่ได้ใช้เงินเดือนทั้งหมดของแม่หรือเปล่า?” คนที่ถามเรื่องนี้ได้ในบรรดาลูกชายสามคนแล้วก็ย่อมเป็นเจ้ารอง
เจ้าใหญ่กับเจ้าสามไม่มีนิสัยสนใจกับเรื่องเหล่านี้เลย
“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเลี้ยงลูก แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลี้ยงพี่ชายน้องชายของลูกเลย” หลินชิงเหอเอ่ยขณะแช่แตงโมในบ่อน้ำให้มันเย็นลง
เจ้ารองเผยรอยยิ้มกริ่ม “เมื่อไหร่ที่เราโตขึ้นและประสบความสำเร็จ เราจะกลับมาเลี้ยงดูแม่แน่ ๆ ครับ”
“เมื่อลูกโตขึ้นก็จะถึงเวลาแต่งงาน ลูกก็กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว แม่ไม่กล้าคาดหวังอะไรจากลูกหรอก” หลินชิงเหอตอบ
ประโยคนั้นในยุคสมัยใหม่ของเธอมันคืออะไรน่ะ?
การคลอดเด็กถือเป็นหน้าที่ การเลี้ยงดูเด็กคือความรับผิดชอบ และการพึ่งพาลูกคือความผิดพลาด
นี่ฟังดูมีเหตุผลอย่างมาก และแน่นอนว่าหลินชิงเหอเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
คนรุ่นเก่ามีลูกเพื่อให้มาเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่า ทว่าคนแต่ละรุ่นล้วนมีความกดดันของตัวเอง ในฐานะพ่อแม่แล้วการไม่เป็นภาระของลูกก็ถือเป็นการให้ความรักกับลูกอย่างหนึ่ง
หากมองในอีกมุมมองหนึ่ง คนไหนแก่ตัวลงและมีเงินทองพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณ พวกเขาต้องกลัวว่าสะใภ้ของตนจะไม่กตัญญูหรือเปล่าล่ะ?
ถ้าคน ๆ นั้นมีเงิน พวกเขาก็จ้างใครสักคนมาดูแลพวกเขาได้
เมื่อเป็นแบบนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะราบรื่น
แม้เด็กสามคนจะถูกเธอเลี้ยงดูมาและแตกต่างจากในเนื้อหานิยายต้นฉบับไม่น้อย แต่แนวคิดบางอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายนัก
ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็วางแผนเรื่องนี้มานานมากแล้ว
ในอนาคต เธอกับโจวชิงไป๋จะเก็บเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า พวกเขาไม่หวังจะให้ลูกชายมาเลี้ยงดู ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกบรรดาสะใภ้ขับไล่ออกมา แค่คิดเรื่องนี้ก็น่าสังเวชใจแล้ว
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บ้านสามีของพี่สาวรองน่ารังเกียจจริง ๆ แหละค่ะ พอรู้ว่าสะใภ้ได้ดีคือหวังเกาะเลย
คนแต่ละยุคก็มีมุมมองของตัวเองล่ะนะคะ คนสมัยก่อนอาจคิดว่าลูกคือสมบัติของพ่อแม่ การมีลูกก็คือเพื่อหวังให้ลูกมาดูแลตัวเองยามแก่เฒ่า แต่คนสมัยนี้อาจคิดว่าเลี้ยงลูกก็เลี้ยงได้แต่ตัว ลูกโตขึ้นจะกลับมาเลี้ยงพ่อแม่หรือเปล่าก็แล้วแต่ลูก ส่วนตัวเองขอเก็บเงินไว้เลี้ยงดูตัวเองตอนแก่ก่อนล่ะ
ผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้างคะ
ตอนนี้ ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม เล่ม 3 (บทที่ 121-180) วางขายแล้ว อย่าลืมไปอุดหนุนกันนะคะ
ไหหม่า(海馬)