‘สิ่งนั้น’มีความสูงเพียงแค่สามฟุต ที่ศรีษะมีหมวกสานด้วยไม้ไผ่ปิดอยู่ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ทั้งหมด ร่างกายถูกปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงแขนขาเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น..
ที่ต้องเรียกว่า‘สิ่งนั้น’ เพราะมันดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นท่าทางการเดิน ที่บางครั้งก็คลานสี่ขาคล้ายสุนัข แต่บางครั้งก็ใช้มือทั้งสองข้างเดินแทนขา ดูคล้ายกับว่ามันไม่รู้จักการเดินด้วยซ้ำไป หรือไม่ก็ไม่สนใจว่าควรต้องเดินเช่นไร
และเพียงแค่ได้เห็นแขนขาของมันก็ทำให้ผู้คนธรรมดาทั่วไปถึงกับต้องตระหนกตกใจ และหวาดกลัวได้แล้ว นั่นเพราะแขนขาของมันนั้นมีรูปร่างคล้ายคลึงกับแขนขาของมนุษย์ก็จริง แต่เล็บทั้งสิบของมันกลับงอกยาวออกมาอย่างน่ากลัว ฝ่าเท้าและฝ่ามือนั้นก็ดูเหมือนจะด้านจนไร้ความรู้สึก อีกทั้งยังแห้ง และแตกระแหงเป็นทางราวกับเปลือกไม้ที่แห้งผากมานานหลายปี
และสิ่งนั้นก็กำลังเดินอยู่อย่างเงียบๆ!
แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือทุกที่ที่สิ่งนั้นเดินผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ หรือว่าต้นหญ้า ทุกอย่างล้วนแล้วแต่คล้ายกลับถูกดูดน้ำออกไปทันที ดอกไม้ที่เคยบานสะพรั่งกลับแห้งเหี่ยว ใบไม้ และหญ้าสีเขียวก็กลับกลายเป็นสีเหลืองแห้งกรอบ แม้แต่พื้นดินที่ชุ่มฉ่ำและเพิ่งผ่านสายฝนมา ก็ถึงกับแห้งผากกลายเป็นพื้นดินที่แตกระแหงไปในทันที
ในยามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ร่างกำยำสูงใหญ่นั้นสวมชุดนักบวชสีเหลือง ในมือถือกระบี่ยาว ที่ข้อมือมีแส้แขวนไว้ สีหน้าของเขานั้นไร้อารมณ์ความรู้สึก และกำลังเดินนำสิ่งนั้นออกมาจากป่าทึบที่มืดสนิท ใครก็ตามหากเผอิญได้พบเห็นทั้งคู่ ก็คงต้องขนหัวลุกอย่างแน่นอน!
ทั้งคู่ต่างก็เดินลงเขาไปท่ามกลางความมืดมิดและจุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คือบ้านเลขที่-1 ซึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่เวลานี้..
สีหน้าของนักบวชผู้นี้ดูเคร่งขรึมยิ่งนักและเท้าของเขาก็ก้าวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่อยู่ด้านหลังของนักบวชนั้น ก็ตามมาติดๆโดยไม่คลาดกันแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อเข้าใกล้บ้านเลขที่-1ในระยะห้าสิบเมตร นักบวชเต๋าผู้นี้จึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง จากนั้นจึงเหลือบตามองลงไปที่พื้นด้านล่างของตนเองพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“สวรรค์เมตตา..”
แล้วนักบวชหน้าตาเคร่งขรึมผู้นี้ก็เลื่อนแส้ที่ข้อมือมาห้อยไว้ที่ข้อศอกแทนแล้วจึงยกฝ่ามือข้างซ้ายขึ้นตีกลองในมือขวาเบาๆ
ตึง..ตึง..
เสียงกลองนั้นไม่ได้ดังมากนักและดูเหมือนจะได้ยินไปไกลเพียงแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้น แต่เสียงกลองนี้จะทำให้การต่อสู้ภายในบ้านเลขที่-1 พลิกผันอย่างทันตา!
เวลานี้ไป๋เซียนเอ๋อกำลังต่อสู้อยู่กับซือกงวู่จี๋..
ซือกงวู่จี๋นั้นแข็งแกร่งอย่างมากแม้ว่าเขาจะไม่มียอดฝีมืออีกสามคนคอยช่วย เขาก็สามารถรับมือไป๋เซียนเอ๋อได้โดยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ดูเหมือนว่าหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆและหากไม่มีกำลังเสริมจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในตอนนี้ ต่อให้ทั้งคู่ประมือกันจนถึงรุ่งเช้า ก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ และผู้ใดจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ครั้งนี้ซือกงวู่จี๋ไม่ได้จู่โจมแบบรุนแรงเอาเป็นเอาตายเหมือนก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่เป็นฝ่ายรับมือเท่านั้น ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของซือกงวู่จี๋นั้นอ่อนพลิ้วราวกับสายน้ำ และครั้งใดหากไม่สามารถหลบการจู่โจมของไป๋เซียนเอ๋อได้จริงๆ เขาจึงจะจู่โจมกลับบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่ไป๋เซียนเอ๋อกลับเป็นฝ่ายที่เร่งรัดขึ้นเรื่อยๆนางพยายามเร่งมือเพื่อจะจัดการกับซือกงวู่จี๋ให้ได้โดยเร็วที่สุด สีหน้าของไป๋เซียนเอ๋อนั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ ดวงตาคู่งามนั้นบ่งบอกว่ากำลังกังวลใจอย่างที่สุด เรียกว่าถึงขั้นหวาดกลัวเลยก็ได้..
นั่นเพราะธรรมชาติของสัตว์นั้นเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังเข้าใกล้ศัตรูของตนเอง หรือสัมผัสได้ถึงอันตรายที่น่ากลัว สัญชาติญาณของมันก็จะรนรานหวาดกลัวขึ้นมาทันที!
ไป๋เซียนเอ๋อไม่ได้หวาดกลัวซือกงวู่จี๋ก่อนที่ฉินตงเฉี่วยจะมาถึง นางยังไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยเมื่อครั้งต้องประมือกับยอดฝีมือทั้งสี่คน!
แต่ท่าทางหวาดกลัวของไป๋เซียนเอ๋อเวลานี้เป็นเพราะนางสัมผัสได้ถึงศัตรูที่แข็งแกร่งของตนเองซึ่งกำลังจะปรากฏตัว!
และศัตรูที่น่ากลัวของสุนัขจิ้งจอกเก้าหางนั้นแน่นอนว่าจะต้องเป็นปีศาจภัยแล้ง!
ไป๋เซียนเอ๋อกับปีศาจภัยแล้งไม่เพียงเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติแต่ยังเป็นศัตรูที่จ้องสังหารกันอย่างเอาเป็นเอาตายอีกด้วย!
แต่นับจากที่ไป๋เซียนเอ๋องอกหางที่สามแล้วและได้ตามหลิงหยุนไปกลายร่างที่เกาะเตียวหยู หลังจากนั้นก็ได้ฝึกฝนอยู่ที่บ้านของหลิงหยุนอยู่นาน ขั้นของนางจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว การจะเอาชนะปีศาจภัยแล้งจึงเป็นเรื่องที่นางสามารถทำได้ นางจึงไม่ได้หวาดกลัวปีศาจภัยแล้งมากนัก..
แต่อันตรายรุนแรงที่นางสัมผัสได้นั้นไม่เพียงมาจากปีศาจภัยแล้ง แต่ยังมาจากคนผู้หนึ่งด้วย..
ดังนั้น..ไป๋เซียนเอ๋อจึงต้องรีบเร่งสังหารซือกงวู่จี๋ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่นางจะได้จัดการกับอันตรายที่กำลังจะมาถึงได้..
แต่ดูเหมือนซือกงวู่จี๋จะอ่านความคิดของไป๋เซียนเอ๋อออกเช่นกันเขาจึงจงใจไม่จู่โจมไป๋เซียนเอ๋อ แต่กลับพยายามใช้วิชารอยเท้ามารของตนเองหลบหลีกนางมาโดยตลอด
ซือกงวู่จี๋ทำเช่นนั้นเพื่อรอคอย..เขากำลังรอคอยบุคคลที่กำลังจะปรากฏตัว และรอคอยให้คนผู้นี้เป็นฝ่ายลงมือ!
ซือกงวู่จี๋รู้แม้กระทั่งฐานะของคนผู้นี้ว่าเขาเป็นนักบวชและเป็นพี่ใหญ่ของเหล่าศิษย์บนเขาหลงหู่นามว่าเลี่ยยื่อ และเขาก็รู้เหตุผลที่นักบวชเลี่ยยื่อมาในคืนนี้ดี!
นักบวชเลี่ยยื่อผู้นี้มาบ้านเลขที่-1เพื่อสังหารไป๋เซียนเอ๋อซึ่งนับว่าเก่งกาจที่สุดในบ้านหลังนี้!
และทันทีที่เสียงกลองดังขึ้นไป๋เซียนเอ๋อก็ได้ยินทันทีเช่นกัน!
เสียงกลองนั้นนับว่าเบามากและยอดฝีมือที่อยู่ในบ้านต่างก็ได้ยินเช่นกัน เพียงแต่เสียงกลองนั้นไม่มีผลใดๆต่อพวกเขา อย่างมากก็เป็นแค่การประกาศว่ามีคนเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง..
แต่เสียงกลองนี้กลับมีผลกับไป๋เซียนเอ๋ออย่างที่สุด!เสียงกลองนั้นไม่ต่างจากเสียงอสุสีบาตรที่ฟาดลงมาจากฟากฟ้า!
ไป๋เซียนเอ๋อกำลังไล่ล่าและจู่โจมซือกงวู่จี๋อยู่แต่เมื่อได้ยินเสียงกลองดังตึงๆขึ้น นางก็รู้สึกราวกับว่าศรีษะกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ และเสียงดังตึงๆแต่ละครั้งนั้น ก็ไม่ต่างจากค้อนหนัก หรือของแหลมที่ทิ่มแทงไป๋เซียนเอ๋อ
และไป๋เซียนเอ๋อก็มีอาการคล้ายกับคนได้รับบาดเจ็บจู่ๆ ร่างที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนั้นก็เคลื่อนไหวได้ช้าลงจนแทบหยุดชะงัก และใบหน้าก็เริ่มซีดขาว!
ตึง..ตึง.. ตึง…ไอลีนโนเวล.
เสียงกลองยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางศรีษะ และใบหูของไป๋เซียนเอ๋อ หัวใจของนางเต้นแรง และดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงภายในร่างกายจะสูญสิ้นลงไปทันที อีกทั้งร่างกายของนางก็กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และกำลังขดงอเข้าหากันด้วยความหวาดกลัว!
“เซียนเอ๋อ!”
ฉินตงเฉี่วยเอวก็ได้ยินเสียงกลองและเมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติของไป๋เซียนเอ๋อ จึงได้แต่ตกใจ!
ฉินตงเฉี่วยไม่ลังเลที่จะฟาดฟันใส่เฉี่วยหยิงกงอีกสามดาบเพื่อให้อีกฝ่ายล่าถอยออกไป จากนั้นจึงใช้มังกรพรางร่างพุ่งเข้าไปหาเซียนเอ๋อทันที!
ฉินตงเฉี่วยที่ว่าเร็วแล้วยังช้ากว่าซือกงวู่จี๋!
ซือกงวู่จี๋ที่รอโอกาสนี้อยู่รีบใช้รอยเท้ามารพุ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าไป๋เซียนเอ๋ออย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงชกหมัดเข้าไปที่หน้าอกของไป๋เซียนเอ๋อทันที!
ไป๋เซียนเอ๋อยกมือขึ้นขึ้นป้องกันตำแหน่งหัวใจไว้และรีบใช้พละกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมด ดิ้นหนีหลบหมัดของซือกงวู่จี๋ทันที!
ตึง..
แต่จังหวะนั้นเสียงกลองก็ดังขึ้นอีกครั้งร่างของไป๋เซียนเอ๋อถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และไม่สามารถหลบหนีหมัดที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงและรวดเร็วของซือกงวู่จี๋ได้อีก
ปัง!
หมัดของซือกงวู่จี๋ชกโดนไหล่ขวาของไป๋เซียนเอ๋ออย่างแรงและร่างของไป๋เซียนเอ๋อก็ลอยละลิ่วออกไปกลางอากาศทันที!
“เซียนเอ๋อ!”
ฉินตงเฉี่วยร้องอุทานออกมาเสียงดังและรีบพุ่งเข้าไปขวางหน้าซือกงวู่จี๋ไว้ เวลานี้นางทั้งเศร้าโศก และโกรธแค้น กลิ่นอายสังหารในตัวนางจึงพวยพุ่งถึงขีดสุด ฉินตงเฉี่วยใช้เพลงกระบี่นวสังหาร และพลังทั้งหมดที่มีเข้าสังหารซือกงวู่จี๋ทันที!
นวสังหาร!
จู่ๆไป๋เซียนเอ๋อก็ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ฉินตงเฉี่วยจึงต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของทุกคน และไม่สามารถปล่อยให้ไป๋เซียนเอ๋อตกไปอยู่ในมือของซือกงวู่จี๋ได้
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
ซือกงวู่จี๋ไม่ไล่ตามไป๋เซียนเอ๋อไปและหัวเราะออกมาในขณะที่หลบเพลงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งของฉินตงเฉี่วย!
“น้องเซียนเอ๋อ!”
หนิงหลิงยู่ไม่ปล่อยให้ร่างของไป๋เซียนเอ๋อตกกระแทกพื้นเธอกระโดดออกไปรับร่างของไป๋เซียนเอ๋อไว้ในอ้อมแขนทันที และค่อยๆ พาร่างของนางกลับลงมารวมอยู่ในกลุ่ม..
หลังจากที่บุกจู่โจมซือกงวู่จี๋จนล่าถอยไปแล้วฉินตงเฉี่วยก็รีบกระโดดเข้าไปหาไป๋เซียนเอ๋อ และโน้มตัวลงไปโอบร่างของนางไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับร้องตะโกนถามออกไป..
“เซียนเอ๋อ..เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า จู่ๆ ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
พรึบ..พรึบ..
พอลกับเจสเตอร์เองเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ก็หยุดการต่อสู้ และบินกลับมารวมกับทุกคนพร้อมกับสยายปีกปกป้องทุกคนไว้..
ในที่สุดไป๋เซียนเอ๋อก็กระอักเลือดออกมาใบหน้าของนางซีดขาว ดวงตาเหม่อลอย ไป๋เซียนเอ๋อจ้องมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดเสียเบา..
“กลอง..กลองนั่น..”
ไป๋เซียนเอ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัสจากากรถูกหมัดของซือกงวู่จี๋เข้าไปเต็มๆแต่เพราะนางสวมชุดผ้าแพรไหมดำ และได้ใช้ยันต์เพชร และยันต์เกราะปกป้องร่างกายไว้ถึงสองชั้น อาการบาดเจ็บของนางจึงยังไม่ถึงขั้นอันตราย
และศัตรูที่ร้ายกาจของไป๋เซียนเอ๋อก็คือเสียงกลอง..
“อะไรนะ!”
ฉินตงเฉี่วยลุกขึ้นยืนด้วยความเคียดแค้นดวงตาคู่งามนั้นรื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อมองเห็นร่างสองร่างปรากฏขึ้น..
ตึง..
เสียงกลองดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ถังเมิ่งกับเกาเฉินเฉินต่างก็สังเกตเห็นว่า ทันทีที่เสียงกลองดังขึ้น ไป๋เซียนเอ๋อจะมีท่าทีหวาดกลัว และกระอักออกมาเป็นเลือด!
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
ซือกงวู่จี๋เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะออกมาเสียงดังแต่แล้วจุ่ๆ ก็หยุดหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“กลองสะบัดมารของเขาหลงหู่นับว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ!แต่ท่านนักบวชเลี่ยยื่อ ดูเหมือนท่านจะเป็นนกรู้ จึงได้ออกมาเอาป่านนี้..”
“สวรรค์เมตตา..”
นักบวชผู้นี้สาธยายมนต์มาตลอดเส้นทางและไม่สนใจซือกงวู่จี๋พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“ศิษย์เขาหลงหู่ล้วนแล้วแต่เป็นนักบวชและที่ข้ามาคืนนี้ก็เพื่อสังหารปีศาจเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกับพรรคมารของท่าน!”
ซือกงวู่จี๋ไม่สนใจคำพูดของนักบวชเลี่ยยื่อเขากระโดดไปยืนด้านข้างของบ้าน และพูดยิ้มๆ
“เชิญท่านตามสบาย..คืนนี้พวกเราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน!”
ด้วยความแข็งแกร่งของซือกงวู่จี๋หากไป๋เซียนเอ๋อถูกกำจัดไปเสียคน ที่เหลือก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา..
จากนั้น..ซือกงวู่จี๋ก็เหลือบมองไปทางห้องเก้บของเล็กๆด้านหลังบ้าน เขาสังเกตเห็นควันสีเลือดที่ก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้ ค่อยๆเบาบางลงไปมากจนแทบมองไม่เห็นแล้ว จึงร้องตะโกนออกไปว่า
“เฉินเจี้ยนกุ่ย..ข้าคือโอรสพรรคมารซือกงวู่จี๋ ครั้งนี้ข้ามาช่วยท่านตามความต้องการของบิดาท่านแล้ว! ท่านไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยๆเดินลมปราณไปก่อน..”
“อะไรนะ!”
เกาเฉินเฉินถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆ ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซือกงวู่จี๋ ก็ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างตกตะลึง
ตูม!
ปีกใหญ่ยักษ์สยายออกทะลุหลังคาห้องเก็บของเล็กๆแล้วร่างหนึ่งก็พุ่งทะลุหลังคาขึ้นไปบนท้องฟ้า เฉินเจี้ยนกุ่ยสยายปีกสองข้างบินตรงเข้าไปหาซือกงวู่จี๋ทันที
“เฉินเจี้ยนกุ่ยขอบคุณโอรสพรรคมารที่ช่วยตระกูลเฉินของเราในครั้งนี้!”
ซือกงวงู่จี๋โบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เรื่องเล็กน้อยน่า!”
จากนั้นเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ร้องตะโกนทักทายเจ้าสำนักโลหิตมารเฉี่วยหยิงกง“ท่านเจ้าสำนัก!”
เฉินเจี้ยนกุ่ยฝึกวิชามารโลหิตของสำนักโลหิตมารและกลายเป็นผู้ที่มีกำลังภายในแก่กล้าที่สุดในสำนัก จึงได้เป็นรองเจ้าสำนักโลหิตมาร!
“รองเจ้าสำนัก..ท่านไม่ต้องมากพิธี!”
เฉี่วยหยิงกงนั้นรู้สึกไม่พอใจนักความจริงแล้วเขามาที่นี่เพื่อต้องการนำประคำโลหิตกลับคืนจากเฉินเจี้ยนนกุ่ย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะสามารถหนีออกมาได้ ความหวังของเขาจึงพังทลายลงทันที อารมณ์จึงไม่สู้ดีนัก
หลังจากทักทายคนทั้งสองแล้วเฉินเจี้ยนกุ่ยก็หันมองไปรอบๆบ้านเลขที่-1 ด้วยแววตาเหยียดหยันพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยยกมือขึ้นชี้ไปทางเกาเฉินเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เฉินเฉิน.. ครั้งนั้นหลิงหยุนช่วยเจ้ามาได้ แต่คืนนี้.. ข้าเฉินเจี้ยนกุ่ยไม่เพียงจะดื่มเลือดของเจ้า แต่ยังจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าอีกด้วย!”
เกาเฉินเฉินคิดไม่ออกว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยหลุดรอดออกมาได้อย่างไรเธอจ้องมองเฉินเจี้ยนกุ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำพร้อมกับร้องตะโกนตอบไปว่า
“เฉินเจี้ยนกุ่ย..เจ้าฝันไปเถอะ!”
แววตาของเฉินเจี้ยนกุ่ยเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือที่จะได้ดื่มเลือดของเกาเฉินเฉินและตอบกลับไปว่า.
“ข้าจะฝันไปหรือไม่นั้นอีกไม่ช้าเจ้าก็จะรู้เอง!”
ซือกงวู่จี๋สำรวจดูสิ่งที่อยู่ด้านหลังของนักบวชเลี่ยยื่อพร้อมกับพูดยิ้มๆ“ข้าวางแผนมาเป็นเดือน เสียสละยอดฝีมือไปตั้งมากมาย ในที่สุดเวลาแห่งความสมหวังก็มาถึง!”
การต่อสู้สี่ต่อสี่เมื่อครู่นี้ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างยังไม่มีผู้ใดได้เปรียบ หรือเสียเปรียบ แต่เวลานี้นักบวชเลี่ยยื่อปรากฏตัวพร้อมกับปีศาจภัยแล้ง อีกทั้งเฉินเจี้ยนกุ่ยก็สามารถปลดปล่อยตัวเองได้แล้ว ในขณะที่ไป๋เซียนเอ๋อกลับสูญเสียกำลังในการต่อสู้ไปมาก..
เวลานี้โอกาสแห่งชัยชนะจึงตกเป็นฝ่ายของซือกงวู่จี๋และแทบไม่ต้องต่อสู้ก็สามารถรู้ผลได้แล้ว!
แต่ยังไม่ทันที่ซือกงวู่จี๋จะพูดจบดีก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางสวนด้านหลังบ้าน..
“ซือกงวู่จี๋..เจ้าอย่าด่วนดีใจไปนัก!”
เสียงที่ดังขึ้นมานั้น..ดูเหมือนจะดังมาจากที่ไกลๆ แต่ยังไม่ทันที่เสียงพูดจะจบประโยคดี ร่างสูงใหญ่ก็พุ่งฝ่าความมืดเข้ามาในบ้าน..
ในที่สุด..หลิงหยุนก็มาถึง!