ราชันเร้นลับ 587 : มิอาจทำความเข้าใจ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 587 : มิอาจทำความเข้าใจ โดย Ink Stone_Fantasy

หรือวิญญาณมารตนนั้นจะเป็นเทวทูตสีชาด เมดีซี ที่รับใช้พระผู้สร้างแท้จริง และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘กุหลาบไถ่บาป’ ?

ไคลน์ปะติดปะข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการคิดย้อนกลับ เพื่อมองหาร่องรอยและเบาะแสของเรื่องราว

หืม… อดีตเจ้าของไพ่นักบวชสีชาดถูกกฎแรงดึงดูดของเส้นทางเดียวกัน นำพาไปยังอาคารโบราณใต้ดิน และเสียชีวิตลงข้างกายทายาทของตระกูลทูดอร์?

หากจำไม่ผิด เราเคยเห็นในฝัน สมัยวิญญาณมารตนนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันสามารถจัดการกับมังกรทรงพลังได้ง่ายดาย…

อีกทั้ง มันมีสูตรโอสถลำดับ 4 ‘หุ่นกระบอก’ หรืออาจสูงกว่านั้นอยู่ในมือ…

ค่อนข้างแน่ชัดว่า มันมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรลับนามกุหลาบไถ่บาป…

โบสถ์หลักที่มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยมหาภัยพิบัติ ก็ยังไม่ทราบว่าบนเกาะบินซี่ในชื่อเก่า หรือเกาะแบนชีในชื่อใหม่ มีทายาทของตระกูลเมดีซีซ่อนตัวอยู่จนกระทั่งไม่กี่วันก่อน แต่วิญญาณมารตนนั้นกลับสามารถระบุได้ชัดเจน…

เจ้านั่นคงเป็นวิญญาณมารของเทวทูตสีชาด เมดีซี… น่าจะใช่… และในเมื่อราชาเทวทูตผู้น่าจะเป็นลำดับ 1 ถูกสังหารโดยฝีมือจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ มีโอกาสมากที่ฝ่ายหลังจะพัฒนาพลังจนมีลำดับสูงกว่า 1… กลายเป็นเทพแท้จริงลำดับ 0 ผู้มิอาจจ้องมองได้โดยตรง…

วิญญาณมารยังเล่าอีกว่า ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ จักรพรรดิมืดแห่งจักรวรรดิโซโลมอน จักรพรรดิโลหิตแห่งจักรวรรดิทูดอร์ และจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ ต่างทำสงครามเพื่อชิงตำแหน่งลำดับ 0 แต่สงครามได้จบลงเมื่อจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ เข้าสู่ภาวะกึ่งฟั่นเฟือน… หมายความว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ ได้เลื่อนลำดับกลายเป็นเทพฟั่นเฟือน?

ไม่เพียงเท่านั้น มิสเตอร์อะซิกยังเคยเขียนอธิบายไว้ในจดหมายว่า เพียงจ้องมองเข้าไปในดวงตาจักรพรรดิโลหิต เขาก็หมดสติไปทันที… ในสมัยนั้น มิสเตอร์อะซิกน่าจะเป็นครึ่งเทพผู้มีลำดับไม่ต่ำกว่า 4… หากจักรพรรดิโลหิตมิใช่เทพแท้จริง ก็คงไม่มีคำอธิบายใดอีกแล้ว…

ในจดหมาย มิสเตอร์อะซิกยังเขียนอธิบายเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดิมืด’ ตัวจริงที่กลับมาจากการคืนชีพ โดยอีกฝ่ายนั่งบนบัลลังก์ยักษ์ ก้มมองโลกทั้งใบอย่างเหยียดหยัน… หากสามารถคืนชีพได้จริง จักรพรรดิมืดคนดังกล่าว คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากลำดับ 0… จึงหมายความว่า สงครามสี่จักรพรรดิในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่มีระดับสูงกว่าจินตนาการเดิมของเรามาก มิได้เป็นแค่การช่วงชิงลำดับ 0 ของเหล่าลำดับ 1 อีกแล้ว…

ไคลน์ปะติดปะต่อเรื่องราวพร้อมกับมองประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่ในมุมใหม่

แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มผุดคำถามอีกหลายข้อ

หากวิญญาณมารตนดังกล่าวคือราชาเทวทูต เมดีซี ตัวจริง เหตุใดถึงถูกผนึกในซากอาคารโบราณใต้ดินซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์?

ทำไมบัลลังก์ภายในนั้นถึงมีสองที่นั่งเสมอกัน? เทวรูปของหกเทพจารีตเกี่ยวพันอย่างไร?

จักรพรรดิโลหิตกึ่งฟั่นเฟือนลงมือสังหารเทวทูตสีชาดไปเพื่อสิ่งใด? หลังจากกลายเป็นลำดับ 0 เขาอยู่บนเส้นทางไหน? ตัดเส้นทางจักรพรรดิมืดทิ้งไปได้เลย…

คงไม่ใช่เส้นทางนักบวชสีชาดหรอกใช่ไหม… หรือว่าการฆ่าเทวทูตสีชาด ก็เพื่อช่วงชิงตะกอนพลังลำดับ 1 ของเส้นทางนักบวชสีชาดมาครอง…?

แต่เส้นทางนักบวชสีชาดและจักรพรรดิมืดมิได้อยู่บนสายเดียวกัน… ไม่สามารถสลับไปมาได้ เราค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ เพราะนักบวชสีชาดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเส้นทางแม่มด…

หืม… ถ้าจำไม่ผิด หัวหน้าเคยเล่าว่า การดื่มโอสถข้ามเส้นทางไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยความตายเสมอไป อาจตกอยู่ในภาวะฟั่นเฟือน กลายเป็นคนบ้าสุดแสนทรงพลัง…

สอดคล้องกับคำอธิบายของจักรพรรดิโลหิต!

หรือว่า… เมื่ออสิสต้า·ทูดอร์หมดหวังที่จะได้เป็นเทพบนเส้นทางจักรพรรดิมืดหรือใกล้เคียง เขาจึงเลือกเดินบนเส้นทางอันบ้าบิ่น ยอมแลกมากับภาวะกึ่งฟั่นเฟือน ยอมดื่มโอสถลำดับ 0 ของเส้นทางอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง…

แต่นั่นก็ยังมีข้อสงสัย… ก่อนจะกลายเป็นลำดับ 0 นักบวชสีชาด อลิสต้า·ทูดอร์ยังเป็นเพียงลำดับ 1 เทียบเท่าเมดีซี ไม่น่าจะฆ่าอีกฝ่ายเพื่อช่วงชิงตะกอนพลังมาได้… นอกเสียจากจะมีใครยื่นมือเข้าช่วย และผู้ช่วยต้องมีพลังอย่างน้อยลำดับ 1… หรือบางทีอาจเป็นลำดับ 0…

คิดมาถึงจุดนี้ ภาพของเทวรูปของหกเทพจารีตในอาคารโบราณใต้ดิน ผุดขึ้นมาในความทรงจำไคลน์

เทวรูปเทพธิดารัตติกาลกำลังนอนหนุนจันทราต่างหมอน พระแม่ธรณีกำลังอุ้มทารก เทพวายุสลาตันมีพายุสายฟ้ารายล้อม เทพสุริยันเจิดจรัสผู้หล่อเหลาและแข็งแกร่ง… เทพสงครามบนบัลลังก์ใหญ่ เทพปัญญาความรู้สวมชุดคลุมทรงโบราณ มองลอดออกจากผ้าด้วยดวงตาแสนเย็นชา

ร่างกายไคลน์เริ่มสั่นเทา

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังจำได้แม่น ตามประวัติศาสตร์แล้ว หกเทพจารีตคอยหนุนหลังจักรวรรดิทรันซอสต์ มีใช่ฝ่ายทูดอร์ โดยในภายหลัง ทรันซอสต์คือผู้ชนะสุดท้ายในสงครามทวีปเหนือ และตระกูลขุนนางที่คอยสนับสนุนได้กระจัดกระจายออกไปปกครองอาณาจักรต่าง ๆ บนทวีป ไม่ว่าจะเป็นไอน์ฮอร์น ออกัสตัส เซารอน หรือกาสตีญ่า

ยิ่งได้รับข้อมูลของยุคสมัยที่สี่เพิ่มมากเท่าไร เราก็ยิ่งทวีความสับสนและหวาดกลัว…

ไคลน์ถอนหายใจยาว

“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” อะซิก·อายเกสสังเกตเห็นอาการชะงักของ ‘ลูกศิษย์’

ไคลน์ตอบอย่างเป็นกันเอง

“ผมแค่นึกสงสัย ในเมื่อเทวทูตสีชาด เมดีซี ร่วงหล่นด้วยฝีมือของจักรพรรดิโลหิตตั้งแต่หลายพันปีก่อน แล้วใครกันที่เป็น ‘เทพสภาพอากาศ’ ซึ่งชนพื้นเมืองบนเกาะแบนชีกราบไหว้บูชามาตลอด ความผิดปรกติของพวกเขามาจากสิ่งใด…”

เล่าถึงตรงนี้ ไคลน์ชะงักเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองท่าแบนชีผิดไปจากสามัญสำนึกของตนมาก

มันเคยคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังความพิสดารบนเกาะคือเทวทูตสีชาด เมดีซี แต่เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายร่วงหล่นเมื่อนานมาแล้ว สาเหตุของเรื่องราวจึงยิ่งทวีความคลุมเครือ

ความผิดปรกติในภัตตาคารมะนาวและสำนักงานโทรเลขยิ่งถูกหมอกดำปกคลุมจนยากจะคาดเดาเบื้องหลัง หากไม่มีข้อมูลอื่นเพิ่มเติม ก็คงมิอาจคาดเดาอะไรได้มากกว่านี้

ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น

การที่วิญญาณมารบอกใบ้ข้อมูลเมืองบินซี่ให้เราและชารอนฟัง เป็นแผนของมันมาตั้งแต่แรก? การบุกถล่มของโบสถ์วายุสลาตันช่วยให้มันหลุดพ้นจากผนึก? ควรเล่าให้มิสเตอร์อะซิกฟังดีไหม แล้วถามความเห็นจากเขา…

ก่อนอื่น คงต้องให้มิสเมจิกเชี่ยนช่วยจับตามองความผิดปรกติในละแวกใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง หากไม่พบ ไว้กลับไปยังกรุงเบ็คลันด์เมื่อไร เราค่อยติดต่อมาดามชารอนและถามความเห็นจากเธอ ว่าควรปรึกษามิสเตอร์อะซิกหรือไม่… ในเมื่อสำรวจอาคารใต้ดินมาด้วยกัน ก็ควรรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย แต่ถ้าเกิดความผิดปรกติขึ้น ถึงตอนนั้นก็ต้องรีบตัดสินใจ… ไคลน์วางแผน

ได้ยินคำถาม อะซิกตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ผมคิดว่าคุณไม่ควรเป็นกังวลกับเรื่องนั้นมากเกินไป เบาะแสเกือบทั้งหมดถูกฝังกลบโดยฝีมือโบสถ์วายุสลาตันเรียบร้อยแล้ว หากพยายามขุดคุ้ย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แม้คุณจะกลายเป็นระดับเทวทูต แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้รอดจากการร่วงหล่น ถ้าเผลอไปล้ำเส้นใครบางคนเข้า”

ในโลกของเวทมนตร์และศาสตร์เร้นลับ ความอยากรู้อยากเห็นมักนำพาไปสู่ความตายเสมอ…

ไคลน์ครุ่นคิดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนเคยพบเจอในอดีต

มันหันไปพูดโดยไม่สนใจประเด็นเดิม

“มิสเตอร์อะซิก ผมมีผู้ส่งสารส่วนตัวแล้ว”

“เร็วกว่าที่ผมคิดไว้มาก” อะซิกยิ้มและตอบ

ไคลน์อธิบายอย่างคร่าวว่าตนดัดแปลงคาถาในส่วนใด ประกอบพิธีกรรมอย่างไร และพบกับสิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณที่น่าทึ่งได้อย่างไร

“ในพิธีกรรมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณ หากไม่ใช่เส้นทางที่ชำนาญโดยเฉพาะ เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำ ต้องลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสี่ยงต่อการเผชิญอันตราย และถึงคุณจะกำชับด้วยนิยาม ‘เป็นมิตร’ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ บางที สิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ถูกอัญเชิญออกมาอาจไม่มีเจตนาทำร้ายคุณ แต่ออร่าของมันจะเปลี่ยนให้คุณกลายเป็นก้อนเนื้อในพริบตา” หลังจากอะซิกฟังไคลน์เล่าถึงคาถาที่นิยามว่า ‘ว่องไวเหนือจินตนาการ’ ‘ไม่ตกเป็นเหยื่อของนักล่า’ และ ‘ทนมือทนเท้า’ มันกล่าวตักเตือน พลางยิ้มและซักถามต่อไปในสิ่งที่กำลังคาใจ “แล้วสรุปว่า คุณอัญเชิญสำเร็จด้วยนิยามใด?”

ไคลน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“ผมเปลี่ยนประโยคสุดท้ายเป็น ‘ยินยอมที่จะเป็นผู้ส่งสารของข้า’ ”

อะซิกผงะเล็กน้อย มองไปทางไคลน์ด้วยสีหน้าเคลือบแคลง

“เป็นนิยามที่กว้างเกินไป โดยปรกติแล้ว มันไม่ควรประสบความสำเร็จ…”

“ผมอาจโชคดีเป็นพิเศษ” ไคลน์อธิบายรูปลักษณ์ของผู้ส่งสาร โดยไม่ลืมเล่าว่า อีกฝ่ายต้องการเหรียญทองทุกครั้งที่ทำงาน

อะซิกใคร่ครวญสักพัก

“ผมไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตวิญญาณดังกล่าว แต่ไม่ต้องกังวล ในเมื่อพันธสัญญาเสร็จสิ้นและมีโลกแห่งความตายเป็นสักขีพยาน เธอไม่มีทางทำร้ายคุณได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท จนกว่าจะทราบรายละเอียดอีกฝ่ายดีกว่านี้ ไม่ควรใช้ทำอย่างอื่นนอกจากส่งจดหมาย”

“ครับ” ไคลน์ต้องการจะตอบกลับไปว่า ตนไม่เคยใช้งานผู้ส่งสารในรูปแบบอื่นนอกจากส่งจดหมายอยู่แล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ขณะต่อสู้กับมิสเตอร์ A ในยามที่ใช้ผู้ส่งสารของอีกฝ่ายเป็นกำบัง

ความเงียบงันครอบงำห้องนอนสักพัก ก่อนที่ไคลน์จะตัดสินใจวกกลับไปยังประเด็นหลัก

“มิสเตอร์อะซิก พวกเราจะบุกไปยังกาฬมรณะตอนไหน?”

ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน ยิ่งมีโอกาสที่เส้นผมและกระดุมของตนจะถูกเก็บกวาดหลังจากการทำความสะอาดประจำวัน

“เดี๋ยวนี้” อะซิกยืนขึ้น สวมหมวก

ไคลน์รีบแต่งตัว เตรียมหาข้ออ้างเข้าห้องน้ำ เพื่อทำนายถึงระดับอันตรายบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่อะซิก·อายเกสได้จับบ่าชายหนุ่มและพาเข้าสู่โลกวิญญาณโดยไม่ให้ตั้งตัว

หลังจากชั้นของสีสันอันฉูดฉาดซ้อนทับเต็มทัศนวิสัย ไคลน์ได้ยินเสียงอะซิกกำชับ

“ไปกันเถอะ”

ไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ… คุณควรทำนายยืนยันอันตรายเสียก่อน… ไม่สิ เขาอาจมีวิธีประเมินความเสี่ยงในแบบฉบับตัวเอง…

ไคลน์พึมพำเงียบงัน หยิบไม้ค้ำ ทำนายระบุพิกัดสิ่งของที่ตนเหลือทิ้งไว้

ไม้ค้ำเริ่มออกบิน หมุนควงและพุ่งไปด้านหน้า

อะซิกบินตามไคลน์ไม่ห่าง สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง

ใช้เวลาไม่นาน ไม้ค้ำเนื้อแข็งสีดำพลันหยุดนิ่งในจุดหนึ่ง ด้านหน้ายังคงเป็นทัศนียภาพของสีดำผสมผสานของสีสันฉูดฉาดเช่นเคย

ประเมินจากภาพเชิงสัญลักษณ์รอบตัว ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงเค้าลางของกาฬมรณะ

อะซิกหยุดบิน กล่าวเสียงเคร่งขรึม

“ดวงวิญญาณที่นี่บอกกับผมว่า ข้างนอกมีอันตรายรออยู่”

อันตราย? คนอย่างมิสเตอร์อะซิกพูดว่าอันตราย? สตรีแห่งโรคภัยติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครบางคนแล้ว?

หัวกะทิจากนิกายแม่มด?

ไคลน์ขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มเชื่อในการประเมินของอะซิก เนื่องจากลำดับ 7 บนเส้นทางมรณาคือ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ที่สามารถคุยกับวิญญาณ เมื่อยกระดับตัวตนไปถึงครึ่งเทพ พลังดังกล่าวคงพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก

อะซิกหลับตาลงสองวินาที ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งและหันมาพูด

“…ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไปกันเถอะ”

ไม่ใช่ปัญหาใหญ่… สำหรับคุณคนเดียวน่ะสิ!

ไคลน์รำพัน ตัดสินใจแปลงโฉม

กันไว้ดีกว่าแก้ หากแผนการคราวนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าและต้องหลบหนีเยี่ยงสุนัข เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครจำหน้าจริงได้!

เพียงพริบตา ใบหน้าไคลน์กลายเป็นบุรุษคางเหลี่ยม ดวงตาสีเขียวเข้มเย็นชา ด้านหลังศีรษะมีกระจุกผมถูกรวบมัด

ชายหนุ่มแปลงโฉมเป็นอดีตเจ้าของยุบพองหิวโหย พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์!

อะซิกชำเลืองเล็กน้อย ทันใดนั้น ฉากนั้นรอบตัวคนทั้งสองพลันดำดิ่ง สีสันฉูดฉาดบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

ถัดมาไม่นาน ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องกัปตันเรือของเทรซี่

โจรสลัดสาวสวมเชิ้ตสีขาวตัวใหม่ ไหล่ซ้ายมีร่องรอยการพันผ้าปฐมพยาบาลชัดเจน ผมเกล้ามวยขึ้นไปข้างบน มิได้ปล่อยลงมาอย่างสง่างามและทรงเสน่ห์

แม้จะเผชิญหน้าผู้บุกรุกอย่างกะทันหัน แต่หญิงสาวกลับมิได้เผยความตื่นตระหนักแม้แต่เศษเสี้ยว กระทั่งส่งยิ้มตอบ

ทันใดนั้น น้ำเสียงอันงดงามของสตรีที่มิอาจระบุตำแหน่งได้ชัดเจน พลันกังวานจากทุกทิศ

“เป็นคุณเองหรือ”

……………………