เยี่ยเม่ยเงยหน้ามอง เดิมคิดว่าเป็นคนที่คู่ควรกับการรอคอย 

 

 

ทว่าเมื่อคนก้าวเข้ามา แววตาของนางพลันฉายแววน่าสนใจ ทั้งยังไม่มีทีท่าลุกขึ้นมาแสดงความเคารพ แต่มองบุรุษรูปงามผู้นั้น เอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “ไม่ทราบว่าองค์ชายใหญ่เสด็จมาด้วยตนเองโดยมิได้รับคำเชิญ มีอะไรชี้แนะ” 

 

 

เดิมทีคิดว่าคนที่มาก่อนจะเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อย่างไรเสียเขาก็ยกอำนาจการควบคุมทหารให้นาง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็สมควรไม่วางใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าผู้มาจะเป็นคนคนนี้  

 

 

ฟังออกว่าน้ำเสียงนางหาได้ใส่ใจเขา เป่ยเฉินเสียงเดินเข้ามาด้านในกระโจม 

 

 

สีหน้าเขายังดูเย่อหยิ่งดั่งเดิม ไม่มีความรู้สึกขัดเขินเลยสักนิดที่วันนี้ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูถูกหลายคำ 

 

 

เขาสองมือไพล่หลังเดินมาหยุดเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย มองใบหน้าเย็นชาของสตรีตรงหน้า เอ่ยปากว่า “ครั้งก่อนแม่นางไม่เคารพต่อองค์ชายอย่างข้า เดิมสมควรมีโทษประหาร แม่นางเคยคิดไหมว่า ไฉนวันนี้ข้าถึงไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปเอาผิดแม่นาง” 

 

 

เขาเอ่ยออกมา นิ้วมือของเยี่ยเม่ยเคาะโต๊ะเบาๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์ยินดีและตื่นเต้นที่ตนรักษาชีวิตไว้ได้อย่างที่เป่ยเฉินเสียงเฝ้ารอชม มีเพียงแววสนุกขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

นางมองบุรุษด้านหน้า เอ่ยเสียงเข้มว่า “ดังนั้นองค์ชายใหญ่ต้องการเอ่ยอะไร หรือท่านคิดว่าข้าสมควรตอบแทนบุญคุณของท่าน หรือว่าท่านคิดว่าข้าควรสนใจว่าท่านจะฆ่าข้าหรือไม่” 

 

 

นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เส้นเอ็นที่ขมับของเป่ยเฉินเสียงเต้นตุบตับ  

 

 

เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับท่าทางไม่ใส่ใจของนางและไม่เห็นการกระทำของเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากแววตาของเขาเผยอายสังหารออกมา สุดท้ายยังคงเก็บความไม่พอใจทั้งหมดทั้งมวลลงไปสิ้น 

 

 

เขาเข้าใกล้นางมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ชวนให้คนหลงใหลอย่างลึกล้ำ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ย่อมไม่หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะซาบซึ้งในตัวข้า ตัวข้านั้นเพียงอยากแสดงความจริงใจออกมา ให้แม่นางเยี่ยเม่ยรับรู้ว่าข้าหาได้มีเจตนาร้ายกับแม่นางเยี่ยเม่ยไม่”  

 

 

เยี่ยเม่ยจ้องใบหน้าเขา ทั้งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งนั้น ยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ไม่มีเจตนาร้ายหรือ ครั้งก่อนข้าริบม้าจากไป คนของใครกันที่ติดตามข้าไปยี่สิบกว่าลี้ หรือว่าองค์ชายใหญ่อายุน้อยขี้หลงขี้ลืม เรื่องไม่กี่วันก่อนก็ไม่จำเสียแล้ว” 

 

 

นางเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียงหน้าแข็งไปในทันที แววตาฉายความกระอักกระอ่วนยากบรรยายได้ 

 

 

เยี่ยเม่ยลุกขึ้น นางหมดความอดทนแล้ว น้ำเสียงและสีหน้ายังคงเย็นชา “ข้ารู้ว่าตัวเองโดดเด่นและรู้หนักเบา ถึงคู่ควรให้องค์ชายใหญ่สวมหน้ากากมีเมตตาใบนี้มาพูดคุยด้วย คิดใช้ประโยชน์จากข้า ตักตวงผลประโยชน์จากข้า” 

 

 

เป่ยเฉินเสียงฟังแล้ว หางตากระตุกเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้ไม่หลงใหลเสน่ห์เขาสักกะผีกริ้น มองเป้าหมายการมาของเขาออกอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

เห็นหางตาเขากระตุก เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเย็นชาต่อว่า “แต่ว่าองค์ชายใหญ่อาจไม่เข้าใจ ข้าไม่เพียงจิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง ทั้งยังฉลาดหลักแหลมนัก เทียบเรื่องสติปัญญาแล้วในใต้หล้านี้เกรงว่าไม่มีใครเทียบข้าได้ ดังนั้นท่านมีคำพูดอะไรพูดออกมาตามตรง อ้อมไปมามีแต่จะทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านสติปัญญาไม่มากพอ ดึงดันรำขวานต่อหน้าหลู่ปัง[1]” 

 

 

เวลานี้เป่ยเฉินเสียงสีหน้าแปรเปลี่ยน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลบหลู่เขาก็ช่างเถิด สตรีนางนี้ถึงกับกล้าลบหลู่เขาด้วย   

 

 

สติปัญญาของเขาไม่เพียงพอ? 

 

 

เขาดึงดันรำขวานหน้าหลู่ปัง? 

 

 

สิ่งที่เขาโมโหที่สุดคือ เทียบกันแล้วสติปัญญาของเขาไม่เทียบเท่านาง นางจิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง ฉลาดหลักแหลม นางยังเป็นผู้ทรงปัญญาที่สุดในใต้หล้า? 

 

 

เขาอยู่มายี่สิบกว่าปีไม่เคยพบพานคนหน้าหนาขนาดนี้มาก่อน ซ้ำยังเป็นสตรีที่ยั่วโมโหคนแล้วยังไม่ต้องสังเวยชีวิตอีกด้วย 

 

 

เห็นเขาโมโหเสียจนอกกระเพื่อมอย่างแรง ทว่ายังไม่ทันเอ่ย เยี่ยเม่ยก็หมดความอดทน ไม่อยากเสียเวลากับเขาอีก นางเดินนำออกไปด้านนอก เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อองค์ชายใหญ่ไม่คิดเอ่ยอะไร อย่างนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้ว” 

 

 

เมื่อเห็นว่าถ้าตนยังไม่เอ่ยความจริง นางจะเดินออกไปแล้ว 

 

 

เป่ยเฉินเสียงหันหน้ามองแผ่นหลังนางที่เดินไปถึงหน้าประตู เอ่ยปากว่า “ข้าคิดหารือเรื่องความร่วมมือกับแม่นางเยี่ยเม่ย”      

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า กล่าวน้ำเสียงเย็นชา “เชิญพูดมาได้” 

 

 

เห็นว่านางยินยอมฟังเขาพูด เป่ยเฉินเสียงผ่อนลมหายใจ รีบตัดทอนคำพูดไม่เหมาะสมทั้งหลายออก เปิดประเด็นหลัก ใช้น้ำเสียงสดใสเอ่ยว่า “ในมือของแม่นางควบคุมตราพยัคฆ์ทหารชายแดนเป่ยเฉินสองแสนนาย” 

 

 

เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ไม่หันหน้ากลับไป “ดังนั้น?” 

 

 

เป่ยเฉินเสียงขมวดคิ้ว ในใจใคร่ครวญคำพูดต่อ เอ่ยปากว่า “องค์ชายอย่างข้าหวังว่าแม่นางจะมอบตราให้กับข้า แม่นางไม่เคยนำทัพมา คนในใต้หล้านี้ก็ไม่ได้ยินชื่อเสียงของแม่นางมาก่อน คาดว่าแม่นางถือตราพยัคฆ์ไว้ แบกภาระหนักแน่น ในใจแม่นางก็คงไม่มั่นใจ ซ้ำยังกดดันเป็นทวีคูณ หากมอบตราพยัคฆ์ให้ข้า สามารถปกป้องชื่อเสียงและความปลอดภัยของแม่นางได้” 

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เยี่ยเม่ยแทบจะเยาะเย้ยออกไปแล้ว 

 

 

ทว่าอย่างไรนางมีนิสัยเฉยชา เพียงแต่เอ่ยปากว่า “ดังนั้นความหมายของท่านคือ ข้าสมควรมีท่าทีหวาดกลัว ไม่มั่นใจในตัวเอง มอบตราพยัคฆ์ให้ท่านโดยไร้เงื่อนไข ถึงกระทั่งสมควรขอบคุณท่านที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้ข้าด้วยหรือ” 

 

 

สรุปแล้วเขาคิดว่าสติปัญญาของนางต่ำแค่ไหน เป็นคนโง่งมถึงเพียงใดกัน 

 

 

เป่ยเฉินเสียงฟังคำพูดของนาง พลันรู้สึกว่าคำพูดของตนคล้ายแสดงความดูแคลนออกอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเห็นผู้อื่นโง่งมเกินไป แต่เรื่องนี้เร่งด่วน เขาก็ไม่คิดแก้ตัว 

 

 

หลังจากขมวดคิ้วแล้ว เอ่ยว่า “ความหมายขององค์ชายอย่างข้าหาใช่ให้แม่นางคืนตราพยัคฆ์ให้โดยไร้เงื่อนไข เพียงหวังว่าแม่นางยอมคืนให้อย่างพร้อมใจ มีเงื่อนไขใดแม่นางเสนอมาได้ ข้าจะพยายามทำให้สมปรารถนา” 

 

 

ทหารชายแดนสองแสนนายนี้ บางทีอาจไม่สำคัญกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่สำคัญกับเขามาก ในมือเขามีทหารสี่แสนนายแล้ว ขอเพียงควบคุมทัพใหญ่อีกสองแสนนายก็เท่ากับว่าตำแหน่งรัชทายาทของเขามั่นคง ต่อให้เป็นเสด็จพ่อยังต้องเกรงใจเขาหลายส่วน  

 

 

คำสัญญานี้ออกจะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว 

 

 

เยี่ยเม่ยหันกลับมามองเขา ประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่ง ถามคำถามที่แทบทำให้เป่ยเฉินเสียงกระอักเลือดออกมาด้วยเสียงเย็นชาข้อหนึ่ง “เงื่อนไขใดก็สามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้? เจ้าคิดว่าตัวเจ้ามีผลประโยชน์อะไรให้ข้าหรือ ข้าที่โดดเด่นเพียบพร้อม มีความปรารถนาใดที่ไม่อาจทำสำเร็จได้ ถึงต้องการให้ท่านช่วยเหลือกัน” 

 

 

 “เจ้า…” เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวคล้ำ กัดฟันเอ่ย “แม่นางหลงตัวเองเกินไปหรือไม่” 

 

 

เยี่ยเม่ยรั้งสายตากลับ น้ำเสียงเฉยเมย “ความเชื่อใจในตัวเองอย่างแรงกล้า เรียกว่าความมั่นใจ หากองค์ชายใหญ่มิได้ร่ำเรียนมาให้ดี สามารถกลับไปตั้งใจอ่านหนังสือ ความแตกต่างระหว่างมั่นใจในตัวเองกับหลงตัวเอง เป็นต้นว่าข้าเข้าใจความสามารถของตนเองอย่างชัดเจนถึงเรียกว่ามีความมั่นใจ องค์ชายใหญ่หลงคิดว่าตัวเองมีความสามารถใหญ่โตและเห็นตัวเองสำคัญเกินไปนั้นเรียกว่าหลงตัวเอง องค์ชายใหญ่ยังต้องการให้ข้ายกตัวอย่างให้อีกไหม”  

 

 

เป่ยเฉินเสียงโมโหหน้าเขียวจนม่วงคล้ำ “เจ้า ข้า…”  

 

 

เยี่ยเม่ยก้าวเท้าไปอย่างไม่ใส่ใจ เดินออกนอกประตูต่อ “เจตนาขององค์ชายใหญ่ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ท่านวางใจได้ ข้ามั่นใจต่อการนำทัพจับศึกมาก จะต้องทำให้ท่านแทบไม่เชื่อแน่ ทำให้ท่านต้องกราบไหว้เลื่อมใส ภายหน้าพบข้าจะต้องนำคนมากมายมาต้อนรับ” 

 

 

เป่ยเฉินเสียงถูกคำพูดของนางทำให้ชะงักจนไม่รู้จะพูดอะไรดี มองแผ่นหลังนาง ถามออกไป “ความหมายของแม่นางคือ คิดจะเป็นศัตรูกับองค์ชายอย่างข้าแล้วหรือ” 

 

 

เยี่ยเม่ยตอบ “หาใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติเป็นศัตรูกับข้า อย่างไรเสียข้าก็เพียบพร้อมเกินไป องค์ชายใหญ่อาจยังไม่มีคุณสมบัตินั้น” 

 

 

 “เจ้า…” เป่ยเฉินเสียงสัมผัสอย่างแท้จริงแล้วว่า ความสามารถในการยั่วโมโหคนของสตรีน่าตายผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแม้แต่น้อย ใบหน้าเขาเขียวคล้ำอยู่สักพักใหญ่ มองแผ่นหลังนางตักเตือน “หวังว่าภายหน้าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่เสียใจในการตัดสินใจของตนวันนี้ อย่าได้คุกเข่าขอร้องให้ข้าละเว้นเจ้าสักครั้งหนึ่ง” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] หลู่ปังเป็นช่างไม้ยอดฝีมือในสมัยโบราณ สำนวนหมายถึง ผู้ที่อ่อนด้อยในด้านนี้แสดงฝีมือเบื้องหน้าผู้ชำนาญ สามารถเทียบกับสำนวนไทยได้ว่าเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน สอนจระเข้ว่ายน้ำ