เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งเม้มปากอยู่เงียบๆ นัยน์ตาของพระชายาฉีก็ชื้นไปด้วยน้ำตา หลังจากร้องไห้ไปยกใหญ่ เฝิงจิ้งซูกอดเฝิงจิ้งเหวินไว้แน่นแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่ใหญ่ ข้าอยากกลับบ้าน”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินเองก็ร้องไห้จนตาแดงก่ำ พยักหน้าพร้อมพูดว่า “ได้สิ พี่จะพาเจ้ากลับบ้านนะ แต่ว่าพี่มีเรื่องจะพูดกับเจ้าเสียหน่อย”

 

 

เฝิงจิ้งซูพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน “ข้าไม่ขอฟังเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ เรากลับบ้านกันตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าตอบรับ “ได้ๆ เราจะกลับบ้านกันตอนนี้เลยนะ”

 

 

เฝิงจิ้งซูพยักหน้า และพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “พี่โยวเอ๋อร์ รบกวนพี่ช่วยเอาเสื้อผ้าของข้ามาให้ทีเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมา แต่เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกฉู่เหวินเจี๋ยฉีกขาดจนแทบจะเป็นชิ้นๆ ไม่สามารถใช้ปกปิดร่างกายได้อีก

 

 

“ในห้องของข้ามีเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ให้โยวเอ๋อร์แล้ว ข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้” พระชายาฉีเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้แล้วพูดขึ้นพลางเดินออกไป

 

 

หลังจากพระชายาฉีเดินออกไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงแค่เมิ่งเชี่ยนโยวและสองพี่น้องตระกูลเฝิง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้าปากเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า “ซ้อคะ ข้าขออภัยด้วยที่ข้ามิได้ดูแลซูเอ๋อร์ให้ดี”

 

 

เฝิงจิ้งซูพูดด้วยเสียงงัวเงียว่า “เรื่องนี้ไม่อาจโทษเป็นความผิดของพี่โยวเอ๋อร์ได้หรอก เมื่อตอนข้ายังพอมีสติอยู่บ้าง ข้ารู้ตัวนะว่าทำอะไรกับพี่ไว้บ้าง”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเปิดปากถามออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เรื่องนี้มันซับซ้อน อารมณ์ของน้องซูเอ๋อรยังไม่นิ่ง ซ้อพานางกลับบ้านก่อนเถอะ รอถึงตอนกลางคืน ข้ากลับไปรักษาอาการของท่านที่จวน แล้วจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง” แล้วพูดต่อว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ อย่าให้ตระกูลเหวินตงทราบเป็นดีที่สุดนะเจ้าคะ”

 

 

เหวินซื่อและฉู่เหวินเจี๋ยเป็นเพื่อนรักกันมาก หากเขาทราบเรื่องนี้เข้าจะลำบากใจเอาได้ และที่สำคัญเขาคงจะทนไม่ได้ พาลจะต้องโวยวายขึ้นมา ถึงตอนนั้นใครก็ไม่อาจห้ามได้

 

 

เฝิงจิ้งเหวินรู้จักเหวินซื่อดีกว่านาง จึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “รอให้พวกข้ากลับไปก่อน เจ้าค่อยไปบอกพวกท่านว่าพวกข้ากลับไปแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ

 

 

พระชายาฉีได้นำเอาเสื้อผ้าที่ทำไว้มาให้ เมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งเหวินจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เฝิงจิ้งซู และพยุงร่างที่อ่อนแรงของนางเดินไปยังรถม้าด้านนอก

 

 

พระชายาฉีเดินตามมาด้านหลัง รอจนกระทั่งเฝิงจิ้งซูขึ้นรถม้าไปแล้วจึงค่อยกระซิบกับเฝิงจิ้งเหวิน “เหวินฮูหยินว่าหวังว่าท่านจะให้คำตอบรับข้าเรื่องนั้นโดยเร็ว ข้าจะได้จัดเตรียมเรื่องสินสอด”

 

 

เฝิงจิ้งเหวินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นางเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและขึ้นขนรถม้าไป พร้อมกับพยุงเฝิงจิ้งซู และสั่งให้คนม้าส่งพวกนางกลับจวน

 

 

หลังจากพระชายาฉีเห็นรถม้าแล่นออกไปก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงแขนของนางกลับมายังจวน พระชายาฉีไปหาฉู่เหวินเจี๋ย และบอกกับเขาว่าสองสาวตระกูลเฝิงได้กลับไปแล้ว เรื่องที่จะสู่ขอเฝิงจิ้งซูก็ยังไม่ได้ตกลงเรียบร้อย

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยเองก็ได้ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว สายตาของเขาเย็นชา บรรยากาศรอบข้างจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพี่ เมื่อครู่ข้านั่งตรงนี้และคิดได้ว่า วันนี้หลังจากที่ข้าออกจากห้องไป ข้าได้ดื่มเพียงน้ำชาที่คนใช้ในจวนยกมาถวายเท่านั้น เห็นทีว่าจะมีผู้ปองร้าย ใส่ยาลงไปในน้ำชา ทำให้ข้าทำเรื่องชั่วช้าดังสัตว์เดรัจฉานลงไปได้”

 

 

“เมื่อครู่โยวเอ๋อร์ได้บอกพวกเราแล้ว คุณหนูเฝิงก็ได้ดื่มน้ำชาที่สาวใช้นำมาให้ ผู้ที่ทำการวางยานั้นก็ช่างเลวทรามยิ่งนัก มันไม่เพียงแต่วางยาคุณหนูเฝิงเท่านั้น แต่ยังวางยาโยวเอ๋อร์ด้วย แต่สุดท้ายคุณหนูเฝิงเป็นคนดื่มเองทั้งหมด ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงเกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว”

 

 

หลังจากที่นางพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ตกใจจนเหงื่อไหลท่วมตัว ถ้าหากเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ดื่มยานั้นเข้าไปด้วยล่ะก็ เรื่องราวจะเป็นยังไงเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดบรรยากาศรอบตัวดุเดือดขึ้นกว่าเดิม น้ำเสียงของเขาก็แข็งกระด้างจนน่าแปลกใจ “หากวันนี้จับตัวคนที่วางยามาได้ ข้าจะจัดการเองกับมือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง เหวินซื่อเห็นว่านางเดินมาผู้เดียว จึงถามว่า “เหวินเอ๋อร์กับซูเอ๋อร์ล่ะ พวกนางไม่ได้มาด้วยหรือ”

 

 

“ไม่ได้มาด้วยเจ้าค่ะ ซูเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย ซ้อจึงพานางกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“ร้ายแรงหรือไม่ เหตุใดไม่เรียกข้าให้ไปที่ร้านยาเต๋อเหริน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวว่าเขาจะถามมากไปว่านี้ จึงโกหกไปว่า “มิได้เป็นกะไรเจ้าค่ะ เป็นปัญหาของผู้หญิงน่ะค่ะ”

 

 

เหวินซื่อทราบเป็นอย่างดีว่าปัญหาของผู้หญิงหมายถึงอะไร แต่พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกมาตรงๆ ก็ทำเขาหน้าแดงด้วยความเขิน จึงแสร้งเป็นกระแอมและพูดว่า “หากพวกนางกลับกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวล่ะ”

 

 

“ในจวนเกิดเรื่องนิดหน่อยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องกับท่านแม่ทัพต่างกำลังยุ่งอยู่ ให้ข้าไปส่งท่านเถอะ”

 

 

ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องครัว มองเห็นได้จากไกลๆ ว่าเหล่าคนใช้ได้มารวมตัวกันที่หน้าจวนทั้งหมด แม้ว่าเหวินซื่อจะช่างสงสัย แต่เขาก็รู้จักกาลเทศะ รู้ว่าเรื่องใดควรถาม เรื่องใดไม่ควร เขาเพียงชายตามองเพียงนิดเดียวก็ดึงสายตากลับมา เขาเดินตามเมิ่งเชี่ยนเหวินออกจากจวนของพระชายาฉีอย่างเงียบๆ หลังขึ้นรถม้าก็ได้สั่งให้ไปส่งที่ร้านเต๋อเหริน

 

 

หลังจากรถม้าลับตาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ละสายตาและรีบไปรวมตัวกับเหล่าคนใช้ทันที พระชายาฉียังคงมีใบหน้าตึงเครียด สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่สู้ดีนัก ทั้งสองคนกำลังดูพ่อบ้านไต่สวนเหล่าคนใช้

 

 

ทำเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนและพูดว่า “ข้าจำสาวใช้ที่ปล่อยข่าวลวง และนำชามาถวายได้เจ้าค่ะ ท่านช่วยสั่งให้หญิงและชายแยกออกจากกัน ข้าจะขอดูทีละคน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “หญิงชายแยกกันยืนคนละฝั่ง ให้แม่นางเมิ่งดูหน้าทีละคน” เหล่าคนใช้ก็ทำตามคำสั่งทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปทางเหล่าสาวใช้ และพูดว่า “คนใช้และแม่ครัวคนไหนที่อายุเกินสามสิบแล้วเดินออกไป”

 

 

เหล่าสาวใช้ก็พากันเดินกรูออกไป มีเหลืออยู่เพียงแค่สามสี่คนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวนึกถึงใบหน้าของสาวใช้คนนั้นในหัว แล้วเดินไปดูหน้าของสาวใช้ทีละคน ทุกคนต่างมองนางอย่างพร้อมเพรียง มีเพียงสาวใช้ที่เป็นคนก่อเหตุเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าสบตา ยืนตัวสั่นโทนอยู่ตรงนั้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าของนาง แผดเสียงออกไปว่า “เงยหน้าขึ้นมา!”

 

 

สาวใช้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้านางเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนาง และเดินไปดูคนอื่นต่อ สาวใช้คนนั้นลูบอกตัวเองอย่าโล่งอก สาวใช้ที่ทำงานกับนางทุกวันยืนอยู่ข้างๆ เห็นว่านางเหงื่อออกจึงกระซิบถามว่า “เหลียนเซียง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหนหรือ”

 

 

เหลียนเซียงตอบว่า “เห็นท่านอ๋องและซื่อจื่อ มีสีหน้าไม่สู้ดี ข้ารู้สึกกลัวน่ะ”

 

 

สาวใช้ข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย พูดว่า “ข้าก็รู้สึกกลัว ท่านอ๋องและซื่อจื่อนั้นดุร้ายเสียยิ่งกว่าอะไร มิรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันโชคร้ายของผู้ใดกัน” เหลียนเซียงได้ยินแล้วก็ขาอ่อนแรง

 

 

หลังจากพิจารณาดูทุกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวตอบพ่อบ้านไปว่า “คนใช้ในจวนมีเพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ มีใครยังไม่ได้มาหรือเปล่า”

 

 

“มีคนใช้ผู้ชายหนึ่งคนและสาวคนครัวหนึ่งคนไม่ได้มา ข้าส่งคนไปตามหาทั่วจวนแล้วก็ยังไม่พบ” พ่อบ้านตอบด้วยความนอบน้อม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าหาเจอเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น อีกคนคงจะหนีไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเคร่งเครียดขึ้น น้ำเสียงของเขาไม่อ่อนโยนเช่นเคย เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ใคร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา มองไปทางเหลียนเซียง ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัด ทุกคนต่างมองตามสายตานางไป เหลียนเซียงที่รู้สึกได้ว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมาที่ตัวนาง หัวใจที่เพิ่งจะสงบลงก็กลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลงเพื่อมองสาวใช้คนนั้น

 

 

ใบหน้าของอ๋องฉีแสดงความโกรธออกมาถึงขีดสุด แผดเสียงออกไปว่า “เอาตัวมันมานี่!”

 

 

พอสิ้นเสียง ขณะที่ทุกคนยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากความมืด ยกร่างของเหลียนเซียงขึ้น ฉุดกระชากลากดึงร่างไปยังตรงหน้าของอ๋องฉีแล้วโยนเหลียนเซียงลงพื้น จากนั้นก็รีบหลบหายไปในความมืดอีกครั้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนเห็นเพียงแค่มีร่างหนึ่งเดินผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเหลียนเซียงก็ถูกโยนไปยังตรงหน้าอ๋องฉีด้วยความหวาดกลัว แต่สำหรับด้านของเหลียนเซียงนั้น นางยังไม่ทันได้ออกเสียงร้องเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกโยนลงพื้นอย่างโหดร้าย นางเจ็บจนแทบจะเป็นลม ใจเต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นออกมา

 

 

พ่อบ้านเองก็ตกใจจนเหงื่อท่วมเช่นกัน กระทั่งเห็นชัดว่าสาวที่ถูกโยนลงพื้นเป็นเหลียนเซียง เขาก็ตกใจจนแทบจะทรุดลงกับพื้น เหลียนเซียงเป็นข้ารับใช้ที่เพิ่งจะซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ยังไม่ได้อบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี สองสามวันนี้ในจวนเกิดเรื่องขึ้น พระชายาจึงออกคำสั่งให้ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมของจวน เนื่องจากคนใช้ไม่พอ เขาจึงให้สาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาไปช่วยงาน และยังกำชับพวกนางว่าตั้งใจทำงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับการงานอย่างอื่นเด็ดขาด ต่อให้มีคนสั่งให้นางไปช่วยยกถ้วยน้ำชา ก็ห้ามไปยุ่งเด็ดขาด คิดไม่ถึงเลยว่าสาวใช้คนนี้จะสร้างเรื่องวุ่นวายเพียงนี้ขึ้นมาได้

 

 

เหลียนเซียงโดนทุ่มลงพื้นจนมึนงง หลังจากเรียกสติกลับมาได้ ก็มองไปที่อ๋องฉีอย่างตื่นตระหนก

 

 

ท่านอ๋องพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “บอกมา ใครเป็นคนสั่งให้เจ้าทำ”

 

 

เหลียนเซียงรู้สึกหวาดกลัวมาก มือเท้าสั่นไปหมด แม้จะพยายามอ้าปากพูดหลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก

 

 

อ๋องฉีเข้าใจว่านางกำลังปกป้องผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขาโกรธมากจึงยกเท้าขึ้นยันไปกลางอกของเหลียนเซียง “ชักจะกำเริบไปใหญ่แล้วนะ จนป่านนี้แล้วยังจะปากแข็งอีก”

 

 

เหลียนเซียงโดนถีบหงายหลังกลิ้งไปหลายตลบจนคลานไปกับพื้นมีเลือดไหลออกมาจากปากไม่หยุด สาวใช้ที่ขวัญอ่อนทั้งหลายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้วก็ตกใจจนกรีดร้องออกมา ข้าทาสที่เหลือก็ไม่กล้ามอง ต่างพากันหลบสายตาไปทางอื่น ในใจพ่อบ้านก็สั่นเล็กน้อย เหตุการณ์นองเลือดของจวนในวันวานได้ย้อนกลับมาอีกครั้งในวันนี้

 

 

เหลียนเซียงเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น จะมีปัญญารับมือกับแรงเท้าของท่านชายได้อย่างไร หลังจากกระอักเอาเลือดออกมาจำนวนมากแล้ว ก็ฟุบลงไปกับพื้น อาการเป็นตายเท่ากัน สาวใช้และคนครัวต่างก็ตกใจและกรีดร้องดังกว่าเดิม

 

 

อ๋องฉียืนนิ่ง พูดต่ออย่างเย็นชาว่า “เอาน้ำมาราดมันให้ตื่น!”

 

 

องครักษ์ตอบรับ ไม่นานก็แบกน้ำเย็นจัดมาหนึ่งถัง และสาดไปบนตัวของนาง เหลียนเซียงสะดุ้งตื่น นางหนาวจนสั่นสะท้าน อ๋องฉีไม่ได้ใส่ใจนางเลย

 

 

เขาถามอีกครั้งด้วยเสียงโกรธ “บอกมา ว่าใครเป็นคงบงการเจ้า”

 

 

เหลียนเซียงก้มหัวขอร้อง “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด บ่าวมิได้ทำการอันใดเลยเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านอ๋องฉีโกรธมาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้าช่างไม่กลัวตายเสียจริง จนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีก อยากตายนักใช่มั้ย”

 

 

น้ำเสียงน่ากลัวของอ๋องฉีบวกกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นกลัวจนตัวสั่น ต่างยืนชิดกับคนข้างๆ หวังจะให้คนข้างๆ เป็นที่พึ่งได้

 

 

เมื่อครู่เหลียนเซียงถูกถีบเข้าไปกลางอก ก็แทบจะตายแล้ว ตอนนี้ยังมาถูกน้ำเย็นๆ สาดเข้าใส่อีก นางในตอนนี้แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าหากยังถูกลงโทษอีก เห็นทีว่าจะไม่รอดแน่ เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายที่สื่อผ่านสายตา จึงพูดว่า “เสด็จพ่อ เรายังสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ อย่าเพิ่งลงโทษสาวใช้เลยนะขอรับ”

 

 

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในจวนของตัวเอง พื้นที่ที่อยู่ในสายตาของเขาเองแท้ๆ อ๋องฉีพยายามสะกดอารมณ์ไว้ตลอด แต่เมื่อเจอเหลียนเซียงเข้า อารมณ์ดุร้ายที่สะกดไว้ก็ปะทุออกมาจนหมด และถึงแม้ว่าจะถีบเหลียนเซียงจนกระเด็นไปแล้ว ก็ยังไม่ทำให้เขาหายโกรธได้ เขาแทบอดไม่ได้ที่หั่นนางเป็นชิ้นๆ แต่นึกถึงคำที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดแล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองสงบลง และพูดอย่างน่าเกรงขามว่า “ถ้าหากเจ้ายอมพูดความจริงออกมา ข้าสัญญาว่าจะไม่ฉีกศพเจ้าเป็นชิ้นๆ ให้ครอบครัวเจ้ายังนำไปฝังได้ แต่ถ้าหากยังกล้าโกหกอีกล่ะก็ แม้แต่ครอบครัวของเจ้า ข้าก็จะไม่ไว้ชีวิต”

 

 

เหลียนเซียงเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงจากครอบครัวยากจนเท่านั้น ฐานะทางครอบครัวยากจนมาก ก็เลยขายนางมาเป็นทาสรับใช้ในจวนอ๋องฉี แต่นางกลับละโมบเห็นแก่เงินไม่กี่สิบอัฐ จึงทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้ หลังจากได้ยินสิ่งที่อ๋องฉีพูดออกมาแล้ว นางกลัวจนแทบจะเป็นลม รีบก้มหัวขอร้องว่า “โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด มิใช่ว่าข้าน้อยไม่พูดความจริง แต่ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าข้าน้อยทำผิดอะไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหานาง ถามว่า “ข้าถามเจ้า ใครใช้ให้เจ้ายกน้ำชามาให้ข้ากับคุณหนูเฝิง”

 

 

“พี่หลิวเซียงเจ้าค่ะ นางสั่งให้ข้าดักรอที่หน้าเรือนนั่น รอเมื่อพวกท่านมาถึงแล้วก็ให้นำน้ำชาไปให้เจ้าค่ะ” เหลียนเซียงตอบอย่างหวาดกลัว

 

 

“ใครคือหลิวเซียง” เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าถาม

 

 

พ่อบ้านรีบตอบไปว่า “หลิวเซียงก็คือสาวใช้ที่ข้าให้คนไปตามหาขอรับ”

 

 

“นางเป็นคนของเรือนไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ