บทที่ 660 ตระกูลสวรรค์นั้นโหดเหี้ยม

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 658 ตระกูลสวรรค์นั้นโหดเหี้ยม

การทะเลาะวิวาทกันของพ่อแม่ไม่มีผลต่อการแย่งของขวัญให้ตัวเองของลูกๆ เจ้าสองชอบเล่นที่สุดเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปด้านในและคว้ากล่องไม้กล่องหนึ่ง เปิดออกด้านในเป็นไม้ซึ่งเป็นชิ้นๆ เขาแปลกใจว่าเสียหรือไม่แล้วนั่งลงบนพื้นเริ่มเล่นโดยคิดหาวิธีทำให้มันคืนกลับมา

คนอื่นๆเห็นเจ้าสองหยิบไปแล้วก็ไม่เกรงใจกันแล้ว ในไม่ช้าก็หยิบไปจนหมด

ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เดินไปและนำส่วนที่เหลือไปซึ่งนั่นเป็นของเจ้าห้า

ของขวัญนั้นมีไม่น้อยเป็นแน่ แต่คนที่หยิบก่อนก็คงจะเหมือนกันเป็นแน่และเจ้าห้าก็มีมากเสียแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นมอบของขวัญให้กับเจ้าห้าโดยหยิบออกมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งให้อามู่ อีกชิ้นให้เสี่ยวเฉียวซึ่งก็พอดีกันแล้ว

เด็กๆที่รักทั้งหลายรู้สึกว่าเสียเปรียบตัวแล้วจ้องมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้อุ้มเจ้าห้าเล่น

หนานกงเย่เดินไปเดินมาและนั่งลงอย่างจนปัญญาราวกับว่ากินแมลงวันที่ตายไปแล้ว

โกรธก็ส่วนโกรธแต่มองดูฉีเฟยอวิ๋นอย่างสบายใจ

วันเวลาที่ภายนอกนั้นยังคงยากลำบาก

กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆฉีเฟยอวิ๋นก็เอ่ยถึงเรื่องของมู่เหมียนและจวินเซียวเซียว

“เรื่องที่จนถึงตอนนี้มู่เหมียนก็ยังไม่ตั้งครรภ์ซึ่งต้องมีสาเหตุบางอย่าง แต่ข้าตรวจดูร่างกายของมู่เหมียนแล้วก็ไม่เห็นมีปัญหาอันใด ทุกอย่างเป็นปกติ”

“หมายความว่าหวกไม่มีผู้ใดกระทำการก็เป็นปัญหาของฝ่าบาท?”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าหนานกงเย่นั้นเฉลียวฉลาดเพียงใดซึ่งเขาไม่มีทางไม่เข้าใจ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้ากล่าวเนื่องจากไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทหรือเปล่า

หนานกงเย่ลุกขึ้นแล้วออกไปด้านนอกเลยโดยตรง อวิ๋นจิ่นเข้ามาจากด้านนอกเพื่อดูแลเด็กๆทั้งหลาย จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ตามออกไป

คู่สามีภรรยากลับไปถึงสวนดอกกล้วยไม้หงเถายกน้ำชามาให้ หนานกงเย่ยกชามน้ำชาขึ้นดื่มพร้อมทั้งครุ่นคิดเรื่องต่างๆ

ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่รอหนานกงเย่อยู่

รอเป็นเวลานานหนานกงเย่จึงกล่าวว่า: “แต่สายของข้าในวังไม่ได้รายงานเรื่องนี้เลย ไม่น่าจะเป็นสาเหตุจากฝ่าบาท”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ: “ท่านอ๋องจัดคนเอาไว้ในวังหรือ?”

หนานกงเย่หลับตาลงในขณะที่ดื่มชา: “อวิ๋นอวิ๋นอยากถามว่าฝ่าบาททรงรับอวิ๋นอวิ๋นไปรวมถึงขณะที่ข้าไม่อยู่ฝ่าบาทได้ทรงกระทำสิ่งใดบ้างแล้วข้ารู้หรือไม่?”

“…” ฉีเฟยอวิ๋นกลับสูดลมหายใจอันเย็นเข้า รู้ทุกอย่างนี่เอง

“ในเมื่อทราบทุกอย่างแล้ว ท่านอ๋องคิดเช่นไร?”

“หากข้าบอกว่าไม่มีความคิดอวิ๋นอวิ๋นจะเชื่อหรือไม่?”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ตอบเชื่อหรือไม่ก็รู้สึกไม่โล่งใจ ราวกับว่าถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

ขณะที่นางโศกเศร้าเสียใจเองก็เห็นอกเห็นใจอวค์ตักรพรรดิอวี้ตี้ ฝ่าบาทพระองค์หนึ่งถูกคนคอยตามจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ฝ่าบาทเช่นนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อว่า: “กล่าวเช่นนี้เรื่องของพระสนมเอกเซียวท่านก็รู้ด้วยหรือ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“ผู้ใดกระทำ?”

“อวิ๋นอวิ๋นไม่ตรวจสอบเพราะว่าสงสัยผู้ใดหรือ?” ดื่มชาคำหนึ่งแล้วหนานกงเย่ก็วางชามน้ำชาลงและเอนร่างอันโปร่งยาวไปด้านหลังอย่างสบาย พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือของฉีเฟยอวิ๋น

จะกล่าวว่านารีเป็นเหตุก็ไม่เกินจริง

ในเมื่อจวินโม่ซ่างเสนอว่าใช้เมืองอู๋โยวแลกเปลี่ยนกับนาง ในใจของหนานกงเย่นั้นสับสนและจวินโม่ซ่างสมควรตาย!

“ข้าสงสัยฮองเฮาแต่ราชินีอาจจะทรงโยนความผิดให้มู่เหมียนดังนั้นหากว่าสืบสวนเรื่องนี้ก็จะสืบไปจนถึงตัวมู่เหมียน ถึงตอนนั้นท่านไม่อยู่และข้าก็ไม่มีกำลังซึ่งต้องเป็นอันตรายต่อมู่เหมียนเป็นแน่”

“รู้แต่มู่เหมียนข้าว่าเจ้าหลงใหลในเสน่หา” เมื่อหนานกงเย่นึกถึงมู่เหมียนเนื้อตัวก็ชา

หลงใหลในบุรษก็ช่างเถอะแต่สตรีก็ไม่ละเว้น

ฉีเฟยอวิ๋นใบหน้าเย็นชา: “มิเช่นนั้นท่านอ๋องไม่ชนกำแพงจนตายข้านั้นได้ให้คนมาทำความสะอาดตรงหน้าประตูแล้ว”

“ฝันไปเถอะ ข้าก็จะไม่!” หนานกงเย่สีหน้าเย่อหยิ่งจากนั้นยืดขาออกไปวางบนต้นขาของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นคิดที่จะเตะหนานกงเย่ลงไปทีหนึ่ง

แต่เห็นโต๊ะวางแนวนอนอยู่ตรงหน้าจึงได้เพิกเฉย

หนานกงเย่แกว่งเท้า: “นิสัยหยิ่งทะนงของมู่เหมียนเจ้านั้นรู้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่านางจะอิจฉาพระสนมเอกเซียวก็จะไม่ทำร้ายจวินเซียวเซียว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงวิธีการที่ทำให้พระสนมเอกเซียงทรงบรรทมไม่หลับ แม้ว่าจะไม่ได้กระทำสิ่งใดต่อพระสนมเอกเซียวเลยก็เป็นการง่ายที่จะทำร้ายตัวนางเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมู่เหมียนนางดูหมิ่นดแคลน

แม้ว่าฮองเฮาจะทรงมีโอกาสแต่เรื่องราวในครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือของฮองเฮาจริงๆ ”

“ไม่ใช่ฮองเฮา?” ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ!

หนานกงเย่ให้สัญญาณฉีเฟยอวิ๋นไปหา ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นคร้านที่จะสนใจเขา นางก็ไม่ใช่ลูกแมวลูกสุนัข

หนานกงเย่เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ไปหาเขาจึงได้เดินไปหาฉีเฟยอวิ๋นด้วยตนเอง จากนั้นนอนลงบนต้นขาของฉีเฟยอวิ๋นแล้วเงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นถาม: “ใช่ฝ่าบาทหรือไม่?”

“……ข้าคิดว่าอวิ๋นอวิ๋นจะถามข้าว่าใช่พระสนมเอกเซียวหรือไม่!”

มองดูซึ่งกันและกันฉีเฟยอวิ๋นก็ส่ายศีรษะ: “ในเมื่อท่านอ๋องรู้เรื่องราวทุกอย่างในวังก็คงจะรู้ว่าฝ่าบาทมิได้ทรงมาหาข้าแค่ครั้งเดียว?”

“……” หนานกงเย่ไม่ตอบฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ถามอีก สำหรับผู้ที่ฉลาดล้ำลึกและไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดนางจะให้บทเรียนกับเขา

เพียงแต่ว่าเรื่องของมู่เหมียนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการดังนั้นจึงไม่ได้คิดบัญชีกับเขาชั่วคราว

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ลังเลแล้วถามว่า: “เหตุใดถึงได้ถามข้าว่าเป็นพระสนมเอกเซียวหรือไม่?”

“พระสนมเอกเซียวไม่กล้านำร่างกายของนางมาล้อเล่นแต่ฝ่าบาททรงกล้า พระสนมเอกเซียวคลอดบุตรยากฝ่าบาทต้องทรงรักษาเด็กไว้เป็นแน่ แต่อวิ๋นอวิ๋นทำให้พระสนมเอกเซียวผู้เป็นมารดาและลูกสาวปลอดภัย ฝ่าบาทอาจจะทรงรู้สึกผิดหวังนัก”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นตระหนักในทันใดว่า: “ฝ่าบาทไม่ทรงต้องการให้หญิงผู้ใดให้กำเนิดบุตร แม้ว่าจะให้กำเนิดแล้วก็จะถูกอุ้มไปให้ฮองเฮา?”

หนานกงเย่หลับตาลง: “หากเป็นข้าข้าก็จะทำเช่นเดียวกัน เรื่องบางเรื่องได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฝ่าบาททรงปกป้องฮองเฮาหลายครั้งหลายคราและฮองเฮาก็กระทำการวุ่นวายหลายๆคราก็ไม่ใช่ว่าสมองของพระนางจะทรงมีปัญหา

หากว่าไม่มีผู้ใดหนุนหลังก็คงถูกข้าเฉือนเป็นชิ้นๆและสับละเอียดแล้วเป็นแน่

ฝ่าบาททรงสามารถทุบตีข้าได้ยังจะมีสิ่งใดที่ทำไม่ได้อีก

ฮูหยินเสนาบดีแกล้งตาย ฮองเฮาทรงแท้ง

ฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบจริงหรือ? ”

ใจของฉีเฟยอวิ๋นเย็นชาเสียแล้ว เมื่อนึกถึงมู่เหมียนนางก็หัวเราะเล็กน้อยโดยที่รอยยิ้มของนางนั้นช่างเย็นชา หนานกงเย่ลืมตาขึ้นด้วยเสียงหัวเราะของนาง

“เจ้าหัวเราะอันใด?”

“ตระกูลสวรรค์นั้นโหดเหี้ยม!”

หนานกงเย่สีหน้าหมองหม่น: “ฝ่าบาทเพียงแค่ทำเพื่อหญิงที่ทรงรักเท่านั้น”

“พระองค์ทรงทำเพื่อพระองค์เอง พระองค์สามารถทำทุกอย่างเพื่อฮองเฮาได้แต่พระองค์ไม่ควรทำทุกวิถีทางกับหญิงผู้อื่น ฮองเฮาเป็นสตรีแล้วหญิงผู้อื่นมิใช่สตรีหรือ?

พระองค์ทรงรักฮองเฮาหรือ? ข้าไม่รู้สึก กล่าวตามตรงพระองค์ทรงกลัวเสียพระพักตร์ พระองค์ทรงไม่อยากทำลายภาพลักษณ์ในใจของราษฎร พระองค์ทรงไม่ต้องการให้ความพยายามในหลายปีนี้สูญเปล่า

พระองค์ไม่มีผลงานและไม่เคยทรงทำสิ่งใดเพื่อเมืองต้าเหลียงมาก่อนเช่นนั้นพระองค์จึงทรงต้องการจารึกชื่อเสียงที่ดีเอาไว้ แม้ว่าจะทรงเป็นจักรพรรดิผู้อุทิศตน อย่างน้อยผู้คนก็จดจำได้หลังจากที่พระองค์ทรงจากไปว่าเมืองต้าเหลียงมีจักรพรรดิพระองค์หนึ่งซึ่งอุทิศตนให้แก่ฮองเฮาเช่นนี้

ให้ผู้คนรู้สึกว่าพระองค์ยังทรงน่าชื่นชม

จักรพรรดิราชวงศ์หนึ่งเดิมทีก็ควรมีวังหลังและตำหนักมากมายและสาวงามสามพันคน แต่แล้วพระองค์หล่ะ?

คอยเฝ้าดูฮองเฮาผู้เดียว

ยินยอมให้ขุนนางบุ๊นและบู๋ของราชวงศ์โน้มน้าวใจหรือแม้แต่ไทเฮาทรงบังคับผู้อื่น เขาก็ถูกบังคับให้กตัญญูจึงได้แต่งงานกับพระสนมเอกทั้งสองพระนาง เนื่องจากไม่มีผู้สืบทอดเป็นเรื่องใหญ่หลวงและความกตัญญูกตเวทีมาเป็นอันดับแรก

ในท้ายที่สุดเขาก็ได้ลูกสาวคนหนึ่งแต่โชคร้ายที่แม่ของลูกสาวเสียชีวิตไปจึงทำได้เพียงมอบให้กับฮองเฮา

สำหรับส่วนอื่นนั้น……

และจะค่อยๆถูกลืมไป

นี่ก็คือเนื่องจากความรักที่ท่านอ๋องกล่าวหรอกหรือ? ”

“ไม่ใช่ข้าสักหน่อย ตื่นเต้นสิ่งใดกันทำให้คนตกอกตกใจ” หนานกงเย่ลุกขึ้นนั่งโดยที่ในใจเต้นแรงราวกับตีกลองอยู่ตลอด

จู่ๆฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้น: “ในเมื่อท่านอ๋องกลับมาแล้วเรื่องการเรื่องงานนั้นสำคัญ ข้านึกขึ้นมาได้ว่าต้องค้นคว้าตัวยาสองสามอย่างดังนั้นก็จะไม่รบกวนให้ท่านอ๋องอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นก็จากไป ส่วนหนานกงเย่ลงมาจากเตียงแล้ววิ่งตามออกไปราวกับสายลม