บทที่ 605 ของขวัญแต่งงาน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 605 ของขวัญแต่งงาน
นาฬิกาพกสีเงินเป็นรูปแบบเครื่องกลดูเคร่งขรึม เหมือนอย่างที่ลูเซียนนึกภาพเอาไว้ ตรงกลางเป็นหน้าปัดสีขาว มีสัญลักษณ์แปลกๆ ทำจากอันญมณีชนิดต่างๆ แทนค่าแต่ละช่วงเวลา เข็มวินาทีสีดำขยับครั้งหนึ่ง ก็บังเกิดเสียงที่ดังกึกก้องไปถึงในใจทุกผู้คน นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว ยังมีสิ่งพิเศษอีกอย่างเกี่ยวกับนาฬิกาพกเรือนนี้ นั่นก็คือเม็ดมะยมที่อยู่ทั้งสองด้านหน้าปัด เชื่อมกับตัวเรือน ทั้งสองเม็ดเปล่งประกายแสงโลหะสุกใส

มันยังมีฝาปิดหน้าปัดและลวดลายตกแต่งเหมือนอย่างนาฬิกาพกเรือนอื่นอีกด้วย

เมื่อลูเซียนโบกมือทั้งสองข้าง นาฬิกาพกสีเงินก็ลอยมาอยู่ในมือ และโซ่เงินก็คล้องเข้ากับรังดุมบนเสื้อกั๊กของเขาโดยอัตโนมัติ

ลูเซียนกดเม็ดมะยมแล้วปิดฝาบนหน้าปัดนาฬิกา เสียงนาฬิกาเดินพลันเงียบไป เมื่อเขายกนิ้วโป้งขึ้นแล้วเปิดฝาอีกครั้ง ก็พลันสัมผัสได้ว่าเขากำลังถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งลี้ลับบางอย่าง

ขณะถือนาฬิกาพกอยู่ในมือขวา ลูเซียนสังเกตเห็นว่าเข็มวินาทีสีดำกำลังเต้นระบำอย่างร่าเริงอยู่ด้านใน แล้วเขาก็กดเม็ดมะยมที่อยู่ทางด้านขวา

หลังจากเกิดเสียงดังกริ๊ก เข็มวินาทีก็พลันหยุดนิ่ง สีสันรอบกายเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงสีขาวดำ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำให้เชื่องช้าลงยกเว้นตัวเขา ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นปกติ

นี่คือเวทมนตร์ชั้นตำนาน ‘หยุดเวลาขั้นสูง!’

แกร๊ก ลูเซียนกดอีกครั้ง แล้วสีสันทั้งหมดก็หวนคืนกลับมา โลกพลันกลับสู่ความปกติเมื่อเข็มวินาทีขยับเดินต่อ

เมื่อลูเซียนใช้นิ้วโป้งลูบขึ้นลงตรงขอบตัวเรือน เข็มวินาทีก็ขยับเร็วขึ้นและช้าลง ความเร็วของสิ่งของรอบกายก็เป็นไปตามนั้นเช่นกัน

“สมกับเป็นคุณลักษณะของเวท ‘ผู้สังเกตการณ์กาลและอวกาศ’ จริงๆ” แล้วลูเซียนก็ลองกดเม็ดมะยมทางด้านซ้ายดู ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นลักษณะเฉพาะของ ‘สีดำ’ บนดาวเคราะห์ที่สร้างจากโลหะแสนแข็งแกร่ง อวกาศเกิดความโค้ง และแรงโน้มถ่วงในระยะหลายพันเมตรก็ปั่นป่วนรุนแรง นอกเหนือจากเวทที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรงแล้ว ร่องรอยของสิ่งอื่นกลับถูกบิดเบือนไป

‘เวทแรงโน้มถ่วงยุบตัว’ ไม่เพียงโจมตีใส่เป้าหมายได้โดยตรงเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ควบคุมฝูงชนได้อีกด้วย

หลังจากทดลองใช้งานอุปกรณ์เวทมนตร์พิเศษชั้นตำนาน ลูเซียนก็พอใจอย่างยิ่ง จากนั้น เขาก็ทำตามประเพณีของโลกนี้ด้วยการฝังข้อมูลเกี่ยวกับนาฬิกาพกเรือนนี้ไว้ในวงแหวนเวทชั้นต้นและตั้งชื่อให้มัน

‘จันทรากาลคืออุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานระดับหนึ่ง นอกเหนือจากเหล่านักเวทผู้มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับกาลและอวกาศ ผู้ใช้จะต้องมีโลกแห่งปัญญาที่รวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งแล้ว แม้แต่นักเวทที่เข้าใจเรื่องเวลาและอวกาศอย่างดีก็ยังต้องมีโลกแห่งปัญญาที่มั่นคงเป็นอย่างน้อย ไม่เช่นนั้น ร่างกายและวิญญาณของพวกเขาอาจถูกกระแสแห่งเวลาพัดพาไป และนั่นจะทำให้พวกเขาแก่ตัวลงและตายไปอย่างรวดเร็ว’

‘จันทรากาลคือเสาหลักของ “ผู้สังเกตการณ์กาลและอวกาศ” ผู้ใดก็ตามที่สวมใส่มันจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวเนื่องกับเวลาและอวกาศในระดับต่ำกว่าชั้นตำนาน ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ เวทมนตร์ที่พวกเขาร่ายขึ้นเองจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ กลับกัน เวทมนตร์เหล่านั้นจะยิ่งได้รับพลังเสริมและแม่นยำยิ่งขึ้น ผู้ใช้จะได้รับแรงต้านในระดับหนึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับพลังควบคุมเวลาที่มีระดับพลังสูงกว่าชั้นตำนาน’

‘มันยังเป็นเจ้าแห่งกาลอีกด้วย การแก่ตัวลงของเจ้านายมันจะช้าลง ทั้งยังมอบเวลาชีวิตให้อีกห้าร้อยยี่สิบปี’

‘เม็ดมะยมทางด้านซ้ายและขวามือสามารถใช้แทนการร่ายคาถา เมื่อกดมัน ก็เป็นไปได้ที่จะใช้ “เวทแรงโน้มถ่วงยุบตัว” (สองครั้งต่อวัน) และ “เวทหยุดเวลาขั้นสูง” (สองครั้งต่อวัน)’

‘ยามแตะตัวเรือนจะมอบผลที่เทียบเท่ากับความสามารถของ “เวทคทาอวกาศ” เพียงส่วนหนึ่ง นั่นคือผู้ใช้จะเพิ่มและลดความเร็วของเวลาได้ในระดับหนึ่ง การจะดึงเวลาอย่างมีประสิทธิผลได้มากเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับพลังจิตของผู้ใช้’

‘มันสามารถเก็บเวทมนตร์ระดับเก้าไว้บนหน้าปัดได้สิบสองบทล่วงหน้า และสามารถเรียกใช้ได้ทันทีโดยไม่กินพลังจิตใดๆ’

‘ความลี้ลับของเวลาและห้วงอวกาศคือหนึ่งในความจริงที่อยู่ลึกที่สุดของโลกใบนี้ มีเพียงปัญญาเท่านั้นที่จะมองมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!’

‘จาก: ลูเซียน อีวานส์’

หลังจากเกิดเสียงดังกริ๊ก ลูเซียนก็พับนิ้วลงและปิดฝา ‘จันทรากาล’ จากนั้นเขาก็เก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อกั๊กสีน้ำตาลข้างใต้เสื้อคลุมกระดุมสองแถว โซ่เงินเส้นบางยืดขยายออกมาติกที่รังดุมในทันที

“โชคดีจริงๆ ที่ข้ามีตัวช่วยเป็นแบบจำลองเวทมนตร์ชั้นตำนาน ไม่อย่างนั้นการสร้างครั้งแรกคงจะล้มเหลวแน่” ลูเซียนสรุปบทเรียนที่ได้รับเมื่อครู่นี้และพลันเข้าใจว่าเหตุใดอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานชิ้นแรกของนักเวทชั้นตำนานจึงมักมีพลังทับซ้อนกับความสามารถของตัวเอง

หลังจากทำความสะอาดเศษขยะบนพื้นเสร็จ ลูเซียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

“ฮู่ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ทีนี้ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ รอให้ ‘แขก’ มาถึง”

ภายในคฤหาสน์แถบชานเมืองของนครเรนทาโต…

ชายหนุ่มในชุดสะอาดสะอ้านและหมวกทรงสูงลงมาจากเกวียนพร้อมกับสหายผู้มีหนวดเครา ข้ารับใช้มานำทางทั้งสองเข้าไปยังห้องนั่งเล่น

ในเตาผิงหาได้จุดไฟเอาไว้ เพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไปในฤดูใบไม้ผลิแสนอบอุ่น ชายหนุ่มผู้มีผมและดวงตาสีน้ำเงิน หน้าตาเหมือนชาวโฮล์มทั่วๆ ไป เปิดตู้เย็นเวทมนตร์บนผนังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วหยิบขวดแชมเปญที่มีตราประจำราชวงศ์เทรียประดับอยู่ออกมารินในแก้วไวน์สองใบ

“ข้าต้องยอมรับจริงๆ ว่าของวิเศษที่ใช้ได้ง่ายและแพร่หลายที่ลูเซียน อีวานส์ ให้การสนับสนุนนั้นทำให้หลายๆ อย่างง่ายดายและสะดวกสบายขึ้นมาก คนเราสามารถเพลิดเพลินไปกับความหรูหราและชีวิตเรียบง่ายแม้ว่าจะไม่มีเวทมนตร์ก็ตาม” เขาแกว่งแชมเปญในแก้วไปมาด้วยท่าทางดูดีและอบอุ่นก่อนจะจิบลิ้มรสชาติเย็นสดชื่น

บุรุษผู้มีหนวดเครารกเรื้อท่าทางหมองหม่นและเคร่งเครียด เอ่ยขึ้นหลังจากจิบแชมเปญไปอึกหนึ่ง “คณะรัฐมนตรีเริ่มวางแผนการร่วมมือกับนักเวทเพื่อพัฒนาเกวียนวิเศษสำหรับการขนส่งระยะสั้นแล้ว ซึ่งมันจะสอดคล้องกับรถไฟหัวจักรเวทมนตร์ การเดินทางไปสถานที่ส่วนใหญ่คงจะง่ายกว่านี้มากในอนาคต คณะรัฐมนตรี เหอะๆ นายกรัฐมนตรีรัสเซล”

หลายปีก่อน เหล่านักเวทได้ผลิตสิ่งที่คล้ายคลึงกับปูนออกมาในระหว่างการศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมท้องถนนบนอัลลินจึงเรียบนัก ถนนในเมืองหลักๆ ของอาณาจักรโฮล์มก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปลาดด้วยปูนแล้วเช่นกัน

“ส่วนใหญ่แล้วเจมส์กับพรรคพวกจะมุ่งมั่นกับการเลื่อนขั้นบนเส้นทางอัศวิน พวกเขาสนใจเพียงผลตอบแทนและไม่อยากจะทำงานอย่างรัฐมนตรีที่มีภาระมากมาย… ข้าได้ยินมาว่ารัสเซลกำลังวางแผนที่จะสร้างระบบไปรษณีย์อะไรสักอย่างโดยใช้ระบบการขนส่งสาธารณะนั้น เปลี่ยนให้ผู้ส่งสารเป็นกรมกองหนึ่งของอาณาจักร… ข้านึกภาพได้เลยว่าโฮล์มจะเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้ามากเพียงใด คริโทเนีย เจ้าเคยคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรือไม่ เจ้าจะโน้มเอียงไปทางฝั่งสภาเวทมนตร์ตั้งแต่ต้นหรือไม่” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากรีดเปิดบาดแผลของคริโทเนียอย่างไร้ความกังวล

กลายเป็นว่าบุรุษเครารกเรื้อก็คือคริโทเนีย ‘เจ้าแห่งกาล!’ ดูเหมือนว่าเขาจะอำพรางกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

คริโทเนียหาได้โกรธเคืองอันใด เขามองไปทางบุรุษผมดำแล้วเอ่ยว่า “มันไร้ประโยชน์ที่จะนึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป แบนแฮม ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะมีคฤหาสน์ส่วนตัวอยู่ในที่แบบนี้ด้วย”

“ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ราตรี แต่ข้าก็มีชีวิตเป็นของตัวเองเช่นกัน” แบนแฮม หรือ ‘เพลิงต้นกำเนิด’ หัวเราะขัน

ชื่อนี้เขาคิดขึ้นเองเพื่อที่คริโทเนียจะได้เรียกเขาได้ง่ายๆ

หลังจากจบประโยคนั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่ไม่นานหลังจากนั้นคริโทเนียก็เอ่ยขึ้นว่า “เราจะลงมือในช่วงพิธีสมรสของลูเซียน อีวานส์ จริงๆ หรือ แม้แต่ในตอนที่มีผู้อารักขาอยู่มากที่สุด ก็ยังมีแฮททาเวย์ผู้อยู่ในจุดสูงสุดของชั้นตำนานนะ เราสองคนไม่มีทางหยุดนางได้แน่ เหตุใดเราจึงไม่รอต่อไปก่อนเล่า”

“ช่วงเวลาที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุด ยังเป็นช่วงเวลาที่คนประมาทที่สุดเช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เราไม่จำเป็นต้องกังวลถึงนักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ นอกจากแฮททาเวย์ อีกอย่าง ข้า ‘เตรียมการ’ เสร็จสิ้นแล้วล่ะ” แบนแฮมดูท่าทางสบายๆ “ความจริงแล้ว ข้าเกือบจะลงมือไปแล้วในตอนที่ลูเซียนจงใจลวงเราให้ออกไปโจมตีเขาเมื่อสองสามครั้งก่อน แต่ข้าต้องรอจนกว่าการเตรียมการของข้าจะแล้วเสร็จ แต่หลังจากที่เตรียมการเสร็จเมื่อสองเดือนก่อน เขาก็หยุดออกมาหลอกล่อเราเสียอย่างนั้น”

“เตรียมการงั้นหรือ” คริโทเนียขมวดคิ้ว ที่ผ่านมาเขาได้แต่ติดต่อทางไกลกับแบนแฮมและไม่เคยมาพบอีกฝ่ายตัวเป็นๆ เลยสักครั้งจนกระทั่งไม่กี่วันก่อนหน้านี้

เพลิงต้นกำเนิดหัวเราะขัน “ข้าจะบอกรายละเอียดให้เจ้ารู้ก่อนลงมือ เฮะๆ พวกนั้นย่อมต้องเฝ้าระวังเจ้า ข้า และผู้มีพลังชั้นตำนานคนอื่นๆ ของศาสนจักร แต่พวกนั้นไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นอีกที่จะมาด้วย…”

“ผู้ใดกัน” คริโทเนียถามเสียงเคร่งเครียด เขาจำต้องมั่นใจในความปลอดภัยของตนเองก่อน กองกำลังหรือผู้มีพลังขั้นสูงที่ไม่คาดคิดมักเป็นเรื่องน่ากังวลเสมอ

“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงเข้าร่วมกับฝ่ายศาสนจักรกันเล่า” แทนที่จะตอบ เพลิงต้นกำเนิดกลับถามกลับ

คริโทเนียส่งเสียงขึ้นจมูก “เจ้าจะบอกข้าหรือไม่เล่า”

“ไม่ เพราะฉะนั้นเจ้าหยุดถามไปได้เลย” เพลิงต้นกำเนิดส่ายแก้วในมือไปมา “วางใจเถิด พวกเขาจะถูกแยกออกจากกลุ่มนักเวทชั้นตำนานของสภาเวทมนตร์ครู่หนึ่ง เราจะมีเวลาพอให้ลงมือและถอย”

คริโทเนียพยักหน้า “เจ้ากำจัดภัยร้ายความเสี่ยงทั้งหลายด้วยคำพยากรณ์งั้นหรือ”

“ลูเซียนและนาตาซามีเฟอร์นันโดกับแฮททาเวย์คอยดูแลอยู่ตลอด เวทพยากรณ์ของข้าเพียงบอกว่าพวกเขาจะไม่เป็นภัยต่อเรา ส่วนที่เหลือนั้น เราทำได้เพียงสรุปจากข่าวกรองและร่องรอยอื่นๆ เท่านั้น ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดเองก็ได้ถามเบื้องบนด้วยการอธิษฐานแล้ว ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันนัก ฉะนั้นไม่ต้องกังวลไป เราจะหลบหนีออกมาได้แม้จะเกิดเรื่องขัดข้องขึ้นก็ตาม” เพลิงต้นกำเนิดค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับหนึ่ง และอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานที่ดีที่สุดของเขาก็เป็นเพียงระดับสองเท่านั้นก็ตาม

คริโทเนียจ้องมองแบนแฮมด้วยความไม่เข้าใจ และนึกสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมั่นใจใน ‘การเตรียมการ’ ของตนเองนัก เขาลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าหาก ‘การเตรียมการ’ นี้ไม่น่าพึงพอใจมากพอสำหรับเขา เขาจะถอนตัวทันที ดังนั้น เขาจึงผ่อนคลายท่าทีลงและตอบกลับไปว่า “ก็ยังนับว่าเสี่ยงอยู่ดี แม้ว่าลูเซียนกับนาตาซาจะมใช่ผู้มีพลังชั้นตำนาน แต่ทั้งสองก็ยังมีแหวนของคอนกุส ซึ่งเป็นแหวนชั้นตำนานที่เป็นรางวัลจากสภาเวทมนตร์ แล้วไหนจะโล่แห่งสัจธรรม และดาบแห่งสัจธรรมอีก ของพวกนั้นอาจเป็นภัยต่อเราได้เช่นกัน เราจะประมาทไม่ได้”

ในตอนที่แกรนด์ดยุกแห่งออร์วาริตหลบหนีออกจากเมืองอัลโต้ เขาได้หยิบฉวยโล่แห่งสัจธรรม ‘ติดมือ’ มาด้วย แม้ว่าเขาจะไม่อาจยกมันขึ้นได้ แต่ก็ยังพอเป็นไปได้ที่เขาจะเก็บมันลงกระเป๋ามิติ

“ใช่ ลูเซียนกับนาตาซามักสร้างปาฏิหาริย์อยู่เสมอ ทั้งสองหลบหนีจากการไล่ล่าของเทพอสูร-ลิชได้ขณะยังเป็นเพียงผู้มีพลังระดับสูง เราจะประมาทไม่ได้” แบนแฮมพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าเขาแล้ว “เราไม่อาจเสียเวลาพูดคุยกับทั้งสองคนนั้น เราจะลังเลไม่ได้ เราจะคิดเรื่องจับเป็นไม่ได้ และเราก็ต้องโจมตีจุดตายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เอาล่ะ คริโทเนีย ตอนนี้ไปพักเสียก่อนเถิด ข้าจะศึกษาอาร์คานาเสียหน่อย”

“เจ้าเนี่ยน่ะหรือ เจ้าศึกษาอาร์คานาด้วยหรือ” คริโทเนียถึงกับตะลึงงัน

เพลิงต้นกำเนิดส่ายหน้ายิ้มๆ “โลกแห่งปัญญาของข้าแตกสลายและถูกแช่แข็งมานานนับแต่สมัยอาณาจักรเวทมนตร์โบราณแล้ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าจึงไม่เคยแข็งแกร่งขึ้นเลยตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้าคิดว่าสถานการณ์คงไม่ย่ำแย่ไปมากกว่านี้หรอก หากข้าจะลองเรียนรู้อาร์คานาศาสตร์ดู และคิดว่าข้าอาจค้นพบหนทางในการปรับเปลี่ยนโลกแห่งปัญญาเสียใหม่ ฟังนะ แม้แต่ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดยังเรียนรู้อาร์คานาเพื่อปรับปรุงพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้เลย แล้วเหตุใดข้าจะทำบ้างไม่ได้เล่า”

ตอนนั้นเอง คริโทเนียก็ได้เข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดเพลิงต้นกำเนิดจึงไม่เคยมีพลังกล้าแกร่งขึ้นเลยตลอดหนึ่งพันปี หลังจากอยู่มานานถึงเพียงนั้น เขาก็ควรจะเลื่อนขึ้นสู่ชั้นตำนานระดับสองได้แล้ว ผิดกับเทพอสูร-ลิชซึ่งเป็นนักเวทที่สืบเชื้อสายจากโบราณกาลเช่นกัน แต่เขากลับใช้เวลาเพียงสามร้อยปีในการเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังชั้นตำนาน

เพลิงต้นกำเนิดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าหวังว่า ‘ของขวัญแต่งงาน’ จากเราจะทำให้พวกนั้นพอใจนะ”

…………………………………………